จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | วรรณกรรม classic |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
เสียงแห่งขุนเขา The Sound of The Mountain by Yasunari Kawabata : อมราวดี แปล วรรณกรรมเอกแห่งเอเชีย รางวัลโนเบลปี ๑๙๖๘ อมตะนิยายซืึงประกาศความยิ่งใหญ่ของวรรณกรรมแห่งโลกตะวันออก สำนักพิมพ์นาคร พ.ศ. ๒๕๖๖ มี ๔๑๖ หน้า ISBN : 9786168254677
เสียงแห่งขุนเขา The Sound of the Mountain ยาสึนาริ คาวาบาตะ (Yasunari Kawabata)-เขียน อมราวดี-แปล .นวนิยายชิ้นเอกของโลกจากเอเชีย นวนิยายเล่มสำคัญ ของ “ยาสึนาริ คาวาบาตะ” นักเขียนรางวัลโนเบลปี 1968 ในปีเดียวกันนั้น “คาวาบาตะ” ได้เลือก “เสียงแห่งขุนเขา” ให้ “อมราวดี” แปลออกมาเป็นไทย จัดพิมพ์โดยสำนักข่าวสารญี่ปุ่นประจำประเทศไทย .ปี 2536 อมราวดี มอบต้นฉบับการแก้ไขใหม่ให้ กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ มาพิมพ์ในนามสำนักพิมพ์คำหอม เป็นการพิมพ์ครั้งที่ 3 และการพิมพ์ครั้ง 4-5 ดำเนินการโดยสำนักพิมพ์นาคร .การพิมพ์ครั้งที่ 6 ปี 2566 ตรวจทานอีกรอบ พร้อมเพิ่มบทคำนำ และคำตามเป็นปาฐกถาโนเบลของคาวาบาตะ ตอนรับรางวัลโนเบล เพื่อให้เข้าใจจิตวิญญาณของการชงชา บทกวีไฮกุ การจัดสวนญี่ปุ่น และการเข้าถึงความตายโดยสงบสันติ-ด้วยจิตที่หลุดพ้นแล้ว วรรณกรรมเองแห่งเอเซีย-รางวัลโนเบลผี 1968 THE SOUND OF THE MOUNTAIN (YASUNARI KAWABATA) อมตะนิยายซึ่งประกาศความยิ่งใหญ่ของวรรณกรรมแห่งโลกตะวันออก “เสียงแห่งขุนเขา” เล่มนี้ นับเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของคาวาบาตะซึ่งก่อกำเนิดขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง คาวาบาตะเริ่มเขียนเรื่องนี้ในปี 1949 หลังจากว่างเว้นจากงานเขียนไปนานในช่วงสงครามและเสร็จสิ้นตอนสุดท้ายในปี 1954 นับเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง รูปลักษณ์ของสงครามซึ่งปรากฏในนวนิยายของคาวาบาตะ โดยเฉพาะ “เสียงแห่งขุนเขา” เล่มนี้ ผิดแปลกแตกต่างไปจากที่ซึ่งเคยปรากฏในงานเขียนของนักเขียนคนอื่นไม่ว่าจะเป็นนักเขียนในดินแดนเดียวกันหรือจากภูมิภาคอื่นๆ ด้วยความถนัดในการเดินเรื่องผ่านอารมณ์ คาวาบาตะเลือกให้รูปลักษณ์ของสงครามปรากฏเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลังฉากแห่งอารมณ์อีกชั้นหนึ่ง คล้ายต้องการบอกให้รู้ว่า สิ่งสำคัญซึ่งควรใคร่ครวญถึงในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่ภาพเหตุการณ์ซึ่งล่วงผ่านไปแล้ว ที่ต้องใคร่ครวญถึงก็คือผลซึ่งจะตามมามากกว่า ซึ่งโดยลักษณะส่วนตัวของคาวาบาตะเอง แม้ชีวิตจะเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เขาก็เลือกที่จะไม่ตีโพยตีพายกับมัน