จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | สังคมศาสตร์ |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | ดีมาก (95-99 %) |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
ใบลานหลังธรรมาสน์ ขรรค์ชัย บุนปาน สำนักพิมพ์ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ พ.ศ. ๒๕๔๗
มี ๑๖๓ หน้า มอง ขรรค์ชัย บุนปาน จาก ๒๕๑๒ -๒๕๑๕ คนรุ่นเก่า vs คนรุ่นใหม่ เพียงเห็นในตอน๑ ของ”ใบลานหลังธรรมมาสน์”ที่ว่า “สัจจะของการเกิดมามีลมหายใจประการหนึ่งและประการเดียวนั้น ถ้าต่างคนต่างไม่โกหกตอแหลกันแล้วละก็ เราควรได้คำตอบเหมือนกัน คือ สัตว์ผู้เมืยทั้งหลายย่อมเกิดมาเพื่อร่านทุกข์หรือใครบ้างที่ไม่เคยร้อนร่านในรสแห่งความทุกข์ เออ, แล้วยังจะมาหน้าด้านโกหกตอแหลกันไปทำไม” ก็จะสัมผัสได้ถึงความร้อนแรง แน่นอน ประการ ๑ คือความร้อนแรงแห่งอารมณ์ ขณะเดียวกัน ประการ ๑ คือ ความร้อนแรงแห่งถ้อยสำนวน เป็น ขรรค์ชัย บุนปาน อย่างไม่ต้องสงสัย และยิ่งเมื่อพลิกผ่านไปยังตอน ๒ ก็จะยิ่งเพิ่มความร้อนแรงมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ เมื่อเขาระบุในตอนหนึ่งว่า “ ว่ากันว่า ของขวัญปีใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๓ นี้ ไม่มีอะไรครื้นเครงและเคร่งเครียดไปกว่าปัญหาคนรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่า “ คล้ายกับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ปรกติยิ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ หรือเมื่อ พ.ศ.๒๕๔๗ ก็ยิ่งมีปัญหาที่ทั้งครื้นเครงและเคร่งเครียดระหว่าง คนรุ่นใหม่ กับคนรุ่นเก่า ดำรงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนตัวละครไปเท่านั้นเอง ในการตีพิมพ์ครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ ขรรค์ชัย บุนปานบอกกล่าวผ่าน “ลานใบแรก”อันเป็นเสมือนคำนำให้รู้ว่า หนังสือ”ใบลานหลังธรรมาสน์” เก็บต้นฉบับมาจากหนังสือรายเดือน ๒ เล่ม เล่ม ๑ คือ หนุ่มเหน้าสาวสวย มีอายุตั้งแต่เดือนธ้นวาคม ๒๕๑๒ ถึง มีนาคม ๒๕๑๓ เล่ม ๑ คือ สามยอด เริ่มเขียนผ่านคอลัมน์ “ตีความข้างเดียว” ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๓ ไปจนถึงเดือนสิงหาคม ๒๕๑๕ จากนั้น รวมเป็นเล่มขนาดพ็อคเก็ตในชื่อ “ใบลานหลังธรรมาสน์” เมื่อเดือนกันยายน ๒๕๑๕ ระหว่าง พ.ศ.๒๕๑๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๕ มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในแวดวงวรรณกรรม การทำหนังสือ และในแวดวงสังคมการเมืองไทย ที่เกี่ยวข้องและสัมพันธ์กับ ขรรค์ชัย บุนปาน โดยตรงและโดยอ้อมหลายประการ ระหว่างที่เขียนคอลัมน์ใน “หนุ่มเหน้าสาวสวย” นั้นเขายังเป็นนักศึกษาคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ขณะเดียวกัน เขาก็ร่วมอยู่กับหนังสือชุด “เฟื่องนคร” ของรงค์ จากนั้น เมื่อสำเร็จเป็นบัณฑิตเขาเป็นอาจารย์ภาษาไทยที่โรงเรียนมาแตร์เดอีวิทยาลัยอยู่ระยะหนึ่ง ไปทำงานเป็นหัวหน้าฝ่ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ของห้างสรรพสินค้าเซ้นทรัลอยู่ระยะหนึ่ง แล้วเข้าร่วมในกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ “สยามรัฐ”รายวัน ขณะที่ นพพร บุณยฤทธิ์ เป็นบรรณาธิการ ผู้พิมพ์ ผู้โฆษณา จนถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๑๕ ก็ถูกยื่น “ซองขาว” จาก ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช หนังสือ “ใบลานหลังธรรมาสน์ “ รวมเป็นเล่มขณะที่ทาง ๑ขรรค์ชัย บุนปาน ประจำกองบรรณธิการหนังสือพิมพ์ “ไทยรัฐ” ขณะเดียวกัน ทาง ๑ เขาร่วมกับ สุพล เตชะธาดา สุจิตน์ วงษ์เทศ บริหารงานโรงพิมพ์พิฆเณศ ระยะเวลาในห้วง ๒-๓ ปีนั้น มีสถานการณ์หลายสถานการณ์เข้ามากระทบ ขรรค์ชัย บุนปาน กระทั่งสะท้อนผ่านคอลัมน์ “ใบลานหลังธรรมาสน์” ต้องยอมรับว่า จาก พ.ศ. ๒๕๑๒ ถึง พ.ศ. ๒๕๑๕ สังคมประเทศไทยอยู่ภายใต้ร่มเงาการปกครองของระบอบ “ถนอม ประภาส “ มีการเลือกตั้งในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ แต่อำนาจก็ยังอยู่ในมือ จอมพล ถนอม กิตติขจร จอมพล ถนอม กิตติขจร บริหารประเทศภายใต้กติกาของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๑ จนถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๔ ก็หมดความอดทน จอมพล ถนอม กิตคิขจร ที่เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ร่วมมือกับ พล.อ ประภาส จารุเสถียร ที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก ทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลที่มี จอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล อ.ประภาส จารุเสถียร เป็นรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แล้วสถาปนา จอมพล ถนอม กิติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมี พล อ ประภาส จารุเสถียร เป็นรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อำนาจยังอยู่กับ จอมพล ถนอม กิตติขจร และ พล อ ประภาส จารุเสถียร เหมือนเดิม จะมีที่ขาดหายไปก็คือ ไม่มีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๑๑ มีแต่ธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๑๕ ไม่มีพรรคการเมือง ไม่มีสภาผู้แทนราษฎร กระนั้น ที่แปลกออกไปจากการรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๐ รัฐประหารเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ และรัฐประหารเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ มีการประท้วงจากนักการเมือง ปัญญาชนนักวิชาการและนักศึกษาจากบางมหาวิทยาลัย ปัญญาชน นักวิชาการ พยายามจะทำหนังสือประท้วงแต่ก็ล้มเหลว ขณะที่นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จำนวนหนึ่งนำเอาหรีดดำไปวางไว้อาลัยให้กับระบอบประชาธิปไตยที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย พวกเขาถูกจับกุมระยะสั้นแล้วก็ปล่อยตัวไปในที่สุด แต่ที่ยืดเยื้ออย่างยาวนาน คือการที่ นายอุทัย พิมพ์ใจชน ส ส ชลบุรี นายบุญเกิด งอกคำ สส ชัยภูมิ นายอนันต์ ภักดิ์ประไพ สส พิษณุโลก ได้ยื่นฟ้อง จอมพล ถนอม กิตติขจร ในข้อหา ล้มล้างและทำลายรัฐธรรมนูญ แต่แล้วรัฐบาลก็ใช้อำนาจจากธรรมนูญการปกครองจับกุมนักการเมืองทั้ง ๓ เข้าคุมขัง โจทก์ก็กลายเป็นจำเลย และจำเลยก็กลายเป็นโจทก์ กระนั้น บรรยากาศที่ครอบคลุมจาก พ.ศ. ๒๕๑๒ จน ถีง พ.ศ. ๒๕๑๕ คือ บรรยากาศแห่งความไม่พอใจต่อระบอบ “ถนอม ประภาส “ บรรยากาศแห่งการประท้วง บรรยากาศแห่งการเรียกร้องประชาธิปไตย คำว่า” พลังนักศึกษา” เริ่มปรากฏขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นขบวนให้เห็นนอกเหนือจากที่อยู่ในทางความคิด. การปะทะกันในทางความคิดจึงเป็นปรากฎการณ์ธรรมดาอย่างยิ่งเริ่มจากภายในมหาวิทยาลัยไปสู่สังคมภายนอก จากแวดวงวรรณกรรม ความคิด ไปสู่ แวดวงทางการเมือง คู่ของความขัดแย้ง ด้าน ๑ มีระบอบเผด็จการดำรงอยู่ ขณะเดียวกัน ด้าน ๑ มีข้อเสนอระบอบประชาธิปไตยเข้ามาเปรียบเทียบ. ด้าน๑ มีคนรุ่นเก่ายึดครองในฐานะครอบงำ ขณะเดียวกัน ด้าน ๑ มีคนรุ่นใหม่พยายามเบียดแทรกเข้ามามีบทบาทร่วมด้วย ในทางการเมืองมีคนรุ่นเก่า เช่น จอมพล ถนอม กิตติขจร พล เอกประภาสจารุเสถียร ขณะเดียวกัน ก็มีคนรุ่นใหม่อย่าง นายอุทัย พิมพ์ใจชน นายชวน หลีกภัย นายดำรง ลัทธพิพัฒน์ เป็นต้น ในแวดวงของปัญญาชน นักวิชาการ มีนิตยสาร “สังคมศาสตร์ปริทัศน์” เป็นเวทีกลางในการแสดงออก ไม่ว่าจะเป็น นายพัทยา สายหู นายสมศักดิ์ ชูโต นายกมล. สมวิเชียร นายปราโมทย์ นาครทรรพ นายชาญวิทย์ เกษตรศิริ ล้วนนำเอาความคิดใหม่ๆที่ได้มาระหว่างศึกษาในต่างประเทศมาเสนอ ในแวดวงของคนเขียนหนังสือ ไม่เพียงแต่เกิด “กลุ่มหนุ่มเหน้าสาวสวย “ ที่มี สุจิตต์ วงษ์เทศ กับ ขรรค์ชัย บุนปาน เป็นศูนย์รวม หากแต่ยังมี “ชมรมพระจันทร์เสี้ยว”ที่มี สุชาติ สวัสดิ์ศรี วิทยากร เชียงกูล เป็นตัวเด่น มี “กลุ่มศิถี” ผู้มองเห็นความงานของกุหลาบ ที่มี “ทรนง” และ กิตติศักดิ์ สุวรรณโภคิน เป็นกำลังสำคัญ อย่าได้แปลกใจไปเลย หาก ขรรค์ชัย บุนปาน จะเขียนออกมาว่า คนรุ่นเก่าที่ฉลาดได้ประกาศยอมรับสารภาพและความเป็นจริงว่า ปัจจุบัน ความสำคัญของเด็กกับผู้ใหญ่นั้นมีช่องว่างเกิดขึ้น สะพานแห่งความคิดได้ผุกร่อนและใกล้พังทลายลงสิ้นเชิง แต่ยังไม่พัง และมีความหวังว่าช่องว่างนั้นจะหมดไป ถ้าผู้ใหญ่ได้คิดและรู้คิด เด็กนั้นไม่มีปัญหาต้องเจริญรอยตามความดีงามที่ตนเองพบ หรือเห็น สืบไป สมมุติว่า ถ้าผู้ใหญ่ไม่ได้คิดและไม่รู้คิดจะเป็นอย่างไร คำตอบนี้ดูเหมือนจะปรากฎอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งแล้ว อาวุโสเป็นคำตลก การถือพี่ถือน้องเป็นมายา ขนบประเพณีก็เป็นเพียงแผนภูมิติดไว้ที่กองวัฒนธรรม คนรุ่นใหม่ที่เร่าร้อนรุนแรงได้ประกาศเสียงน้อยๆ ของเขาออกมาบ้างเหมือนกัน การใช้เหตุผล ๑ การยึดมั้ยในหลักการ ๑ การเชื่อถือในวิชาการ ๑ เป็นศีลธรรมของคนรุ่นใหม่ และการจะขยายแวดวงความคิดเช่นนี้ออกไปต้องเป็นสิ่งที่ได้มาด้วยการต่อสู้ มิใช่ได้มาด้วยการวิงวอนร้องขอจากใคร ได้ยินแล้วเหี้ยมหาญนัก แต่เป็นเสียงที่เหี้ยมหาญที่ออกมาจากริมฝีปากน้อยๆเท่านั้น เพียง ๒ ย่อหน้า ที่ยกมาของ ขรรค์ชัย บุนปาน ก็ฉายสะท้อนให้เห็นภาพของการปะทะและขัดแย้งในทางความคิดที่ดำรงค์อยู่ในห้วงแห่งพ.ศ. ๒๕๑๒ ๒๕๑๕ ได้อย่างชัดเจนยิ่ง อย่าแปลกใจหากในฝรั่งเศลจะมีการยึดมหาวิทยาลัย อย่าได้แปลกใจหากในสหรัฐอเมริกาจะมีขบวนการนักศึกษาแพร่ขยายไปในขอบเขตทั่วประเทศ และรูปธรรมแห่งขบวนการทางวัฒนธรรมหนึ่ง คือ การปรากฎขึ้นของ วู้ดสต็อค อย่าได้แปลกใจหากในประเทศจีนจะมีขบวนการเร็ดการ์ด ใครก็ตามที่มีความเฉลียวอยู่บ้าง เมื่อทอตามองไปในขอบเขตทั่วโลกก็จะเห็นภาพการลุกขึ้นมาของเยาวชนคนรุ่นใหม่ประเทศแล้ว ประเทศเล่า เหมือนกับเป็นระลอกคลื่นที่มหึมามากยิ่งขึ้นเป็นลำดับ ใครก็ตามที่จะใช้ความสังเกตอยู่บ้าง ก็จะเห็นถึงการรุกเข้ามาของแนวคิดใหม่ การสร้างสรรค์อย่างใหม่ ในแวดวง คนเขียนหนังสือ ในแวดวงนักคิดและศิลปิน อย่าได้แปลกใจไปเลยที่ภายหลังรัฐประหาร เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๒๕๑๔ ของจอมพล ถนอม กิตติขจร เพียงปีเศษๆ ก็ได้เกิดสถานการณ์การเคลื่อนไหวขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ อันส่งผลให้ระบอบ “ถนอม ประภาส “ พังครืนราวปราสาททรายต้องคลื่น เสียงร้องของคนรุ่นใหม่ที่ดังอยุ่ภายในเขตรั้วของมหาวิทยาลัย เสียงร้องของคนรุ่นใหม่ที่กระหึมอยู่ในงานกวี และเรื่องสั้นตลอดจนบทความแสดงทรรศนะ ก็ได้รับการแปรเป็นการเคลื่อนไหวที่เป็นจริงทั้งในทางการเมืองและในทางวัฒนธรรม หากไม่ทำความเข้าใจกับสภาพความเป็นจริงของสังคมในห้วงแห่ง พ.ศ. ๒๕๑๒ ต่อเชื่อมไปยัง พ.ศ. ๒๕๑๕ และที่ปรากฎขึ้นในเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ ก็จะไม่เข้าใจในการแสดงออกของ ขรรค์ชัย บุนปาน ที่ปรากฏ “ใบลานหลังธรรมาสน์” ถามว่าแล้ว ณ วันนี้ บทบาทของ” ใบลานหลังธรรมาสน์” จะยังทรงความหมายอยู่มากน้อยเพียงใด น่าสนใจที่ ณ วันนี้ ขรรค์ชัย บุนปาน ค่อยๆเหยียบบาทก้าวเข้าสู่ปีที่ ๖๐ แล้ว โดย อายุ คล้ายกับว่า ขรรค์ชัย บุนปาน ได้อยู่ในจุดเดียวกันกับบรรดา “ผู้อาวุโส”และอยู่ในฐานะที่เป็น “คนรุ่นเก่า “ เมื่อมองอย่างเปรียบเทียบกับสถานะแห่ง “คนรุ่นใหม่” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๒ กระนั้น ใครก็ตามที่ติดตามงานของ ขรรค์ชัย บุนปาน ไม่ว่าจะเป็นโคลงกระทู้ใน “มติชนรายวัน” ฉบับวันอาทิตย์ หรือในคอลัมน์ “ของดีมีอยู่ “ ซึ่งทำหน้าที่ปิดท้ายให้กับนิตยสาร “มติชนสุดสัปดาห์” ก็จะมองเห็นถึงภาวะที่ไม่เคยหยุดนิ่งในทางความรู้สึกและในทางความคิด ความร้องแรงแห่งอารมณ์ยังดำรงคงอยู่ ความร้อนแรงแห่งถ้อยสำนวนยังดำรงคงอยู่ และก็พร้อมที่จะดำเนินต่อไป ตรงนี้เองที่เรียกว่าภาวะแห่ง “เยาวภาพ” สถานะแห่งความเป็นคนรุ่นใหม่หรือความเป็นคนรุ่นเก่าจึงมิได้มีกรอบจำกัดอยู่ที่วัย หากแท้จริงแล้ว ความคิดต่างหากที่จะเป็นเครื่องบ่งบอก ความคิดต่างหาก คือ หมุดหมายแห่งความเป็นคนรุ่นเก่า หรือ คนรุ่นใหม่ เสถียร จันทิมาธร มีนาคม ๒๕๔๗ ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |