จำนวนชิ้น | ส่วนลดต่อชิ้น | ราคาสุทธิต่อชิ้น |
{{(typeof focus_pdata.price_list[idx+1] == 'undefined')?('≥ '+price_row.min_quantity):((price_row.min_quantity < (focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1))?(price_row.min_quantity+' - '+(focus_pdata.price_list[idx+1].min_quantity - 1)):price_row.min_quantity)}} | {{number_format(((focus_pdata.price_old === null)?focus_pdata.price:focus_pdata.price_old) - price_row.price,2)}} บาท | {{number_format(price_row.price,2)}} บาท |
คงเหลือ | ชิ้น |
จำนวน (ชิ้น) |
- +
|
ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า ซื้อเลย หยิบลงตะกร้า คุณมีสินค้าชิ้นนี้ในตะกร้า 0 ชิ้น
|
|
|
|
คุยกับร้านค้า | |
{{ size_chart_name }} |
|
หมวดหมู่ | ศาสนา และ ปรัชญา |
สภาพ | สินค้าใหม่ |
เพิ่มเติม | |
สภาพ | สินค้ามือสอง |
เกรด | |
สถานะสินค้า | |
ระยะเวลาจัดเตรียมสินค้า | |
เข้าร่วมโปรโมชั่น | |
ข้อมูล |
น้ำหนัก
บาร์โค้ด
ลงสินค้า
อัพเดทล่าสุด
|
รายละเอียดสินค้า |
เลือดทิเบต Born in Tibet อัตชีวประวัติ เชอเกียม ตรุงปะ บทบันทึกแห่งปัญญาญาณ และวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่ธำรงอยู่ในทิเบต เชอเกียม ตรุงปะ เขียน บุลยา แปล สำนักพิมพ์มูลนิธิโกมลคีมทอง พิมพ์ครั้งที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ มี ๔๖๔ หน้า
หนังสือ “เลือดทิเบต” ซึ่งเป็นอัตชีวประวัติช่วงต้นในชีวิตของท่านเชอเกียม ตรุงปะ วัชราจารย์ชาวทิเบต ผู้ใช้เวลากว่ายี่สิบปีในการเผยแผ่พุทธศาสนาในซีกโลกตะวันตก เป็นหนึ่งในธรรมาจารย์ชาวทิเบตเพียงไม่กี่ท่าน ที่ยอมทิ้งคราบความเป็นลามะและวัฒนธรรมทิเบตที่เขาเติบโตมา เพื่อการทำความเข้าใจชีวิตศิษย์ชาวตะวันตกของเขาอย่างไม่ถือตน หนทางการปฏิบัติและคำสอนของท่าน จะนำมาสู่การปฏิบัติและแนวทางในชีวิตของเราได้อย่างไร ในบริบทของสังคมไทยและในโลกสมัยปัจจุบัน คุณกฤษดาวรรณ หงศ์ลดารมภ์ ผู้เลื่อมใสและศรัทธาต่อพุทธศาสนาในทิเบต จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ก่อตั้งมูลนิธิพันดาราและศูนย์วัฒนธรรมทิเบต เพื่อเผยแพร่ภาษา ศาสนา และวัฒนธรรมแบบทิเบต อธิบายให้เห็นถึงการศึกษารายละเอียดของพุทธศาสนาแบบทิเบต ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างครูกับศิษย์ เชอเกียม ตรุงปะ ถือเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนาฝ่ายทิเบต แต่แทบจะไม่มีใครรู้จักท่าน ทั้งในหมู่ชาวทิเบตและชาวต่างชาติ “เลือดทิเบต” ช่วงแรกเป็นการบอกเล่าเรื่องราวชีวิตของเชอเกียม ตรุงปะ ตั้งแต่เมื่อตอนเป็นนักบวช ท่านได้รับการบ่มเพาะในด้านการปฏิบัติอย่างสมบูรณ์ในสมัยที่อยู่วัด จนกระทั่งอพยพออกมาจากทิเบต ท่านมองว่าการไปอยู่ในโลกตะวันตก ไปอยู่กับผู้คนซึ่งในสังคมสมัยนั้นไม่มีธรรมะ การครองจีวรสีแดง การมีตำแหน่งเป็นตุลกู ไม่สามารถทำให้ท่านเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตลูกศิษย์ได้ ท่านจึงตัดสินใจเรียนรู้การใช้ชีวิตที่เหมือนลูกศิษย์ เป็นฆราวาสในโลกสมัยใหม่เมื่อเชอเกียม ตรุงปะ ได้สัมผัสกับผู้คนในตะวันตก ดินแดนที่ซึ่งไม่มีใครเข้าใจในพระพุทธศาสนา แม้ท่านเคยเป็นพระอาจารย์ยิ่งใหญ่ มีลูกศิษย์จำนวนมากในทิเบต แต่ในตะวันตกท่านหาลูกศิษย์ไม่ได้แม้แต่คนเดียว ท่านตัดสินใจไปอยู่อเมริกา เผยแพร่พระพุทธศาสนาให้แก่ชาวอเมริกัน ซึ่งขณะนั้นกำลังโหยหาพระธรรม พระธรรมใดๆ ก็ตามที่จะช่วยให้เข้าใจสภาวะจิต เพราะขณะนั้น อเมริกากำลังอยู่ในช่วงสงครามเวียดนาม ผู้คนต่างมีความรู้สึกว่าชีวิตขาดทิศทาง โหยหาจิตวิญญาณที่จับต้องได้ เชอเกียม ตรุงปะ ได้พยายามสอนให้ชาวตะวันตกเหล่านี้ได้รู้จักกับชัมบาลา มันไม่ใช่สิ่งที่อยู่ห่างไกลจากตัว แต่สิ่งเหล่านี้อยู่ในใจ ท่านพยายามชี้ให้เห็นว่าธรรมมันไม่ใช่ดินแดนในทางโลก มันต้องปฏิบัติแล้วจึงจะค้นพบ แม้เชอเกียม ตรุงปะ จะเป็นนิรมานกาย ผู้สืบสายทางจิตวิญญาณอันเป็นที่เคารพของชาวทิเบต แต่ท่านค่อนข้างจะมีวิถีที่แตกต่างจากนิรมานกายองค์ก่อน ท่านเป็นคุรุในโลกสมัยใหม่ มีลูกศิษย์เป็นฮิปปี้ ซึ่งภายหลังคนเหล่านั้นได้กลายเป็นคุรุทางจิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่หลายท่าน ท่านได้เปลี่ยนบุคคลที่ชีวิตไม่เหลืออะไร กลับมามีชีวิตที่เติมเต็มและมาเป็นครูสอนธรรมให้แก่ผู้อื่นคุณรสนา โตสิตระกูล นักแปลหนังสือพุทธศาสนาและผู้นำแนวคิดพุทธธรรม มาประยุกต์ใช้กับการพัฒนาสังคม ผู้ซึ่งสนใจและติดตามงานเขียนของเชอเกียม ตรุงปะ นำเสนอมุมมองจากหนังสือ “เลือดทิเบต” ว่าเป็นการปูพื้นฐานให้เราเห็นถึงช่วงชีวิตของเชอเกียม ตรุงปะ ที่สามารถแสดงธรรมะอย่างมีสีสันในโลกตะวันตกสมัยใหม่ ซึ่งต้องเกิดขึ้นจากการเคี่ยวกรำ การบ่มเพาะอย่างหนัก ขณะที่รัฐบาลจีนบุกเข้าทิเบต ท่านมีอายุเพียง 20 ปี สำหรับคนที่ถูกบ่มเพาะตามจารีตประเพณีอย่างหนัก ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก ผลงานชิ้นสำคัญของเชอเกียม ตรุงปะ อีกเล่มหนึ่งคือหนังสือ “ทะลวงวัตถุนิยมทางจิตวิญญาณ ” เป็นสิ่งที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจในความเป็นท่านมากขึ้น โดยเมื่อท่านเข้าไปสอนในโลกตะวันตก ท่านจะปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอเมริกันที่ส่วนใหญ่เป็นคนที่นิยมวัตถุ แม้แต่การแสวงหาทางจิตวิญญาณก็เป็นการแสวงหาแบบวัตถุนิยม การแสวงหาแบบสะสม ท่านพยายามทะลวงให้ศิษย์ได้รับธรรมะที่แท้จริง ธรรมะต้องเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ธรรมะต้องไม่เป็นเพียงเครื่องประดับ ซึ่งธรรมมะนั้นเป็นประสบการณ์ทางตรงที่เป็นการส่งต่อระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ ส่วนเรื่อง นิรมานกายหรือการสืบสายทางจิตวิญญาณนั้น ก็เปรียบเสมือนเมล็ดข้าว เมล็ดข้าวที่เราหว่านลงไป มันจะงอกเป็นต้นและสุดท้ายก็จะกลับกลายเป็นรวงข้าวที่มีเมล็ด เมล็ดเหล่านี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของเมล็ดแรก และเมื่อเอาไปปลูกต่อมันก็เป็นข้าวสืบเนื่องกันเรื่อยมา อุปมาว่า นิรมานกายก็เป็นการสืบเนื่องกันต่อมา การสืบเนื่องที่ว่านั่นเป็นเรื่องของธรรมะในจิตใจในการนี้ นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานมูลนิธิโกมลคีมทอง ได้แลกเปลี่ยนและให้แง่มุมต่อพุทธศาสนาอย่างน่าสนใจไว้ว่า พุทธศาสนาแบบไทยได้ถูกตีกรอบ และจากกรอบนี้เองที่กลายมาเป็นตัวกำหนดว่า สิ่งที่ดีที่สุดคือพุทธเถรวาท ในส่วนของวัชรยานก็ถูกมองว่าเป็นพุทธที่เสื่อม แต่แท้ที่จริงแล้วศาสนาพุทธเริ่มต้นที่เถรวาทได้ประมาณ 500 ปี หลังจากนั้นก็เกิดการประณีประนอม ผสมผสานกับศาสนาฮินดู จนเกิดเป็นพุทธศาสนาแบบมหายาน (มีพระเจ้าหลายองค์) แล้วก็เกิดการผสมรับเอาลัทธิตันตระ ของพราหมณ์เข้ามา จนทำให้เกิดพุทธศาสนาแบบวัชรยานขึ้น ซึ่งพุทธแบบเถรวาทอธิบายว่า นี่เป็นความเสื่อมถอยของพุทธศาสนาตามลำดับ แต่พุทธแบบวัชรยานกลับมองว่าเป็นความเจริญขึ้น “ในปัจจุบันเราอยู่ภายใต้สังคมและโลกที่สลับซับซ้อน สังคมที่ถูกปกคลุมด้วยเรื่องของวัตถุนิยม การที่แต่ละคนจะค้นหาเส้นทางที่จะยกระดับและพัฒนาจิตวิญญาณภายในของเรานั้น จำเป็นที่จะต้องแหกกรอบของวัตถุนิยมให้ได้ เราจะต้องทบทวนเพื่อที่จะกลับมาหาธรรมเดิมแท้ให้ได้ ดังเช่น ท่านพุทธทาสเคยกล่าวไว้ว่า “อยากให้พุทธศาสนิก รวมทั้งศาสนิกทั้งหมดในโลก กลับมาค้นหาแก่นธรรมในศาสนาของตนเอง ในฐานะที่เป็นศาสนิกของศาสนานั้นๆ และร่วมกันนำพาโลกให้หลุดออกจากวัตถุนิยม” แต่การที่จะเดินทางไปหาจุดหมายของชีวิตได้นั้น เราจะต้องพบเจอกับขวากหนามอันเป็นอุปสรรคของชีวิตอย่างมากมาย แต่ถ้าเรามีแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสม ตรงตามจริตของเราเอง เราก็จะสามารถเข้าใจถึงธรรมชาติเดิมแท้ได้ ซึ่งมันจะเป็นพลังให้เราหลุดพ้นจากวัตถุนิยมทางจิตวิญาณ”![]() ![]() |
เงื่อนไขอื่นๆ |
|
Tags |