เพราะนั่นเป็นสิ่งซึ่งได้เกิดขึ้นและต้องยอมรับ คาวาบาตะเชื่อวี่เป็นอีกเอกลักษณ์หนึ่งของความเป็นญี่ปุ่น เขาเคยกล่าวไว้ว่าคนญี่ปุ่นจะไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ต่อความพินาศและสิ้นหวังเหมือนอย่างผู้คนในตะวันตก แต่คุณลักษณะนิสัยของชาวญี่ปุ่นนั้นเลือกที่จะก้มหน้ายอมรับอยู่ในความเหงาเศร้าและหดหู่ คาวาบาตะแสดงให้เห็นถึงผลของสงครามซึ่งได้กระทำต่อจิตใจ การล่มสลายหรือแปรเปลี่ยนในบางสิ่งบางอย่าง การสูญสิ้นไปของจารีตประเพณีบางข้อ รวมกระทั่งการล่มสลายของจริยธรรม สิ่งเหล่านี้คือความหายนะมากมายมหาศาลกว่าที่เกิดกับวัตถุ แต่ทว่าคาวาบาตะก็ไม่ได้ชักนำไปสู่การมองโลกในแง่ร้าย แม้ตัวละครของเขาจะครุ่นคิดวนเวียนอยู่กับสัญญาณแห่งความตาย แต่ที่สุดแล้วเขาก็ยังเห็นว่า การตายของสิ่งหนึ่งก็เพื่อให้กำเนิดสิ่งใหม่ ยุคเก่าล่มสลายไปก็เพื่อปลดปล่อยสายโซ่พันธนาการแห่งยุคให้เกิดยุคใหม่ขึ้นมา แล้วชีวิตก็จักหยัดหน้าอยู่สู้ต่อไปตามยุคสมัยซึ่งควรจะเป็น คาวาบาตะเลือกที่จะใช้วิธีการดำเนินเรื่องตามแบบอย่างของนิทานเง็นจิ กอปรกับการใช้ภาษาบรรยายอันละเมียดละไม ดิ่งลึกลงไปในอารมณ์ ซึ่งประยุกต์ขึ้นมาจากท่วงทำนองของบทกวีไฮกุ ทำให้ “เสียงแห่งขุนเขา” กลายเป็นนวนิยายซึ่งแสดงออกถึงอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตัวละครอันเต็มเปี่ยมด้วยพลัง พร้อมที่จะกระชากจิตใจผู้อ่านให้วูบไหวสะท้านตลอดเวลา จึงไม่แปลกที่ “เสียงแห่งขุนเขา” จักเป็นหนึ่งในนวนิยายแห่งโลกตะวันออกซึ่งมีอยู่เพียงน้อยชิ้นที่โลกตะวันตกจำต้องค้อมคารวะ ! เกี่ยวกับผู้แปล “อมราวดี” น่าจะได้ชื่อว่า ‘ลูกสาวของคาวาบาตะ’ เพราะเท่าที่ทราบจากนักเขียนร่วมยุคสมัยหลายคน รวมถึงคำยืนยันจากบุตรสาวของท่าน ก็น่าจะเรียกเช่นนั้นได้ .อมราวดี หรือชื่อเดิมคือ แฮนนาห์ เร็กซเฮาเซ่น (แต่มีคนเข้าใจผิด โต้เถียงว่าชื่อแอนนา ถนัดหัตถกรรม ซึ่งเป็นชื่อบุตรสาวที่มีชื่อเล่นว่า “แอน” ซึ่งตอนนี้พำนักอยู่ที่บ้านหัวหิน) ได้พบกับยาสึนาริ คาวาบาตะ ครั้งแรกในงานประชุมสมาคมนักเขียน PEN International ซึ่งเป็นงาน PEN International Congress ครั้งที่ 29 ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 1-9 กันยายน พ.ศ. 2500 .นี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของการแปล “เสียงแห่งขุนเขา”ในปี พ.ศ. 2511 ปีที่ ยาสึนาริ คาวาบาตะ ได้รางวัลโนเบล สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้นคือ คาวาบาตะ เป็นคนเลือกนวนิยายเรื่องนี้ ให้อมราวดีแปล ด้วยตนเอง ![]() ![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |