จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | สังคมศาสตร์ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
คนไทย/คนอื่น ธงชัย วินิจจะกูล สำนักพิมพ์ ฟ้าเดียวกัน พ.ศ. ๒๕๖๐ ISBN 9786167667577
คำถามว่า “เราคือใคร ?” ดูจะเป็นคำถามเชิงปรัชญาที่ตอบยากเป็นอันดับต้น ๆ โดยเฉพาะเมื่อ “เรา” ในที่นี้หมายถึงตัวตนรวมหมู่ มิใช่เพียงตัวตนเชิงปัจเจก ส่วนใหญ่แล้วเรารับเอาตัวตนรวมหมู่มาเป็นองค์ประกอบตัวตนของเราโดยแทบไม่รู้ตัว หรือกว่าจะรู้ตัวอีกที ก็อาจกลายเป็นว่าเราได้กลายเป็นร่างทรงของตัวตนชนิดนี้ที่มีส่วนในการก่อความรุนแรงไปเสียแล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นผู้ยกย่องชนชั้นนำในประวัติศาสตร์อย่างไม่ลืมหูลืมตา เป็นคนไทยที่หากไม่เกลียดชังก็ดูถูกประเทศเพื่อนบ้าน เป็นคนกรุงที่มองตัวเองสูงส่งดูถูกกีดกันสิทธิของคนบ้านนอก เป็นนักชาตินิยมที่ต้องการทวงคืนดินแดนทุกตารางนิ้ว เป็นคนที่ไม่ตะขิดตะขวงใจกับการเรียกขบวนการต่อสู้เพื่อปาตานีว่าโจรใต้ เป็นพุทธแท้หรือเป็นคนคลั่งไคล้เจ้า หนังสือ คนไทย/คนอื่น : ว่าด้วยคนอื่นของความเป็นไทย เล่มนี้จะชักนำให้เราต้องทบทวนตัวตนพวกนี้ใหม่หมด เพราะแต่ละบทจะค่อยๆ ชำแหละให้เห็นว่าตัวตนเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นอย่างไร หนังสือเล่มนี้แบ่งเป็นสี่ภาค ได้แก่ ภาค 1 คนอื่นผู้ต่ำต้อย คนอื่นผู้สูงส่ง, ภาค 2 ปัตตานี : คนอื่นของไทย, ภาค 3 ข้างบ้านที่ไม่ใช่เพื่อน, และภาค 4 คนอื่นของความเป็นไทย ผู้อ่านอาจเปิดไปอ่านบทใดก่อนก็ได้แล้วแต่ความสนใจ เพราะแต่ละบทผู้เขียนเขียนขึ้นต่างกรรมต่างวาระและมีความสมบูรณ์ในตัวเอง หรือหากเลือกอ่านเรียงไปทีละบทจะพบว่าทุกบทร้อยเรียงกันด้วยแก่นหรือแกนเดียว คือมโนทัศน์ Orientalism, ความเป็นไทย, และความเป็นอื่น แตกต่างกันเพียงประเด็นหรือรายละเอียดที่นำมาวิเคราะห์วิจารณ์ นอกจากนี้ หนังสือเล่มนี้ยังอาจมองได้ว่าเป็นส่วนขยายหรือส่วนเติมเต็มของหนังสือเล่มสำคัญของผู้เขียนคือ Siam Mapped (1994) อีกด้วย โดยเฉพาะภาคที่ 1 ซึ่งทำให้เรามีความเข้าใจอันกระจ่างชัดขึ้นว่าในระยะเปลี่ยนผ่านจากรัฐราชาธิราชมาเป็นรัฐชาติแบบใหม่ นอกจากแผนที่และความรู้ภูมิศาสตร์ที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการสื่อสร้างภูมิกายาของสยามแล้ว วิทยาการอีกอย่างคือชาติพันธุ์นิพนธ์และวาทกรรมศิวิไลซ์นั่นเองที่ชนชั้นนำฉวยใช้ทั้งเพื่อทำความเข้าใจว่าตัวเองคือใครในระเบียบโลกใหม่และเพื่อจำแนกแยกแยะจัดวางช่วงชั้นสถานะของกลุ่มชนต่างๆ เสียใหม่ในภูมิกายาที่เพิ่งสร้าง ส่วนภาค 2 เมื่อผู้เขียนขยับไปอภิปรายถึงปัตตานี ในฐานะคนอื่นของตัวตนไทยที่เป็นปัญหายืดเยื้อเรื้อรังถึงปัจจุบัน คำอธิบายของผู้เขียนเกี่ยวกับตรรกะทางภูมิศาสตร์ที่ผิดฝาผิดตัวในประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ซึ่งทำให้ประวัติศาสตร์ปาตานีแปลกแยกไม่ลงรอยหรือจำเป็นต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์สวนทางของประวัติศาสตร์แห่งชาตินั้น ในแง่หนึ่งก็มองได้ว่าเป็นการต่อยอดทางความคิดของผู้เขียนจาก Siam Mapped นั่นเอง หลังจากเข้าใจการก่อร่างสร้างตัวตน/คนอื่นในภาค 1 และพิจารณาก้อนกรวดในรองเท้าในภาค 2 แล้ว ผู้เขียนก็ชักชวนให้เราขยายกรอบการมองไปยังเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ภาค 3 กับภาค 4 จึงเป็นทั้งการมองออกไปข้างนอกและเป็นบทสรุปส่งท้าย เช่นเคย มุมมองของไทยต่อประเทศเพื่อนบ้านก็เป็นมรดกความรู้แบบจักรวรรดิของอธิราชสยาม สำหรับผู้สนใจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สองภาคนี้ถือว่ามีความสำคัญเพราะผู้เขียนได้อภิปรายเกี่ยวกับภูมิทัศน์และสาแหรกของความรู้เกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาอย่างกว้างขวางและค่อนข้างครอบคลุม รวมถึงเสนอว่าจะข้ามให้พ้นประวัติศาสตร์อันตรายหรือประวัติศาสตร์แห่งชาติที่ครอบงำชีวิตเราได้ ต้องสร้างวัฒนธรรมทางประวัติศาสตร์แบบวิพากษ์วิจารณ์ที่อนุญาตให้ประวัติศาสตร์ทุกชนิดทุกแบบแบกันออกมาได้ ถกเถียงโต้แย้งกันได้ อาเซียนจึงจะเป็นประชาคมที่เข้มแข็งเปิดกว้าง มีความเป็นมนุษย์ มิใช่ประชาคมทางธุรกิจการลงทุนอย่างเดียว ในห้วงยามที่หลายคนได้แต่ถอนหายใจแล้วรำพึงว่า อย่าว่าแต่อนาคตของประชาคมใหม่หมาดอย่างอาเซียนเลย แค่อนาคตของรัฐชาติไทยจะไปอย่างไรต่อก็ยังมองไม่ออก เราน่าจะลองย้อนกลับไปพิจารณาภาพอุปมาชวนหัวซึ่งผู้เขียนใช้ในการบรรยายสำนึกอย่างใหม่ต่อพื้นพิภพหรือระเบียบโลกใหม่ของชนชั้นนำสมัยพระพุทธเจ้าหลวงเมื่อร้อยกว่าปีก่อน
เมื่อเปรียบเทียบภาพอุปมานี้กับภาพข่าวต่างๆ ในปัจจุบัน น่าสนใจว่าภาพเสนอของชนชั้นนำ ชาวป่า ชาวบ้านนอก คนในสามจังหวัดชายแดนใต้ และประเทศเพื่อนบ้านเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง แน่นอนว่าคนอื่นของตัวตนไทยมิได้หยุดนิ่งรอถูกให้ความหมายโดยเกณฑ์กำหนดของชนชั้นนำเท่านั้น พวกเขาเองก็เป็นผู้กระทำการและบางครั้งก็สร้างวาทกรรมสวนกลับได้เหมือนกัน ณ ตอนนี้ ชนชั้นนำประทับพาหนะอะไร กำลังนึกคิดอะไรอยู่ ถึงพอจินตนาการได้จากภาพข่าวที่หลุดรอดออกมา แต่ก็คงไม่มีใครกล้าบรรยายออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ชาวป่าดูจะมิใช่คนอื่นที่ “ป่าเถื่อน” อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นกลุ่มชนที่ถูกแย่งชิงทรัพยากรอย่างหนักหนาสาหัส ขณะที่ก็ถูกนำเสนอว่าได้รับมหากรุณาธิคุณมากเป็นลำดับต้นๆ ในรัชสมัยที่ผ่านมาผ่านโครงการตามพระราชดำริต่างๆ ส่วนชาวบ้านนอกเดี๋ยวนี้ก็ดูจะไม่ใช่คนอื่นผู้ว่าง่ายอีกต่อไป ในมุมมองของชนชั้นนำ พวกเขากลายเป็นพวกเลี้ยงไม่เชื่องที่ติดเชื้อนโยบายประชานิยมของนักการเมืองชั่ว คนเมืองที่สำคัญตน (ผิดๆ) มาตลอดว่ามีอภิสิทธิ์พูดแทนคนทั้งประเทศ ตอนนี้ถูกคนบ้านนอกเสื้อแดงตอกหน้าด้วยวาทกรรมสวนกลับอย่าง “สลิ่ม” ซึ่งเป็นคำที่มีนัยแสดงความดูถูก หมายถึง บุคคลที่หลงคิดว่าตนมีสติปัญญาหรือจริยธรรมเหนือกว่าผู้อื่น ทว่ากลับไม่สามารถใช้ตรรกะหรือแสดงเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ คนสามจังหวัดชายแดนใต้นอกจากเป็นคนอื่นที่เป็นแขกมุสลิมแล้ว ยังเป็น “โจรใต้” ในสายตาคนส่วนใหญ่ในประเทศไทย เหตุการณ์รุนแรงที่สามจังหวัดชายแดนใต้ยังเกิดขึ้นสม่ำเสมอและมีแนวโน้มจะลุกลามบานปลายขยายออกนอกพื้นที่ ดังเหตุระเบิดหลายจุดในหลายจังหวัดภาคใต้ของไทยเมื่อเดือนสิงหาคม 2559 ฟากประเทศเพื่อนบ้านอย่างพม่าที่คนไทยเห็นว่าเป็นศัตรูคู่แข่งและลึกๆ รู้สึกสมน้ำหน้าที่ตกอยู่ใต้เผด็จการทหารอย่างยาวนาน มาบัดนี้กลับกลายเป็นฝ่ายที่ได้แสดงความห่วงใยประชาธิปไตยไทย ส่วนลาวน้องที่น่าสงสารก็เดินหน้าโครงการรถไฟฟ้าจีน-ลาวด้วยความหวังว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมหาศาล (ในเวลาไล่เลี่ยกับที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญไทยแสดงความเห็นว่ารถไฟความเร็วสูงยังไม่มีความจำเป็นสำหรับประเทศไทย หากเป็นไปได้ควรทำให้ถนนลูกรังหมดไปจากประเทศก่อน) เขมรดูจะยังเป็น “เขมรแปรพักตร์” ในสายตาของชนชั้นนำไทยโทษฐานที่มีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับทักษิณ ชินวัตร นักการเมือง “เลว” ที่ถูกสร้างภาพให้เป็นคู่ตรงข้ามกับเผด็จการทหาร “ดีๆ” ที่ยึดอำนาจด้วยข้ออ้างว่าจะคืนความสุขให้กับ “คนไทย” ณ จุดนี้ หลายคนย่อมเกิดคำถามในใจอย่างช่วยไม่ได้ว่า “คนไทย” ที่คาดว่าจะได้รับความสุขคืนมานั้น หมายรวมถึง “ตัวเรา” ด้วยจริงๆ ล่ะหรือ ในระเบียบโลกใหม่ล่าสุด (อย่างน้อยก็ใหม่กว่าระเบียบโลกที่ว่าใหม่แล้วในสมัยพระพุทธเจ้าหลวง) ที่บางคนเรียกว่า “โลกาภิวัตน์” บางคนเรียกว่า “หลังสมัยใหม่” ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ฉับไวเพียงปลายนิ้วคลิกและระบบ social network ที่เชื่อมโยงกันดุจใยแมงมุมยักษ์ ผู้ที่อยู่ตรงโซนรอยต่อของการส่งผ่านข้ามวัฒนธรรมกลับกลายเป็นใครก็ได้ ไม่จำกัดอยู่ที่ชนชั้นนำอีกต่อไป ภาพอุปมาที่อาจจะใกล้เคียงกับสถานการณ์ปัจจุบันคือ
หมายเหตุ ภาค 1 คนอื่นผู้ตํ่าต้อย คนอื่นผู้สูงส่งบทที่ 1
บทที่ 2
ภาค 2 ปัตตานี : คนอื่นของไทยบทที่ 3
บทที่ 4
ภาค 3 ข้างบ้านที่ไม่ใช่เพื่อนบทที่ 5
บทที่ 6
ภาค 4 คนอื่นของความเป็นไทยบทที่ 7
ภาคผนวก
![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |