จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | นวนิยายไทย |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
ปีศาจ เสนีย์ เสาวพงศ์ สำนักพิมพ์ มติชน พิมพ์ครั้งที่ ๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕ มี ๓๖๘ หน้า
เสนีย์ เสาวพงศ์ ผู้ให้กำเนิด “ปีศาจ” อมตะนิยายของสามัญชน “ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัว และไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่สร้างปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที ท่านคิดจะทำลายปีศาจตัวนี้ในคืนนี้วันนี้ ต่อหน้าสมาคมชั้นสูงเช่นนี้ แต่ไม่มีทางจะเป็นไปได้ เพราะเขาอยู่ยงคงกระพันยิ่งกว่าอาคิลลิส หรือซิกฟริด เพราะเขาอยู่ในเกราะกำบังแห่งกาลเวลา ท่านอาจจะเหนี่ยวรั้งอะไรไว้ได้บางสิ่งบางอย่างชั่วครั้งชั่วคราว แต่ท่านไม่สามารถจะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างไว้ได้ตลอดไป โลกของเราเป็นคนละโลก…โลกของผมเป็นโลกของธรรมดาสามัญชน” — สาย สีมา : ปีศาจ คอวรรณกรรมหลายคนคงคุ้นเคยกับคำพูดของสาย สีมา จากฉากบนโต๊ะอาหารในนิยาย “ปีศาจ” ของเสนีย์ เสาวพงศ์ กันเป็นอย่างดี หรือต่อให้ไม่เคยอ่านนิยายเรื่องนี้มาก่อน แต่ถ้อยคำทรงพลังที่กล่าวถึง “ปีศาจแห่งกาลเวลา” ก็น่าจะเคยผ่านหูผ่านตาจากสื่อต่างๆ มาไม่มากก็น้อยเสนีย์ เสาวพงศ์ เป็นนามปากกาของศักดิชัย บำรุงพงศ์ นักเขียนลือนามผู้สร้างสรรค์นิยายอมตะอย่าง ปีศาจ, ความรักของวัลยา, คนดีศรีอยุธยา และงานเขียนอื่นๆ อีกหลายเล่มที่ครองใจนักอ่านมายาวนานกว่า 5 ทศวรรษ ผลงานของเขาปลุกมโนสำนึกนักอ่านให้มองเห็นความอยุติธรรมในสังคมโดยมิได้สนับสนุนให้เสียเลือดเสียเนื้อ หากแต่กระตุ้นให้ผู้อ่านตื่นตัวขึ้นได้เอง เพื่อยกระดับสังคมไปสู่การแสวงหาเสรีภาพและแสงสว่างทางปัญญา ผลงานวรรณกรรมของเขาเกิดขึ้นบนโต๊ะข่าวโดยแท้ จากลูกชาวนาแห่งบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ที่ใส่ใจการศึกษา ได้ย้ายมาเรียนชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดจักวรรดิ และชั้นมัธยมศึกษาที่โรงเรียนวัดบพิตรภิมุข กรุงเทพมหานคร จากนั้นศึกษาต่อที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เพียงเดือนเศษ บิดาก็ถึงแก่กรรม จนครอบครัวเกิดปัญหาทางการเงินเพราะขาดเสาหลักของบ้าน ศักดิชัย บำรุงพงศ์ จึงได้ลาออกมาทำงานเป็นผู้แปลข่าวต่างประเทศและเป็นคอลัมนิสต์ให้แก่หนังสือพิมพ์ศรีกรุงและสยามราษฎร์ เขียนคอลัมน์ “ศรีกรุงจาริก” ใช้นามปากกาว่า “โบ้ บางบ่อ” อันมาจากถิ่นเกิดที่จังหวัดสมุทรปราการ ภายใต้การกุมบังเหียนของครูอบ ไชยวสุ ควบคู่ไปกับการเรียนนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ในช่วงเวลานั้น ขณะที่ทำหน้าที่นักหนังสือพิมพ์อยู่ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ ได้เขียนบทความที่สร้างความกระทบกระเทือนต่อนายทหารผู้มีอำนาจผู้หนึ่งในสมัยนั้น จนเป็นเหตุให้ครูอบ ไชยวสุ ในฐานะบรรณาธิการถูกบีบบังคับให้ลาออก ศักดิชัย บำรุงพงศ์ จึงลาออกตามเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น จากนั้นเขาจึงเบนเข็มชีวิตด้วยการสอบเข้ารับราชการเป็นเสมียนแผนกพาณิชย์นโยบายต่างประเทศ กรมพาณิชย์ กระทรวงเศรษฐการ ทำหน้าที่แปลข่าวเศรษฐกิจและการค้า แต่ทำงานได้เพียงหนึ่งปีก็ต้องลาออกจากราชการ เพราะได้ทุนจากรัฐบาลเยอรมนีให้ไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี การเดินทางไปเยอรมนีในครั้งนี้กลับมีอุปสรรคจากภาวะสงคราม ศักดิชัย บำรุงพงศ์ จึงต้องเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากที่นั่งรถไฟสายทรานส์ไซบีเรียไปจนถึงสหภาพโซเวียตแล้ว เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย เขาจึงทำงานที่หนังสือพิมพ์สุวรรณภูมิ ในฐานะผู้แปลข่าวต่างประเทศ และเริ่มเขียนเรื่องสั้นโดยใช้นามปากกา “สุจริต พรหมจรรยา” และใช้นามปากกา “เสนีย์ เสาวพงศ์” เป็นครั้งแรกในการเขียนเรื่องสั้นชื่อ “เดือนตกในทะเลจีน” จนกระทั่ง “ญี่ปุ่นขึ้นฝั่งไทย” หนังสือพิมพ์จึงถูกจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอข่าว โดยเฉพาะข่าวในประเทศ นักหนังสือพิมพ์อย่างศักดิชัย บำรุงพงศ์ ที่อึดอัดกับสภาวะดังกล่าวจึงตัดสินใจเข้าทำงานในกระทรวงการต่างประเทศเมื่อปี พ.ศ.2485 จนกระทั่งเกษียณอายุราชการใน พ.ศ.2521 ในระหว่างที่อยู่ที่นี่ เขาได้รับแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ประจำสถานเอกอัครราชทูตไทยในหลายประเทศ โดยสองตำแหน่งสุดท้ายในชีวิตราชการของเขาคือ เอกอัครราชทูตวิสามัญประจำประเทศสังคมนิยมเอธิโอเปีย และเอกอัครราชทูตวิสามัญประจำสาธารณรัฐสังคมนิยมแห่งสหภาพพม่า เพราะเริ่มต้นอาชีพจากนักหนังสือพิมพ์และนักเขียน เมื่อรับราชการอยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ศักดิชัย บำรุงพงศ์ ก็ยังคงเขียนหนังสือเรื่อยมาตลอดระยะเวลาที่ทำงานที่นี่ เขาให้สัมภาษณ์ไว้ในชาวกรุง เมื่อ พ.ศ.2523 ไว้ว่า “เรื่องที่เขียนส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์และมาจากจินตนาการบ้าง นักเขียนได้เขียนจากประสบการณ์อย่างเดียว เขียนไปจะหมด ไม่มีอะไรใหม่ จะเป็นศิลปินได้ต้องรู้จักสร้างสรรค์ ใช้จินตนาการ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตทั้งหลายที่เราได้ประสบและเห็นมา” ประสบการณ์ของศักดิชัย บำรุงพงศ์ ดูจะเป็น “ต้นทุน” และ “แต้มต่อ” ที่ดีกว่านักเขียนรุ่นเดียวกัน เพราะการเดินทางไปต่างแดนในฐานะข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ช่วยส่งเสริม “สายตา” และ “มุมมอง” ทางสังคมให้กับเขามากกว่านักเขียนร่วมรุ่น การสัมผัสวัฒนธรรมต่างชาติอย่างกว้างขวางผ่านสายตาแบบปฐมภูมิ ทำให้ผลงานของศักดิชัย บำรุงพงศ์ สามารถเจาะลึกลงไปถึงแก่นความคิดของสังคมต่างแดนได้อย่างถึงราก สิ่งที่โดดเด่นในงานเขียนของเขาคือการหยิบยกอุดมคติทางสังคมและการต่อสู้เพื่อเสรีภาพมาเป็นแนวคิดหลักในการสร้างผลงาน แต่ทว่า ผลงานของเขากลับไม่ได้มีน้ำเสียงในการเรียกร้องอุดมคติดังกล่าวอย่างแข็งกร้าวหรือปลุกระดม แต่กลับแสดงออกอย่างเป็นกลาง ผ่านความบันเทิง และกระตุ้นผู้อ่านให้ได้คิดต่อด้วยตนเองถึงสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อผ่านนิยายของตน อาจเป็นเพราะการเป็นข้าราชการด้วยส่วนหนึ่งที่ทำให้ผลงานของศักดิชัย บำรุงพงศ์ ไม่มีท่าทีก้าวร้าว ปลูกฝัง ถ่ายทอดปัญญา และอุดมคติ มากกว่าการปลุกสำนึกความเป็นขบถทางการเมืองแก่ผู้อ่าน อีกทั้งยังเป็นนักเขียนที่มีผลงานต่อเนื่อง และสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพสูงอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 5 ทศวรรษ จึงทำให้ผลงานและตัวตนของเขาเป็นเหมือนเสาหลักที่เหล่าปัญญาชนและนักคิดนักเขียนรุ่นใหม่ใส่ใจศึกษาอย่างจริงจัง หากจะพูดถึงหมุดหมายแห่งวรรณกรรมที่ว่าด้วยเสรีภาพในทศวรรษ 2510 ผลงานของศักดิชัย บำรุงพงศ์ ไม่เคยเชย และไม่มีวันตาย ด้วยเพราะว่าสิ่งที่เขาบอกแก่เรานั้นคือสัจธรรม คือความเป็นไปของโลกที่ไม่มีใครฉุดรั้งได้ ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |