วัดเทพธิดาราม และ"บ้านมหากวี" กุฏีสุนทรภู่ สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการวัดเทพธิดาราม วรวิหาร วัดเทพธิดาราม เป็นอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่ริมถนนมหาไชย แขวงสำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีเนื้อที่ประมาณ ๒๕ ไร่ ประวัติความเป็นมา เดิมชื่อวัดพระยาไกรสวนหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่เกล้าเจ้าอยู่หัว ( รัชกาลที่ ๓ )ทรงสถาปนา พ.ศ. ๒๓๗๙ เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชทานแก่พระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้าหญิงวิลาส พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ผู้ทรงพระสิริโฉมซึ่งทรงพระเมตตาโปรดปรานอย่างยิ่งด้วยรับราชการใกล้ชิดพระองค์ตลอดมา และภายหลังทรงสถาปนาขึ้นทรงกรมเป็น “กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพ” การก่อสร้างพระอารามแห่งนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี (พระองค์เจ้าชายลดาวัลย์ ) เป็นแม่กอง อำนวยการสร้างในตำบลสวนหลวงพระยาไกร สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินผูกพ้ทธสีมาด้วยพระองค์เอง พระราชทานพระนามว่า “วัดเทพธิดาราม” เนื่องจาก พระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดเทพได้บริจาคทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ร่วมในการก่อสร้างด้วย รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕ ) พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ ทรงดำรงตำแหน่งมรรคยนายกพระองค์เอาพระทัยใส่ดูแลและบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถ พระวิหาร ศาลาคร่อมกำแพงระหว่างพระอุโบสถและพระวิหาร ๒ หลัง เจดีย์รายรอบพระวิหารศาลารายพระวิหารในกำแพง ตุ๊กตาหิน วิหารน้อย หอไตร และในพ.ศ. ๒๔๔๔ ทรงบูรณะพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากจังหวัดพิษณุโลก นำขึ้นประดิษฐานในซุ้มพระปรางทั้ง ๔ องค์ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖ ) ได้บูรณะสถานที่จงกรม ศาลาคร่อมกำแพงหลังพระอุโบสถ ๒ หลัง สระนำ้ พื้นกุฏิคระกลาง ปูหินอ่อนพื้นและตกแต่งเครื่องประดับภายในพระอุโบสถรวมทั้งซ่อมแซมเครื่องใช้ภายในพระอุโบสถ บูรณะประตูกำแพงและกำแพงหน้าวัด ตลอดจนสร้างฐานม้าหมู่และตู้พระไตรปิฎก รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๗ ) ได้สร้างถนนปูกระเบื้องซีเมนต์หลังโรงเรียนธรรมวินัย บูรณะกุฏิ หอฉัน และซุ้มประตู รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล (รัชกาลที่ ๘ ) ได้บุรณะซ่อมแซมสิ่งที่ชำรุดทั่วไปเล็กๆ น้อยๆ รัชกาลปัจจุบัน ได้บูรณะศาลาการเปรียญ สร้างถนน สร้างศาลาทรงไทยด้ายหลังวัด ๒ หลัง บูรณะซ่อมแซมกุฏิเสนาสนะและส่วนที่ชำรุดอื่นๆ โดยทั่วพระอาราม กรมศิลปกรได้ประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๒ สิ่งสำคัญภายในวัด พระอุโบสถ กว้าง ๑๓.๒๐ เมตร ยาว ๒๗.๒๐ เมตร เป็นอาคารก่ออัฐถือปูน พระประธาน ประดิษฐานภายใน สลักด้วยศิลาสีขาวบริสุทธิ์ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๔ นิ้ว สูง ๒๐ นิ้ว ไม่ทราบประวัติการสร้างหรือที่มา ปรากฎแต่ว่าพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้อัญเชิญไปจากพระบรมมหาราชวัง พระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู๋เหนือเวชยันต์บุษบก เรียกนามสามัญว่า “หลวงพ่อขาว “ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ได้พระราชทานนามว่า “พระพุทธเทววิลาส “ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๔ ผนังภายในพระอุโบสถเขียนลายพุ่มข้าวบิณฑ์ตามแบบศิลปะสมัยรัชกาลที่ ๓ หลังคาพระอุโบสถเป็นแบบไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หนัาบันประดับด้วยเครื่องกระเบื้องเคลือบจีน บานประตูหน้าต่างเขียนลายรดนำ้ พระวิหาร มีลักษณะเช่นเดียวกับพระอุโบสถ กว้าง ๑๓.๒๐ เมตร ยาว ๒๒.๒๐ เมตร สิ่งสำคัญภายในพระวิหารนอกจากพระประธาน ยังมีรูปหมู่อริยสาวิกา (ภิกษุณี) ซึ่งได้รับเอตทัคคะในฝ่ายภิกษุณีบริษัท หล่อด้วยดีบุก ประดิษฐานอยู่ด้วย ๕๒ พระองค์ ศาลาการเปรียญ อาคารก่ออิฐถือปูนทรงจีน กว้าง ๑๔.๗๕ เมตร ยาว ๒๒.๖๐ เมตร ศาลาราย มีทั้งหมด ๑๐ หลัง สร้างคร่อมรอบกำแพงพระอุโบสถ ๘ หลัง ใช้ได้ทั้งด้านนอกและด้านใน เรียกได้ว่าเป็นศาลา ๒ หน้า ศาลารายอีก ๒ หลังอยู่บริเวณด้านหน้าพระวิหารศาลา ทั้งหมดนี้ใช้เป็นที่พักอาศัยบำเพ็ญกุศล และเป็นสถานศีกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณรในปัจจุบัน พระวิหารน้อย ๒ หลัง อยู่ภายในกำแพงพระวิหารใหญ่ หอไตร มี ๒ หลัง อยู่ทางทิศเหนือและใต้ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนใต้ถุนสูง หลังคามีช่อฟ้า ใบระกา หนัาบันปิดทองล่องชาด เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก หนังสือพระธรรม คัมภีร์ต่างๆ หอสวดมนต์ มี ๒ หลัง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและใต้ เป็นสภานที่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็นและท่องจำพระสูตร พระปริตร ปัจจุบันใช้หอหลังทิศเหนือเป็นห้องสมุดของวัด ศาลายกพื้น อยู่ทางทิศเหนือของวัด ขนาดใหญ่พอสมควร ปัจจุบันใช้เป็นสถานที่ศึกษาพระธรรมวินัยชั่วคราว (โรงเรียนพลอยวิจิตร) พระปรางค์ มีทั้งหมด ๔ องค์ ตั้งประจำทั้งสี่มุมของพระอุโบสถ คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทิศตะวันออกเฉียงใต้ พระปรางค์ทั้ง ๔ นี้ แต่ละองค์ตั้งอยู่บนลานทักษิณสูง ที่ฐานปรางค์แต่ละองค์มีรูปท้าวจตุโลกบาล คือ ท้าวธตรฐ วิรุฬหก วิรูปักษ์ และกุเวร ประจำรักษาในทิศทั้ง ๔ บริเวณสังฆาวาส เป็นที่ตั้งกุฎิเสนาสนะของพระสงฆ์ กุฎิในพระอารามนี้แบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ สำหรับฝ่ายคันถธุระและวิปัสสนาธุระ กุฏิสำหรับพระสงฆ์ฝ่ายวิปัสสนาธุระอยู่ท้ายวัด มี ๑๖ หลัง เครื่องประดับพระอาราม เครื่องประดับพระอารามเหล่านี้ ได้แก่ ตุ๊กตาศิลาสลักของจีน มีทั้งที่เป็นรูปคนและสัตว์ ตู๊กตารูปคน ตั้งอยู่บริเวณรอบพระอุโบสถ มีสักษณะที่น่าสนใจคือบางตัวมีลักษณะท่าทางและการแต่งกายแบบจีน บางตัวแต่งกายแบบไทย เช่น ตุ๊กตาสตรีชาววังนั่งพับเพียบเท้าแขน และตุ๊กตาสตรีอุ้มลูก เป็นต้น ปัจจุบันตุ๊กตาเหล่านี้อยู่ในสภาพค่อนข้างชำรุด และบางส่วนได้ถูกขโมยไป ตุ๊กตารูปสัตว์ ได้แก่ สิงโตจีน ตั้งอยู่ที่หน้าพระอุโบสถ พระวิหารและศาลาการเปรียญแห่งละ ๑ คู่ นอกจากนี้ วัดเทพธิดารามยังมีความสัมพันธ์กับจินตกวีเอกของกรุงรัตนโกสินทร์ ท่านผู้นี้คือพระศรีสุนทรโวหาร (ภู่) หรือที่รู้จักกันในนามว่า “สุนทรภู่” ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ท่านได้อุปสมบทและจำพรรษาที่พระอารามนี้ ระหว่าง พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๘๕ ซึ่งได้รับพระอุปถัมภ์จากพระเจ้าลูกเธอ กรมหมื่นอัปสรสุดาเทพตลอดมา สุนทรภู่ได้สร้างงานประพันธ์ไว้เป็นจำนวนมาก ในบรรกางานเหล่านี้เรื่องที่เกี่ยวกับวัดเทพธิดารามมากที่สุดคือ “รำพันพิลาป “ ท่านได้พรรณนาให้เห็นลักษณะปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุและความงามของพระอารามในสมัยนั้นอย่างละเอียด ปัจจุบันทางวัดได้อนุรักษ์กุฏิซึ่งท่านเคยจำพรรษาไว้ในฐานะบ้านกวีตั้งชื่อว่า “กุฏิสุนทรภู่ “ และรูหล่อครึ่งตัวของท่านเมื่อท่านยังเป็นพระภิกษุประดิษฐานไว้เป็นอนุสรณ์ กรมศิลปากรเคยจัดงานกวีวรรณาขึ้นที่วัดนี้ เมื่อ วันที่ ๒๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕ อันเป็นวัดเกิดของท่านสุนทรภู่ เปิดให้ชมกุฏิที่ท่านเคยพำนักและนำชมถาวรวัตถุในวัดตามที่ปรากฎในเรื่องรำพันพิลาปของท่าน แล้วรำ่ภาวนาในพระไตรลักษณ์ ประหารรักหนักหน่วงต้ดห่วงหาย หอมกลิ่มธูปงูบระงับหลับสบาย ฝันว่าว่ายสายชะเลอยู่เอกา สิ้นกำลังยังมีนารีรุ่น รูปเหมือนหุ่นเหาะเร่ร่อนเวหา ช่วยจูงไปไว้ที่วัดได้ทัศนา พระศิลาขาวล้ำดังสำลี ทั้งพระทองสององค์ล้วนทรงเครื่อง และเลื่อมเหลืองเรืองจำรัสรัศมี พอเสียงแซ่แลหาเห็นนารี ล้วนสอดสีสาวน้อยนับร้อยพัน เคยเดินเล่นเย็นลมเลียบชมรอบ ริมแขวงขอบเขตที่เจดียฐาน พระปรางค์มีสี่ทิศพิสดาร โบสถ์วิหารการเปรียญล้วนเขียนทอง ที่หน้าบันปั้นอย่างเมืองกวางตุ้ง ดูเรืองรุ่งรูปนกผกผยอง กระเบื้องเดลือบเหลือบสลับเหลี่ยมรับรอง ศาลาสองหน้ารอบขอบกำแพง สิงโตจีนตีนตัวน่ากลัวกลอก ขยับขยอกแยกเขี้ยวเสียวแสยง ที่ตึกก่อช่อฟ้าใบระกาแดง ริมกำแพงตะพานขวางเคียงข้างคลอง เป็นพลับพลาพาไลข้างในเสด็จ เดือนสิบเบ็ดเคยประทานงานฉลอง เล่นโขนหยังฟังปี่พาทย์ระนาดฆ้อง ละคอนร้องเรื่องแขกฟังแปลกไทย ประทานรางวัลนั้นไม่ขาดคนดาษดื่น ทั้งวันคืนครื้นครั่นเสียงหวั่นไหว จะวายเห็นเย็นเยียบเหงาเงียบใจ โอ้อาลัยแลเหลียวเปลี่ยววิญญาณ์ เคยอยู่กินถิ่นที่กระฎีก่อ เป็นตึกต่อต่างกำแพงฝากแฝกฝา เป็นสองฝ่ายท้ายวัดวิปัสสนา ข้างโบสถ์บาเรียนเรียงเคียงเคียงกัน เป็นสี่แถวแนวทางเดินหว่าวกุฏิ์ มีสระขุดเขื่อนลงพระสงฆ์ฉัน ข้างทิศใต้ในจงกรมพรหมจรรย์ มีพระคันธกุฎีที่บำเพ็ง ศาลากลางทางเดินแลเพลินจิต ประดับประดิษฐ์ดูดีเป็นที่เก๋ง จะเริดร้างห่างแหสุดแลเล็ง ยิ่งพิศเพ่งพาสลดกำสรดทรวง หอระฆังดั่งทำนองหอกลองใหญ่ ทั้งหอไตรแตรทองเป็นของหลวง ปลูกไม้รอบขอบนอกเป็นดอกดวง บ้างโรยร่วงรสรื่นทุกคืนวัน ชมพู่แลแต่ละต้นมีผลลูก ดูดั่งผูกพวงระย้านึกน่าฉัน ทรงบาดาลบานดอกรับออกทัน เก็บทุกวันเช้าเย็นไม่เว้นวาย เห็นทับทิมริมกระฎีดอกยี่โถ สะอื้นโอ้อาลัยจิตใจหาย เห็นต้นชาหนักกระไดใจเสียดาย เคยแก้อายหลายครั้งประทังทน ได้เก็บฉันวันละน้อยอร่อยรส ด้วยยามอดอัตคัดแสนขัดสน จะซื้อหาชาจีนทรัพย์สินจน จะจากต้นชาให้อาลัยชา โอ้ชาตินี้มีกรรมเหลือลำบาก เหมือนนกพรากพลัดรังไร้ฝั่งฝา โอ้กระฎีที่จะจากฝากน้ำตา เคยเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าเมื่อเราอยู่ มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว ยิมหนังสือลือเลื่องถามเรื่องราว โอ้เป็นคราวเคราะห์แล้วจำแคล้วกัน โอ้ยามนี้ปีขาลสงสารวัด เคยโสมนัสในอารามสามวสา สิ้นกุศลผลบุญการุณา จะจำลาเลยลับไปนับนาน
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง