จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | วรรณกรรม classic |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
บอด Ensaio sobre a Cegueira José Saramago กอบชลี แปล สำนักพิมพ์ Library House พิมพ์ครั้งที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ มี ๓๕๖ หน้า
ISBN : 9786168123317 ผมเห็นทุกสิ่งเป็นสีขาวไปหมด ราวกับว่าไม่มีกลางคืน ขณะที่ชายคนหนึ่งขับรถติดไฟแดง จู่ๆ ดวงตาของเขากลับเห็นแต่สีขาว เขากลายเป็นคนตาบอด และแล้วอาการตาบอดของคนที่หนึ่ง ก็ลุกลามแพร่ระบาดไปถึงอีกคน อีกคน และอีกคน จนกระทั่งคนทั้งเมืองสูญเสียการมองเห็น รัฐบาลพยายามกักกันผู้ติดโรคเพื่อยับยั้งอาการประหลาดด้วยมาตรฐานการเยียวยาที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ไม่มีวิธีรักษา ไม่มีช่ิงทางสื่อสาร ก่อนจะเกิดความโกลาหลอลหม่าน เกิดสภาวการณ์ที่ไม่สามารถชี้วัดสาเหตุอย่างแท้จริง บอด ผลงานของฌูเซ่ ซารามากู เจ้าของรางวัลโนเบล ประจำปี ค.ศ.1998 คือนวนิยายที่ฉายภาพชะตากรรมสับสนของผู้คนที่จริยธรรมพังทลาย พร้อมท้าทายความเชื่อเดิมที่เคยคิดกันว่าอาการตาบอดไม่ใช่โรคติดต่อรุนแรง นวนิยายเรื่อง บอด ของฌูเซ่ ซารามากู มีชื่อในภาษาโปรตุเกสว่า Ensaio sober a Cegueira (1995) แปลตามตัวได้ว่าความเรียงว่าด้วยอาการตาบอด เช่นเดียวกับนวนิยายภาคต่อที่ชื่อ Seeing ก็มีชื่อว่า Ensaio sobre a Lucidez (2006) ถ้าพูดว่าเป็นชื่อของนวนิยายก็นับว่าแปลกและเชื้อชวนให้เราเข้าใจว่าเป็นหนังสือปรัชญา หรือกระทั่งตำราแพทย์ แต่มองอีกทาง การตั้งชื่อนี้ถือได้ว่าเป็นลีลาและเอกลักษณ์เฉพาะตัวของซารามากู เพราะผลงานก่อนหน้าอย่าง Manual de Pinture e Caligrafia (1977) ก็ได้ชื่อว่าเป็น 'คู่มือ' ซึ่งไม่ว่านวนิยายของซารามากูจะได้ทำหน้าที่สมดังชื่อเล่มหรือไม่อย่างไร แต่ใครได้อ่านก็ย่อมประจักษ์ชัดว่าข้อเขียนมากมายของเขาสามารถปลุกเร้านความคิดผู้อ่าน จากการเป็นทั้งนิทานเปรียบเปรย (allegory) สภาพสังคมการเมือง เป็นบทวิพากษ์ทางปรัชญาชนิดที่เราสามารถเข้าถึงและรู้สึกได้ผ่านฉากเหตุการณ์ต่างๆ รุนแรงสะเทือนใจ แม้โดยส่วนตัว ซารามากูจะเน้นย้ำอยู่เสมอๆ ทั้งในบทสัมภาษณ์และในสมุดบันทึกที่เขาจดจารขณะพำนักอยู่บนเกาะลานซาโรเตว่า "ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปรัชญา" หรือ "ผมไม่ใช่นักปรัรชญาอะไรหรอก" แต่การไม่พยายามจะเป็นนักปรัชญา หรือไม่ขบคิดทางปรัชญาก็นับว่าเป็นปัญหายอกย้อนในตัวเขามาเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ซารามากูเป็นไม้เบื่อไม้เมา หรือตั้งเป้าวิจารณ์ปัญญาชนนักคิดร่วมยุคร่วมสมัยอย่างโรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) มิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) และฌาคส์ แดร์ริดา (Jacques Derrida) มาโดยตลอด ซารามากูไม่เชื่อทั้งแนวคิดเรื่องมรณกรรมของประพันธกรของบาร์ตส์ หรือวาทะอันโด่งดังของแดร์ริดาที่ว่า "ไม่มีอะไรอยู่นอกตัวบท" หากกระนั้นสลาวอย ชิเชก (Siavoj Zizek) ก็ยังนิยมชมชอบผลงานของเขา ทั้งได้อ้างอิงและเสนอแนวทางใหม่ในการอ่านนวนิยาย Seeing และก่อนหน้านั้นปีเตอร์ ฮอลเวิร์ด (Peter Hallward) ก็ยังยกให้ผลงานเล่มเล็กๆ อย่าง O Conto da llha Desconhecida (1997) หรือ เกาะที่ไม่มีใครรู้จัก เป็นผลงานที่สามารถเทียบเคียงกับปรัชญาและสามารถใช้สรุปรวบยอดความคิดของอแล็ง บาดียู (Alain Badiou) ได้เลยทีเดียว![]() ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |