อนุสรณ์ มนัส จรรยงค์ ชุมนุมนักเขียนแด่นักเขียนผู้เป็นหนึ่ง สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ. ๒๕๕๐
มาพูดถึงมนัส จรรยงค์ กันเถอะ
มนุษย์เรานีี่ก็แปลก เมื่ออายุขัยวัยล่วงนานมา ความทรงจำที่ใกล้ๆ ก็มักจะเสื่อมๆ ไป ลางทีเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ ไม่กี่วันก็ลืมเสียสนิท นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เห็นหน้าคนจำได้ว่าเคยรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่นึกชื่อของเขาไม่ออกเอาเสียดื้อๆ ยังงั้นแหละ แต่ถ้าเล็งลึกลงไปในอดีตแล้วก็ช่างจำได้แม่นยำราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานซืน
เมื่อราว พ.ศ. ๒๔๗๔ คือเมื่อ ๓๔-๓๕ ปีที่ล่วงมาแล้วนี้ ถ้าใครเป็นนักอ่านนวนิยายในสมัยนั้นแล้วก็น่าจะจำได้ว่าหนังสือพิมพ์รายวันในสมัยนั้นขายนวนิยายเป็นส่วนสำคัญ ข่าวสารการเมืองไม่ค่อยจะมี เรื่องยิงกันฟันกันหรือกินยาตายหาทำยายาก นักข่าวก็อาศัยข่าวสดตามโรงพัก ที่สุดหาข่าวประจำวันไม่ได้ก็แต่งขึ้นเสียเอง เช่น จระเข้ที่ขึ้นที่คลองเปรมก็ยังมี ในยุคนั้นหนังสือพิมพ์รายวันออกล่วนหน้ากันตั้ง ๒ วัน เช่นวันนี้ิเป็นวันจันทร์ แต่จะมีเด็กขายหนังสือพิมพ์วิ่งร้องไปตามบาทวิถึว่า"หนังสือพิมพ์หลักเมืองวันพุธออกแล้วครับ" ดังนี้เป็นต้น
ตอนนั้น มนัส เป็นดารา อยู่ที่นั้น เขียนนวนิยายในนาม มนัส จรรยงค์ กับ อ.มนัสวีร์ และอื่นๆ รวม ๒-๓ เรื่อง แข่งฝีมือกับ ป.ศรีสมวงศ์ ในสำนักเดียวกัน ผมได้ยินชื่อ มนัส จรรยงค์ มาแต่ครั้งนั้น แต่ยังไม่มีโอกาสได้รู้จักตัวกัน
จนกระทั้งเมื่อเราแพแตกจาก ไทยใหม่ เพราะใครคนหนึ่งนำเอาการเมืองของเขาเข้ามาแทรก
ดังที่ทราบกันอยู่แล้วพวกเราล้วนแต่จองหอง ไม่ยอมเป็นเครื่องมือของใคร จึงต้องออกมาเตะฝุ่นกันอยู่พักใหญ่ ไปจับกลุ่มออกหนังสือพิมพ์ ผู้นำ โดยทองอิน บุณยเสนา เป็นบรรณธิการ อยู่ที่โรงพิมพ์ของคุณเทียน เหลียวรักวงศ์ ที่่ถนนสีลม ครั้งตกเย็นแดดร่มลมอ่อนแล้วก็มักพากันเดินเตะชาย (ตอนนั้นยังนุ่งกางเกงแพรกันอยู่ เสื้อชั้นนอกส่วมบ้างไม่ส่วมบ้าง) จากถนนสีลมไปจนถึงสะพานพุทธ ซึ่งตอนนั่นยังไม่เปิดเป็นทางการ แต่ก็ใช้เดินข้ามไปข้ามมาได้แล้ว พวกเรามักจะไปกันเป็นกลุ่มใหญ่
ก็มีอะไรดีที่ฝั่งธน เปล่า นอกจากว่าเป็นของใหม่ ด้วยแต่ก่อนกว่าจะข้ามฟากได้ก็ต้องลงเรือจ้างกันทุลักทุเล เดี๋ยวนั้นเดินข้ามสะพานได้สบาย ลมพัดเย็นเป็นกลางแจ้ง แล้วก็มีร้านจำหน่ายอาหารราคาถูกๆตั้งเรียงรายอยู่ทั้งสองฟากถนนไปจนถึงวงเวียนเล็ก (ซึ่งขณะนั้นยังไม่มีรูปร่างเป็นวงเวียน) ข้าวแกงจานละ ๕ สตางค์ นำ้แข็งใส่นำ้หวานสตางค์เดียว ใครมีเงินติดตัวไปเพียงหนึ่งบาท ก็เลี้ยงพรรคพวกได้ทั้งโขยง
จนวันหนึีงเราตกลงกันว่าจะเลยไปเยี่ยม มนัส จรรยงค์ ให้ถึงบ้านพักของเขา บ้านพักของ มนัส ตอนนั้นอยู่แถววงเวียนเล็ก แต่เดี๋ยวนี้ไม่แน่ใจเสียแล้วว่าตั้งอยู่ตรงไหน เพราะตึกกว้านบ้านเรือนผุดขึ้นสะพรั่งไปหมด
มนัส ดีอกดีใจมาก เพราะไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าเพื่อนฝูงจะมาเยี่ยม เมื่อกุหลาบทำหน้าที่ชักนำผู้ที่ยังไม่รู้จักกันให้ได้รู้จักกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าของบ้านก็เรียกสุราปลาปิ้งมาตอนรับกันทันที.