ข้อมูล
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
รายละเอียดสินค้า
อาชญารมณ์ต่อเนื่อง   เดือนวาด พิมวนา   : กวีนิพนธ์  สำนักพิมพ์อ่าน  พิมพ์ครั้งแรก กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๖ มี ๑๐๕ หน้า

คำนำจากผู้เขียน
เมล็ดพันธุ์ดึกดำบรรพ์ในจิตวิญญาณอารยชน / เดือนวาด พิมพวนา

ข้าพเจ้าเขียนบทกวีได้ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นกวีได้อย่างแท้จริง เหตุเพราะรู้จักตัวเองดีว่าเป็นคนใคร่ครวญด้วยความระมัดระวัง โน้มเอียงไปทางเจ้าความคิด อยู่กับเหตุและผลเชิงตรรกะมากกว่าจะเฟื่องฝันวูบไหวไปกับอารมณ์ความรู้สึก ข้าพเจ้าตัดสินคุณสมบัติดังกล่าวว่าไม่เหมาะและไม่ใช่ภาวะของกวี ตลอดมาข้าพเจ้าจึงเน้นหนักการเขียนเรื่องสั้นและงานความเรียงเป็นส่วนใหญ่ นานทีปีหนจะบังเกิดอารมณ์อยากเขียนบทกวีสักชิ้น

จึงคล้ายเป็นเรื่องเหลือเชื่อว่าในช่วงเวลาสามถึงสี่ปีมานี้ ข้าพเจ้าแทบจะเขียนแต่บทกวี ซ้ำเป็นบทกวีที่สะท้อนอารมณ์และความคิดทางการเมืองเป็นหลัก แน่นอนว่าสภาวะนี้มาพร้อมกับกระแสความรุ่มร้อนทางการเมือง ทว่าเมื่อหันหลังมองย้อนกลับไป ข้าพเจ้าก็สงสัยใจตัวเองไม่น้อย ด้านหลังนั้นเสมือนมีหุบเหวทางความคิดกั้นขวางอยู่ และข้าพเจ้ากระโดดข้ามมาได้อย่างไร… โดยไม่รู้ตัว

ย้อนอ่านงานบทกวีของตัวเองสมัยก่อนซึ่งสะท้อนแต่มุมมองอันสวยงามต่อชีวิตและธรรมชาติ นั่นเป็นงานเขียนจากวิธีคิดของคนที่พร่ำบอกตัวเองเสมอว่า ข้าพเจ้าอยากสร้างงานวรรณกรรมโดยไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ข้าพเจ้าจะไม่เขียนถึงเรื่องราวที่อิงต่อสถานการณ์ทางสังคมมากเกินไป เพราะคิดว่างานเขียนที่อิงต่อสถานการณ์ไม่สามารถข้ามผ่านกาลเวลาได้ จะต้องหมดความน่าสนใจไปพร้อมๆ กับสถานการณ์นั้น ทั้งยังมีประเด็นซึ่งเป็นข้อถกเถียงในแวดวงว่า งานประเภทใดถือว่าเก่า ประเภทใดถือว่าใหม่ งานแบบไหนถูกกล่าวหาว่าล้าหลัง งานแบบไหนถูกยกย่องว่าสมัยใหม่ กระทั่งว่าวรรณกรรมกำลังพัฒนาไปสู่สมัยใหม่ยิ่งกว่า ต่อประเด็นนี้ข้าพเจ้าได้เคยตอบตนเองเพื่อเป็นหลักคิดในการทำงานไว้เช่นกันว่า งานประเภทเพื่อชีวิตนั้นมีนักเขียนรุ่นพี่เขียนกันมามากและยาวนานเหลือเกินแล้ว ข้าพเจ้าอยากเขียนงานประเภทที่มีมุมมอง วิธีคิด และรูปแบบเป็นของข้าพเจ้าเอง ตอนนั้นข้าพเจ้าเห็นเช่นกันว่า
งานเขียนเพื่อชีวิตนั้นเก่า ล้าสมัย และเป็นสูตรสำเร็จตายตัวจนหมดความน่าสนใจ

ข้าพเจ้าเคยแน่ใจในวิธีคิดของตนเอง ว่าตกผลึกและชัดเจนดีแล้ว แต่คนเราเมื่อมีชีวิตอยู่นานเข้า ชีวิตก็มักจะให้
คำตอบที่ขัดแย้งต่อวิธีคิดของเราเสมอ เช่นว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าศิลปะเป็นเครื่องมือบ่งบอกอารยธรรมของตัวเรา ของสังคมรอบข้าง ของประเทศ และของโลก ดังนั้น ข้าพเจ้าอยากสร้างงานเขียนที่บ่งบอกความก้าวหน้าทางศิลปะ ทว่าในขณะที่ความคิดกำลังเดินหน้า ชีวิตก็กำลังเดินหน้าตลอดเวลา เดินหน้าและซึมซับรับรู้สิ่งรอบข้าง สังคมพลุ่งพล่านเคลื่อนไหวท้าทายความสนใจ ข่าวสารและเรื่องราวในโลกสาดซัดใส่เราแบบไม่ให้ตั้งตัวและไม่มีวันจะหลบหลีกพ้น ตอนแรกข้าพเจ้าไม่ใส่ใจ คิดว่าเป็นเรื่องของโลก ไม่เกี่ยวกับเรา ทั้งที่ตลอดมาชีวิตได้กระซิบบอกอยู่เสมอว่า ก็โลกนี้นี่แหละคือต้นทุนแห่งงานเขียนของเรา ก็สังคมและชีวิตรอบข้างนี่แหละที่เราจะต้องเขียนถึงมัน โลกซึ่งยังคงเต็มอยู่ด้วยปัญหาเก่าแก่ที่เรื้อรังมาแต่ดึกดำบรรพ์ ปัญหาซึ่งในสายตาของศิลปะนั้นล้าสมัยเหลือเกินแล้ว…

ความคิดอันตั้งอยู่บนมุมมองของศิลปะบอกข้าพเจ้าอย่างหนึ่ง แต่ชีวิตอันสัมพันธ์อยู่กับโลกกลับบอกข้าพเจ้าอีกอย่างหนึ่ง

เมื่อนั้นเองที่วิธีคิดของข้าพเจ้าจำต้องปรับเปลี่ยน ศิลปะอาจล้าสมัยเมื่อเวลาล่วงเลย แต่ปัญหาต่างๆในโลกนี้
ยิ่งนานวันดูเหมือนจะยิ่งแก่กล้าคงกระพัน มันมีที่มาจากเมล็ดพันธ์ุเบื้องลึกของมนุษย์ซึ่งดูเหมือนจะไม่เคยเปลี่ยนแปลงไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ศตวรรษ ทว่าตราบใดที่ความป่าเถื่อนดึกดำบรรพ์ยังดำรงอยู่ในปัจจุบัน ก็เป็นหน้าที่ของข้าพเจ้าผู้เป็นนักเขียน เป็นหน้าที่ของศิลปะอยู่เองที่จะหาวิธีแสดงออก ชี้บอกแก่โลกว่า เราจะไม่มีวันนำศิลปะก้าวหน้าไปทางใดได้เลยตราบที่ปัญหาเหล่านี้ยังเข้มข้น คงกระพัน เพราะในเวลาใดเวลาหนึ่ง ปัญหาเหล่านี้จะฉุดประเทศให้ย้อนหลังกลับไปสู่โลกของความป่าเถื่อนดึกดำบรรพ์อย่างเบ็ดเสร็จ เมื่อนั้น ศิลปะจะเก่าหรือใหม่ก็
ไร้ความหมาย

เป็นเรื่องน่าคิดไม่น้อย เหมือนข้าพเจ้าฝันหวานไปว่ายืนอยู่ในประเทศอารยะ ทุกเวลานาที โลกกำลังก้าวไปข้างหน้า เทคโนโลยีก้าวล้ำ อารยธรรมก้าวไกล สิ่งประดิษฐ์สร้างสรรค์จากความคิดสุดประเสริฐของมนุษย์เกิดขึ้นใหม่ทุกๆ วินาที ข้าพเจ้ารับรู้และเฝ้ามองปัญหาที่อยู่ไกลออกไปด้วยความฉงน… ทำไมนะ โลกก้าวหน้ามาถึงเพียงนี้แล้ว แต่ในบางแห่งบางที่ยังคงมีสภาพการณ์ป่าเถื่อนโบร่ำโบราณดำรงอยู่อย่างเข้มข้น ผู้คนในบางประเทศยังมีชั้นวรรณะฝังอยู่ในหัวกะโหลก ผู้คนในบางประเทศยังมีการเหยียดผิวซึมซาบเป็นเนื้อเดียวกับจิตวิญญาณ ผู้นำในบางประเทศยังใช้ระบอบเผด็จการกับประชาชนอย่างไม่สะทกสะท้านต่อนานาอารยะทั่วโลก บางแห่งบางที่ในโลกนี้ยังคงมีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ หลายประเทศยังคุกรุ่นด้วยไฟสงครามกลางเมือง ประชาชนทำได้เพียงกระเสือกกระสนเพื่อจะมีชีวิตอยู่แบบวันต่อวัน หิวโหย อดอยาก เจ็บป่วย หวาดกลัว และสิ้นหวัง ในประเทศที่ความป่าเถื่อนโบร่ำโบราณยึดครองเบ็ดเสร็จเช่นนี้ ข้าพเจ้าเชื่อสนิทใจว่า ไม่มีวันที่อารยธรรมจะคืบหน้าไปได้… วรรณกรรม ศิลปะ และวัฒนธรรมต่างๆ จะเกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อชีวิตไร้หวังและพังพินาศ เมื่อเฝ้ามองเรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้าเผลอคิดยินดีว่าดีเท่าไรแล้วที่อย่างน้อยข้าพเจ้าอยู่ในประเทศที่ไม่มีชั้นวรรณะ ไม่มีการเหยียดผิว ประเทศของข้าพเจ้าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และเราร่วมก้าวเข้าสู่โลกอารยะจนน่าเชื่อได้ว่า ไม่มีเหตุผลใดที่ผู้นำจะสามารถยกมาอ้างเพื่อนำไปสู่การเข่นฆ่าประชาชนอย่างป่าเถื่อนได้อีก

ขณะข้าพเจ้าฝันหวานว่ายืนอยู่ในประเทศอารยะ…ชีวิตยังคงกระซิบต่อไปว่า หากข้าพเจ้าจะสังเกตให้ดี
อันที่จริงปัญหาเก่าแก่โบร่ำโบราณที่สุด ไม่ได้อยู่ไกลตัวดังที่ข้าพเจ้าคิด ความเข้าใจที่ว่า ที่ใดป่าเถื่อนที่นั่นย่อมห่างไกลอารยธรรมอาจไม่ผิดนัก แต่หากบอกว่าที่ใดมีอารยธรรมที่นั่นย่อมห่างไกลจากความป่าเถื่อน อาจกลายเป็นความเข้าใจที่ต้องถูกซักฟอกใหม่ หากข้าพเจ้าจะสังเกตให้ดี… บางทีอารยธรรมและความป่าเถื่อนอยู่ใกล้กันมาก อาจดำรงอยู่ในสังคมเดียวกัน อาจอยู่ในพื้นที่เดียวกัน อาจอยู่ร่วมเสียดสีคลุกคลีกันทุกวี่วัน และถึงกับ… อาจอยู่ร่วมกันภายในใจของบุคคลหนึ่ง

ในโลกวรรณกรรม รอบตัวข้าพเจ้าเต็มไปด้วยงานเขียนสร้างสรรค์ ชี้นำถึงคุณธรรมความถูกต้อง ชี้นำถึงความรักอันยิ่งใหญ่ซึ่งบ่งบอกถึงการให้มากกว่าเห็นแก่ตัว ชี้นำถึงความเสียสละ ถึงการมีชีวิตอยู่เพื่อสิ่งดีงาม ถึงความทะนงตนที่จะไม่ก้มหัวให้แก่อำนาจชั่วร้าย อารยธรรมแห่งจิตวิญญาณเบ่งบานผ่านตัวหนังสือ… ทว่า ในโลกแห่งความเป็นจริง คนเขียนหนังสือกลุ้มกังวลกับการไม่มีชื่อเสียง ทุกข์ทรมานกับการพลาดหวังในรางวัล สอดส่ายสายตามองหา
ทางลัดเพื่อตะกายขึ้นที่สูง คุณภาพของผลงานไม่สำคัญเท่าความสนิทชิดเชื้อต่อกรรมการตัดสินรางวัล, ไม่สำคัญเท่าการมีสัมพันธ์แนบชิดกับผู้สามารถเป็นกระบอกเสียงให้ในสื่อสิ่งพิมพ์ และอยู่ภายใต้ระบบอุปถัมภ์ค้ำจุนของ
ผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงแบบของใครของมัน

ไม่ทันที่ข้าพเจ้าจะตระหนักได้ ว่าในสังคมที่อารยธรรมและความป่าเถื่อนดึกดำบรรพ์สามารถดำรงอยู่ในพื้นที่
เดียวกันอย่างกลมกลืนแนบแน่นจนแยกไม่ออกว่าไหนจริงไหนลวงนี้เป็นสังคมชนิดใด… ประเทศแห่งระบอบประชาธิปไตยของข้าพเจ้าก็เปิดโฉมหน้าอันล้าหลังด้วยการทำรัฐประหารขึ้นอีกจนได้ ความป่าเถื่อนครั้งนี้ถูกผลักดันโดยคณะบุคคลผู้มีอารยะสูงส่งทั้งสิ้น เป็นการรัฐประหารที่ไม่เหมือนครั้งใด และอาจไม่เหมือนใครในโลก เหล่าผู้ดีมีจริยธรรม ผู้ทรงศีล นักปราชญ์ราชบัณฑิต เหล่านักเขียนผู้เบ่งบานด้วยอารยธรรมแห่งจิตวิญญาณ ปัญญาชนและผู้มีการศึกษาขั้นสูง… ประสานเสียงกันกึกก้องราวกับซิมโฟนีออเคสตรา พวกเขายินดี และเห็นด้วยกับการทำ
รัฐประหาร กลุ่มชนอันเป็นตัวแทนแห่งอารยะของประเทศไม่ยินดีต่อกติกาเสียงส่วนใหญ่ ไม่ยินดีที่เสียงส่วนใหญ่มาจากชนชั้นการศึกษาน้อยจนถึงขั้นไร้การศึกษา ไม่ยินดีที่ชนชั้นการศึกษาน้อยจนถึงไร้การศึกษาจะได้รับสิทธิ
เสมอภาคเท่ากับผู้มีการศึกษาสูง ทว่าประชาสามัญชน คนส่วนใหญ่ของประเทศ งุนงงสงสัย ที่จู่ๆ วิถีแห่งประชาธิปไตยซึ่งบ่งบอกถึงสิทธิอันเสมอภาคของพลเมืองทั้งประเทศถูกล้มล้างอย่างง่ายดาย

ประเทศแห่งอารยะถอดหน้ากากทิ้ง กลุ่มชนซึ่งเคยเป็นตัวแทนแห่งอารยะเผยกมลสันดานอันล้าหลังป่าเถื่อนอย่างเปิดเปลือยโจ่งแจ้ง ประเทศของข้าพเจ้าไม่มีชั้นวรรณะ ทว่ากมลสันดานแห่งชนชั้นฝังรากลึกมาแต่ครั้งสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และยังคงงอกงามอยู่ในปัจจุบัน ประเทศของข้าพเจ้าไม่มีการเหยียดผิว ทว่าผู้มีการศึกษาสูงมองเห็นผู้ไร้การศึกษาเสมอสัตว์ชนิดหนึ่ง

อารยธรรมที่ข้าพเจ้าเคยคิดว่ามีอยู่จริงสลายหายวับไปกับตา ศิลปะ วัฒนธรรม วรรณกรรม ซึ่งเคยเชิดหน้าชูตาและมีความพยายามขับเคลื่อนให้เกิดความก้าวหน้า ฉับพลันก็ตกอยู่ในสภาพไร้ค่า ราวกับเศษซากของขยะที่ถูกเหวี่ยงลงหลุมขนาดใหญ่ ปะปนกับผู้คนซึ่งล้วนเป็นเหยื่อแห่งความอยุติธรรม อีกครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้ายืนยันกับตนเองว่า ที่ใดป่าเถื่อน ที่นั่นย่อมห่างไกลจากอารยธรรม…

เมื่อนั้นเอง ที่ข้าพเจ้าเริ่มคิดถึงความรู้สึกในเชิงสมมติของตนเองสมัยก่อน ว่าหากข้าพเจ้าเป็นพลเมืองแห่งประเทศเช่นรวันดา ในท่ามกลางสงครามชาติพันธ์ุ ในท่ามกลางกองศพ ในท่ามกลางความเกลียดชังของคนสองฝักฝ่าย ข้าพเจ้าจะสร้างงานเขียนด้วยวิธีคิดเช่นไร จะยังหวังให้ศิลปะเดินหน้าอยู่หรือไม่

เมื่อนั้นเอง ที่ข้าพเจ้าเริ่มเขียนบทกวีการเมือง

รัฐบาลใหม่ได้ของขวัญจากคณะรัฐประหารให้บริหารประเทศ ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นโดยคณะรัฐประหาร และเพื่อประกาศให้โลกได้ประจักษ์อีกครั้งว่าอารยธรรมแห่งประเทศนี้ได้หมดสิ้นไปแล้วอย่างแท้จริง ผู้นำประเทศมึ
คำสั่งอนุญาตให้ทหารเข้าสลายการชุมนุมของประชาชนโดยใช้กระสุนจริง… ประชาชนผู้ไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ถูกฆ่าตายเกลื่อนกลาดกลางเมืองหลวง ความตายที่มีเสียงโห่ร้องยินดีของผู้มีการศึกษาสูง ความตายท่ามกลางสีหน้าอันสะสาแก่ใจของนักปราชญ์ราชบัณฑิต ความตายท่ามกลางรอยยิ้มสมคาดหมายของเหล่าผู้ดีมีจริยธรรม เหมือนข้าพเจ้าจะฝันร้ายไปว่า ได้ยืนอยู่ในดินแดนประหลาดล้ำ เป็นประเทศประชาธิปไตยที่ใช้รัฐธรรมนูญของเผด็จการ เป็นดินแดนที่ความป่าเถื่อนดึกดำบรรพ์งอกเงยออกมาจากอารยชนคนดี เป็นดินแดนที่คนทำงานศิลปะและวรรณกรรมพยายามใช้เท้าลบทิ้งผลงานเก่าๆ ของตัวเองอย่างบ้าคลั่ง และอาจมีแต่ดินแดนนี้เท่านั้นที่ซาตานและพระเจ้าอยู่ในร่างของคนคนเดียว

ฝันร้ายของข้าพเจ้ายาวนานขึ้นทุกที แจ่มชัดขึ้นทุกขณะแม้กาลเวลาผันผ่าน ไม่ว่าข้าพเจ้าจะหลับและตื่นขึ้นสักกี่ครั้ง ข้าพเจ้ายังคงอยู่ในเมืองโบราณ นั่งเขียนบทกวีการเมืองอันมีแต่เรื่องราวล้าหลังดึกดำบรรพ์ บทกวีซึ่งไม่อาจคาดหวังถึงความก้าวหน้าทางศิลปะ แต่อาจคาดหวังได้ว่า บทกวีการเมืองเหล่านี้จะไม่ไร้ค่า ในสายตาของเหยื่ออธรรม.

เดือนวาด พิมวนา
สำนักเขียน, ทะเลตะวันออก
มกราคม 2556

เงื่อนไขอื่นๆ
Tags

นโยบายการเปลี่ยนหรือคืนสินค้า

ไม่มีนโยบายการเปลี่ยนหรือคืนสินค้า

ประเภทหนังสือ

CONTACT US

MEMBER ZONE

test link adipiscing elit. Nullam dignissim convallis est. superscript dolor subscript

พูดคุย-สอบถาม