ประวัติศาสตร์สุโขทัย จิรา จงกล เรียบเรียง หลักฐานในการศึกษาประว้ติศาสตร์ชนชาติไทยนั้นมีอยู่น้อยมาก เราจึงทราบประวัติของชนชาติไทยก่อนสมัยอยุธยาอย่างเลือนลาง เชื่อกันว่าชนชาติไทยมีถิ่นฐานดั้งเดิมอยู่แถบแม่นำ้แยงซึในประเทศจีน และตั้งราชวงศ์น่านเจ้า แล้วจึงอพยพเข้ามาอยู่ในสุวรรณภูมิ ความเชื่อดังกล่าวได้มีนักประวัติศาสตร์ชาติต่างๆ แสดงความเห็นขัดแย้ง และส่วนใหญ่มีความโน้มเอียงเชื่อว่ากษัตริย์ราชวงศ์น่านเจ้า น่าจะไม่ใช่ชนชาติไทย แต่เป็นชนชาติตระกูลธิเบต- พม่า และชนชาติำทยอาจเป็ฯชนกลุ่มหนึ่งในน่านเจ้า ข้อเสนอดังกล่าวก็ไม่มีผู็ใดสามารถวินิจฉัยตัดสิน เพราะไม่มีหลักฐานแน่ชัดที่จะพิสูจน์ได้
หลักฐานทางโบราณคดีปรากฎชัดว่า ในดินแดนประเทศไทยเป็นดินแดนที่มีคนอาศัยอยู่ตั้งแต่สมัยก่อนประว้ตืศาสตร์ ยุคหินเก่า ยุคหินใหม่ และยุคสำริด และดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความเจริญก่อนดินแดนภาคกลาง ในขณะที่ดินแดนภาคกลางยังเป็นยุคหินใหม่นั้น ดินแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นยุคสำริด มีอายุ ๕๐๐๐ ปี ครั้นเมื่อวัฒธรรมอินเดียได้เข้ามาสู่ดินแดนภาคพิ้นเอเชียอาคเนย์ เมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ ๖ ก็ได้ปรากฎมีอาณาจักรโบราณหลายอาณาจักรในภาคพื้นส่วนนี้ อาทิเช่น อาณาจักรฟูนาน อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรศรีวิชัย ฯลฯ และเมื่ออาณาจักรกัมพูชามีอำนาจขึ้นในพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ๑๘ ก็ได้แผ่อิทธิพลมายังดินแดนประเทศไทย ซึ่งทางโบราณคดีเรียกว่าสมัย ลพบุรี หลังจากนั้นจึงได้ปรากฎเรื่องความเป็รนใหญ่ของชนชาติไทยในอาณาจักรสุโขทัย และอาณาจักรลานนาในพุทธศตวรรษที่๑๘
ตำนานและพงศาวดารเกี่ยวกับชนชาติไทยภาคเหนือของประเทศไทยมีอยู่หลายฉบับ เช่น พงศาวดารโยนก พงศาวดารเหรือ ตำนานมูลศาสนา ชินกาลมณีปกรณ์ เป็นต้น ซึ่งให้ความรู้ว่าชนชาติไทยได้มาตั้งหลักแหล่งอยู่ในภาคเหนือ และอพยพไปสร้างบ้านสร้างเมืองในลุ่มแม่นำ้เจ้าพระยา ส่วนในดินแดนภาคเหนือก็มีผู้ครองนครสืบกันมาและตั้งเป็นอาณาจักลานนาไทย
ประวัติศาสตร์ราชวงศ์สุโขทัย เริ่มขึ้นเมื่อพ่อขุนบางกลางท่าวเจ้าเมืองบางยางและพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด ร่วมมือกันกำจัดขอม หลักฐานจากศิลาจารึกปรากฎว่าเมืองสุโขทัยก่อนที่ขอมสมาคโขลงลำพงมาครอบครองนั้น พ่อขุนนาวนำถมบิดาพ่อขุนผาเมืองเคยครองอยู่ก่อน พ่อขุนผาเมืองเองก็ได้รับยกย่องจากพระเจ้ายโสธรปุระ (นครธมโบราณ) ถึงกับยกพระธิดาชื่อนางสิขรมหาเทวีให้เป็นมเหษี พร้อมทั้งมอบพระแสงขรรค์ชัยศรี แต่งตั้งให้เป็นกมรเต็งอัญศรีอินทราบดินทราทิตย์ ศิลาจารึกหลักที่ ๒ ได้บรรยายเหตุการณ์สู้รบกอบกู้กรุงสุโขทัยจากขอม พ่อขุนบางกลางท่าวยกพลเข้าโจมตีเมืองศรีสัช พ่อขุนผาเมืองตีเมืองบางขลง เมืองสากอได พ่อขุนบางกลางท่าวแพร่ข่าวให้ปรากฎว่าพ่อขุนผาเมืองมาร่วมกันโจมตีเมืองศรีสัชนาลัย ขอมสมาดโขลญลำพงก็ออกจากสุโขทัยไปสู้รบกับพ่อขุนบางกลางท่าวเพื่อป้องกันเมืองศรีสัชนาลัย พ่อขุนบางกลางท่าวจึงส่งข่าวได้พ่อขุนผาเมืองเข้ายึดกรุงสุโขทัย แล้วทั้งสองทัพร่วมกันรบขนาบขับไล่ขอมแตกพ่ายไป เมื่อได้กรุงสุโขทัยแล้ว พ่อขุนผาเมืองได้อภิเศกพ่อขุนบางกลาวท่าวเป็นกษัตริย์กรุงสุโขทัย มองพระแสงขรรค์ชัยศรี และทินนามของตนเองแก่พ่อขุนบางกลางท่าว
การที่พ่อขุนผาเมืองลูกพ่อขุนศรีนาวนำถมแห่งสุโขทัยไม่ขึ้นครองกรุงสุโขทัยกลับยกให้แก่พ่อขุนบางกลางท่าวก็เป็นเรื่องที่น่าคิดหาเหตุผลอยู่ ประการหนึ่งน่าจะเชื่อได้ว่า ผู้ที่เป็นต้นคิดกำจัดของตั้งอาณาจักรไทยเป็นอิสระ คงจะเป็นพ่อขุนบางกลางท่าว แล้วขอความร่วมมือพ่อขุนผาเมือง อีกประการหนึ่งพ่อขุนผาเมืองก็มีมเหษีเป็นธิดาพระเจ้ากรุงยโสธรปุระ คงเห็นว่าตนเองไม่เหมาสมที่จะขึ้นเป็นกษัตริย์นอกเจ้านั้นพ่อขุนผาเมือง และพ่อขุนบางกลางท่าวอาจมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันยิ่งกว่าเป็นพระสหายก้ได้ เมือพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ขึ้นครองกรุงสุโขทัยแล้ว ความปรากฎในศิลาจารึกหลักที่ ๑ ว่าได้ทำสงความชนช้างกับพ่อขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด แสดงว่าสภาพบ้านเมืองของกลุ่มชนชาติไทยในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ต่างตั้งตัวปกครองกันอยู่เป็นรัฐอิสระพ่อขุนสามชนคงจะมีกำลังมากอยู่ในบรรดาเจ้าผู้ครองเมืองทั้งหลาย จึงยกทัพมารบเพื่อแย่งความเป็นใหญ่แต่สู้ไม่ได้ต้องพ่ายแพ้ไป ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เป็นสมัยที่กรุงสุโขทัยมีอำนาจมาก ความในจารึกกล่าวว่า “อาจปราบฝูงข้าศึก มีเมืองกว้างช้างหลาย ปราบเบื้องตวันออก รอดสระหลวงสองแคว ลุมบาจายสดาเท้าฝั่งของ ถึงเวียงจันทรเวียงคำเป็นที่แล้ว เบื่องหัวนอนรอดคนที พระบาง แพรก สุวรรณภูมิ ราชบุรี เพชรบุรี ศรีธรรมราช ฝั่งทะเลสมุทรเป็นที่แล้ว เบื้องตะวันตก รอดเมืองฉอด เมือง......หงสาวดี สมุทห้าเป็นแดน เบื้องตีนนอนรอดเมืองแพร่เมืองน่าน เมือง.....เมืองพลั่วพ้นฝั่งของเมืองชะวาเป็นที่แล้ว “ ข้อความดังกล่าวเป็นที่เข้าใจกันว่า แสดงถึงอาณาเขตไทยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมาก จึงมีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า แสดงถึงอาณาเขตแผ่ไพศาลนั้น จะมีข้อเท็จจริงเพียงไร ในสมัยนั้นการคมนาคมก็ไม่สะดวก สุโขทัยก็เพิ่งเริ่มก่อร้างสร้างตัว จะมีความสามารถแผ่อาณาเขตไปถึงแหลมมะลายูทีเดียวหรือ อาจมีอาณาเขตที่แท้จริงอยู่เพียงกรุงสุโขทัย และเมืองลูกหลวง รายรอบสี่ทิศ ได้แก่ ศรีสัชนาลัย สองแคว สระหลวง และชากังราว เรื่องนี้ถ้าจะพิจารณาว่าศิลาจารึกควารจะเชื่อถือได้เพียงไรนั้น ต้องคำนึงถคงความจริงประการหนึ่งว่า ศิลาจารึกนั้นเขึยนขึ้นเพื่อปักไว้ไห้คนอ่านไม่ใช่บันทึกส่วนตัว ฉะนั้นข้อความในจารึกต้องเป็นเรื่องจริงที่ประกาศให้คนทราบ และในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงเราทราบว่าทรงเป็นมิตรกับพ่อขุนเมงรายแห่งอาณาจักรลานนา ฉะนั้นอาณาเขตกรุงสุโขทัยจึงไม่ได้แผ่ขึ้นไปทางเหนือ แต่ลงไปทางใต้ ทางตะวันออก และตะวันตก หากการแสดงอาณาเขตจะเป็นเพียงใส่ชื่อเมืองที่รู้จักอยู่ในยุคนั้นแล้วก็น่าที่จะไม่เว้นอาณาจักรลานนา
อย่างไรก็ตามน่าจะพิจารณาได้ว่า การแผ่อาณาเขตของพ่อขุนรามคำแหงนั้นคงจะไม่ใช่การใช้แสนยานุภาพปราบปรามทั้งหมด คงจะทรงใช้นโยบายทางการเมืองทำให้หัวเมืองใหญ่น้อยยอมยกให้กรุงสุโขทัยเป็นใหญ่ แว่นแคว้นไทยน้อยใหญ่ ซึ่งเคยเป็นอิสระมาก่อนก็คงยอมรับรองอำนาจของกรุงสุโขทัย และแต่ละเมืองต่างก็ปกครองตนเอง พระเจ้าฟ้ารั่ว กษัตริย์มอญก็มีเรื่องราวกล่าวว่า เดิมชื่อ มะกะโท เข้ามาอาศัยรับราชการอยู่กับพ่อขุนรามคำแหงแล้วลักพาพระธิดาพ่อขุนรามคำแหงไปเมาะตะมะ ภายหลังได้ตั้งตัวเป็นใหญ่ พ่อขุนรามคำแหงทรงกระทำพิธีราชาภิเศกมะกะโทเป็นพระเจ้าฟ้ารั่ว
ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ได้กล่าวว่าพ่อขุนรามตำแหงทรงปกครองประชาชนอยู่ร่มเย็นเป็นสุขด้วยทศพิธราชธรรม ใครมีทุกข์ร้อนต้องการความยุติธรรมก็ไปสั่นกระดิ่งที่แขวนไว้ที่ประตูพระราชวัง พ่อขุนรามคำแหงก็จะเสด็จออกทรงไต่ถามสามเหตุและทรงพิจารณาให้ความเป็นธรรม กลางดงตาลมมีพระแท่นมนังคศิลาเป็นที่ประทับว่าราชการในวันธรรมดา ในวันพระใช้เป็นธรรมมาสน์ให้พระสงฆ์แสดงพระธรรมเ่ทศนาแก่ประชาชน ลักษณะความเป็นอยู่ดังกล่าว เห็นได้ว่าเป็นการปกครองแบบพ่อปกครองลูก หรือพ่อเมืองปกครองลูกเมือง ในลักษณะการปกครองเมืองเล็กๆไม่ใช่อาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาล แสดงว่าเมืองอื่นๆ ก็มีผู้ครองเมือง หรือมี”ขุน” ปกครองกันเองแบบเจ้าผู้ครองนครมีอำนาจเต็มในการเก็บส่วยสาอากรภายในเมืองของตน ในศิลาจารึกหลักที่ ๓ มีรายชื่อเจ้าเมืองที่เป็น “ขุน” และขุนทั้งหลายถ้าประพฤติมิชอบก็อาจถูกถอดได้ “ขุนใดกระทำชอบด้วยธรรม ดังอัน ขุนนั้น .......กินเมืองเหิงนานแก่กมผู้ใดกระทำบ่ชอบด้วยธรรม ดังอัน ขุนผู้นั้นบ่มิยืนเยิงเหิงนานเลย”...
พ่อขุนรามคำแหง ทรงมีพระบรมเดชานุภาพ เป็นที่ยำเกรงของหัวเมืองน้อยใหญ่ การปกครองแบบกระจายอำนาจของพ่อขุนรามคำแหงเป็นวิธีการที่ยากมาก ถ้าพระเจ้าแผ่นดินไม่มีเดชานุภาพแล้วหัวเมืองต่างๆก็ไม่เกรงพระบารมี ย่อมยากที่จะรักษาอาณาจักรให้กว้างใหญ่ไพศาลได้ และด้วยเหตุนี้จึงปรากฎว่าเมื่อสิ้นรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงแล้ว เมืองน้อยใหญ่ต่างก็พากันแยกตัวเป็นอิสระ พระเจ้าลิไทยต้องทรงรอบรวมหัวเมืองต่างๆ เข้าไว้ได้อีกครั้งหนึ่ง แต่ภายหลังรัชกาลพระเจ้าลิไทยแล้วกษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัยก็ไม่สามารถจะรวบรวมเมืองใหญ่น้อยได้อีก คนไทยในอาณาจักรอยุธยาก็มีอำนาจขึ้นทางใด้ พระเจ้าอู่ทองทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ กรุงสุโขทัยก็ไม่สามารถจะล้มอำนาจอยุธยาได้ เมื่อกำลังพระเจ้าแผ่นดินอ่อนลง ก็ต้องอ่อนน้อมต่อกรุงศรีอยุธยาในปี ๑๙๓๑ และในที่สุดก็ถูกกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาล้มอำนาจหมดสิ้นเมื่อพระมหาธรรมราชาที่ ๔ สิ้นพระชนม์ ในปี ๑๙๘๑ กรุงสุโขทัยก็ถูกรวมเป็นอาณาจักรเดียวกับกรุงศรีอยุธยา
พระนามของกษัตริย์กรุงสุโขทัยในปัจจุบันได้มีการชำระสอบสวนหลักฐานที่พบใหม่ ในระหว่างที่กรมศิลปากรได้ทำการขุดแต่งบูรณะเมืองเก่าสุโขทัย ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๖ เป็นต้นมา ได้พบหลักฐานช่วยการการศึกษาประวัติศาสตร์สุโขทัยมาก ได้พบศิลาจารึกที่สำคัญอีกหลายหลัก โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุเป็นจำนวนมาก เมืองสุโขทัย กำแพงเพชร และศรีสัชนาลัย ปรากฎมีโบราณสถารใหญ่โต ทั้งสถาปัตยกรรม และประติมากรรม เป็นพยานหลักฐานให้เห็นความเจริญรุ่งเรื่อง และความยิ่งใหญ่ของสมัยสุโขทัยได้เป็นอย่างดี สุโขทัยอุดมสมบูรณ์ร่มเย็นเป็นสุข มีน้ำบริบูรณ์ มีสรีดภงศ์ทำนบกั้นน้ำเพื่อการกสิกรรม มีเตาเผาเครื่องสังคโลก เป็นอุตสาหกรรมขึ้นชื่อ ส่งเป็นสินค้าออกไปถึงแหลมมาลายู สุมาตรา อินโดนิเซีย บอเนียว ฟิลิปปินส์ พ่อขุนรามคำแหงทรงประอิษฐานพระพุทธศาสนาหินยานลัทธิลังกาวงศ์สืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ศิลาจารึกมามายหลายหลัก จะสรรเสริญความยิ่งใหญ่ของกษัตริย์สองพระองค์ คือ พ่อขุนราคำแหง และพระเจ้าลิไทย
ในการขุดแต่งบูรณะสุโขทัยได้พบศิลาจารึกหลักที่ ๔๕ ที่วิหารสูง บริเวณวัดมหาธาตุ มีข้อความเรื่องราวการกระทำสัตย์สาบานระหว่างหลานกับปู่ คือกษัตริย์สุโขทัยและเจ้าเมืองน่านใน ฑ.ศ. ๑๙๓๕ ทำให้ได้พบรายพระนามกษัตริย์ราชวงศ์พระร่วง ซึ่งว่าไว้ดังนี้ “ ปู่ขุนจิต ขุนจอด ปู่พระยาอินทราทิตย์ ปู่พระยาบาล ปู่พระยารามราช ปู่ไส....สงคราม ปู่พระยาเลอไทย ปู่พระยางั่วนำถม ปู่พระยามหาธรรมราชา พ่องำเมือ พ่อเลอไทย “ ข้อความในจารึกอ้าบรรพบุรษ เป็นพยานในการให้สัตย์สามบานร่วมป้องกันข้าศึก ซึ่งมีทั้งทางเหนือและทางใต้ และยังได้พบจารึกหลักที่ ๖๔ เป็นข้อความของเมืองน่าน ให้คำสัตย์สาบานจะร่วมมือกับกษัตริย์กรุงสุโขทัย คล้ายกับทำขึ้นคู่กับหลักที่๔๕ ศิลาจารึกที่ได้พบใหม่อีกหลายหลักช่วยให้ทราบข้อมูลประวัติศาสตร์มากขึ้น ศิลาจารึกวัดอโศการาม (หลักที่ ๙๓) ทำให้ทราบว่ามีพระมหาธรรมราชาที่ ๒ อีกองค์หนึ่ง ก่อนพระเจ้าไสยลือไทย
ดร. ประเสริฐ ณ. นคร ได้ศึกษาค้นคว้าและตรวจสอบชำระศักราชรัชสมัยกษัตริย์ราชวงศ์สุโขทัยหรือราชวงศ์สุโขทัยหรือราชวงศ์พระร่วง ซึ่งเป็นข้อเสนอที่ประกอบด้วยหลักฐานที่พบในปัจจุบัน ได้ลำดับรัชกาลกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยไว้ดังนี้ ๑. พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เสวยราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๗๖๒ - ๑๗๘๐ ไม่ปรากฎปีสวรรคต ๒. พ่อขุนบานเมือง ๓. พ่อขุนรามคำแหง ประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๒- ๑๘๔๒ ๔. พระยาเลอไทย ๕. พระยางั่วนำถม ๖. พระมหาธรรมราชาที่ ๑ ลิไทย เสวยราชย์ พ.ศ. ๑๘๙๐ สวรรคตระหว่าง พ.ศ. ๑๙๑๑- ๑๙๑๗ ๗. พระมหาธรรมราชาที่ ๒ เสวยราชย์ถึงประมาณ พ.ศ. ๑๙๔๒ ๘. พระมหาธรรมราชาที่ ๓ ไสยลือไทย เสวยราชย์ถึง พ.ศ. ๑๙๖๒ ๙. พระมหาธรรมราชาที่ ๔ บรมปาล เสวย์ราชถึงประมาณ พ.ศ. ๑๙๘๑
นามบรรพบุรุษกษัตริย์สุโทัย ในจารึกหลักที่ ๔๕ ที่ปรากฎนามใหม่ จากที่เคยกำหนดกันไว้อีก ๒ นาม คือ “ปู่ไสสงคราม และปู่พระยางั่วนำถม “ นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ลงความเห็นว่านามทั้งหมดล้วนเป็นเจ้าเมือง แต่ที่เป็นกษัตริย์คงเป็นนามที่ขึ้นต้นด้วย”ปู่พระยา “ จึงได้เพิ่มพระยางั่วนำถมขึ้นเป็นกษัตริย์สุโขทัยอีกองค์หนึ่งแต่ไม่ปรากฎเรื่องราวหรือเหตุการ์ในรัชกาลนี้
ข้อเสนอของ ดร. ประเสริฐ ณ. นคร เป็นข้อเสนอที่อาศัยหลักฐานจากศิลาจารึกเท่าที่พบในปัจจุบัน พระนามกษัตริย์ที่เพิ่มขึ้นมาคื พระยางั่วนำถมนั้น ดร.ประเสริฐ ณ.นคร กล่าวว่า ตามตำนามมูลศาสนา แปลนำถุมว่า นำ้ท่วม งั่ว แปลว่า ที่ห้า มีเค้าพอเทียบกับพระเจ้าอุทกโชตถตะ (พ่อขุนจมนำ้ ซึ่งตามชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวว่า เป็นลูกพ่อขุนบานเมือง
Mr. A.B Grisworld กล่าวว่า พระยางั่วนำถมคงจะแย่งราชสมบัติแล้วขึ้นครองราชย์ในเวลาอันสั้น และคงถูกพระยาลิไทยยกทัพมาจากศรีสัชนาลัยกำจัดเสีย
อีกประการหนึ่งคือ พระเจ้าไสยลือไทย ซึ่งเคยเข้าใจว่า เป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๒ นั้น ได้เลื่อนไปเป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๓ คือมีพระมหาธรรมราชาที่ ๒ คั่นอยู่อีกองค์หนึ่ง ระหว่างพระเจ้าลิไทย กับพระเจ้าไสยลือไทย และกษัตริย์ที่ออกถวายบังคมพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว ) เมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๑ นั้น หลักฐานปรากฎในจารึกวัดช้างล้อมว่า เป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๒
เหตุการณ์ในสมัยของพระเจ้าลิไทย ที่ปรากฎในศิลาจารึกได้พบ่า อาณาจักรสุโขทัยได้แตกแยกไปแล้วก่อนรัชสมัยพระเจ้าลิไทย และพระเจ้าลิไทยได้ทรงรวบรวมอาณาจักรสุโขทัยขึ้นใหม่อีก จึงเป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกที่เคยเชื่อกันมาแต่เดิมว่า พระเจ้าลิไทยทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และไม่ทรงเป็ฯนักรบทำให้อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมอำนาจลง พระเจ้าลิไทย ทรงเป็นอุปราชครองเมืองศรีสัชนาลัย พ.ศ. ๑๘๘๓ เสวยราชย์กรุงสุโขทัย พ.ศ. ๑๘๙๐ จารึกวัดป่ามะม่วง (หลักที่ ๔ ) กล่าวว่า ม.ศ. ๑๒๖๙ (พ.ศ. ๑๘๙๐ ) พระเจ้าลิไทยยกทัพจากเมืองศรีสัชนาลัยและเอาขวานประหารศัตรูแล้วขึ้นครองกรุงสุโขทัย และในศิลาจารึกหลักที่ ๘ นั้น พระเจ้าลิไทย “ อยู่ในสองแควได้เจ็ดเข้า จึงขึ้นมานบพระบาท ลักษณะอันตน หากประติสถา แต่ก่อนเหนือจอมเขาสุมมกูฎนี้ “ การที่พระเจ้าลิไทยต้องไปประทับอยู่ที่เมืองสองแคว หรือพิษณุโลกถึง ๗ ปีนั้น ก็คงจะเพื่อป้องกันการรุกรานของอาณาจักรอยุธยา
จารึกหลักที่๔๐ เจดีย์น้อย ปรากฎว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์สุโขทัยกับอยุธยา มีข้อความให้สัตย์สัญญา ระหว่าง น้าพระยา กษัตริย์สุโขทัย และหลานพระยา กษัตริย์อยุธยา น้าพระยา สัญญาว่าจะไม่ทำร้ายหลาน เมื่อหลานมาไหว้อัฐิของพระมหาธรรมราชา ดร. ประเสริฐ ณ. นคร มีความเห็นว่าหลานคือ พระราเมศวร และน้าคือพระมหาธรรมราชาที่ ๒ พระยาลิไทยจึงเป็นตาของพระราเมศวร ประกอบกับเหตุผลที่ว่า พระรามาธิบดีที่ ๑ และพระราเมศวร ไม่ได้รุกรานสุโขทัย เข้าใจว่าคงจะมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกันแต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะวินิจฉัยได้แน่นอย”
จารึกหลักที่ ๔๕ และหลักที่ ๖๔ เหตุการณ์กระทำสัตย์สัญญากันระหว่างกษัตริย์สุโขทัย และเจ้าผู้ครองเมืองน่านที่จะร่วมกันป้องกันอาณาจักรนั้นก็สอดคล้องกับเหตุการณ์ปรากฎในพงศาวดารโยนก ว่ากษัตริย์สุโขทัยผิดใจกับกรุงศรีอยุธยา แล้วแต่งทูตไปขอความช่วยเหลือเจ้าแสนเมืองมา แห่งอาณาจักรลานนา ให้ส่งทัพไปช่วย ครั้นพระเจ้าแยนเมืองมายกทัพไปช่วย กรุงสุโขทัยเปลี่ยนใจแข็งเมืองและปล้นโจมตีทัพพระเจ้าแสนเมืองมา แตกไป และการที่เป็นเช่นนี้เข้าเค้ากับพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐว่า พระบรมราชาธิราช ยกทัพไปปราบเมืองชากังราว ในพ.ศ. ๑๙๓๑ แล้วสวรรคตกลางทาง และคงจะเป็นด้วยกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาสวรรคตลง กรุงสุโขทัยจึงเปลียนใจไม่รับทัพเชียงไหม่ และเมื่อเหตุการณ์เป็นดังนี้ กรุงสุโขทัยจึงมีศัตรูทั้งทางเหนือและทางใต้แสดงว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๒ ทรงยอมอ่อนน้อมแก่กรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๑ แต่แล้วก็กลับแข็งเมืองขึ้นอีก ในปี พ.ศ. ๑๙๓๑ ดังนั้นในปี ๑๙๓๕ จึงต้องหากำลังป้องกันข้าศึกกระหนาบจากทางใต้และทางเหนือ.
การชำระประวัติศาสตร์สุโขทัยตามที่ ดร. ประเสริฐ ณ นคร ได้ค้นคว้าจากหลักฐานในปัจจุบัน เป็นผลงานที่ควรรับรอง เราทราบเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์สุโขทัยน้อย และความ่เชื่อเดิมปลายประการที่สมควรจะต้องพิจารณากันไหม่ เป็นต้นว่าเคยเชื่อว่าพ่อขุนรามคำแหงเสด็จไปเมืองจีนถึงสองครั้งก็ได้พบว่าพระเจนจีนอักษรผู้แปลจดหมายเหตุจีน ในประชุมพงศาวดารภาค ๕ คงจะแปลความคลาดเคลื่อน นายเฉลิม ยงบุญเกิด และ Dr. E. Thadeus Flood ได้แปลจดหมายเหตุจีนราชวงศ์หงวนที่เกี่ยวกับกรุงสุโขทัย สอบดูได้ความตรงกันคือ ไม่ใช่ “เสียมก็กอ๋องกังมกตึงมาเฝ้า “ นายเฉลิม ยงบุญเกิด แปลว่า “มีพระบรมราชโองการให้กษัตริย์เสียนก่านมู่ตึงมาเฝ้า ถ้ามีเหตุก็ให้ส่งลูกหลานและขุนนางชั้นผู้ใหญ่เข้าถวายสิ่งของ” Dr Flood แปลเป็นภาษาอังกฤษก็ได้ความตรงกัน นายขจร สุขพานิช ได้เขียนบทความเกี่ยวกับรายละเอียดในเรื่องนี้ลงในนิตยสารศิลปากร (จดหมายเหตุราชวงศ์หงวนการพิจารณาใหม่ นิตยสารศิลปากร ปี่ที่ ๑๕ เล่ม ๓ ) และในนิตยสารศิลปากรฉบับเดียวกันนี้ นายขจร สุขพานิช ได้เขียนบทความเรื่อง “ไพร่ฟ้าข้าไทลงความเห็นว่ากรุงสุโขทัยมีทาสและได้อ้างว่า ศาสตรจาย์ ยอร์ช เซเดส์ ได้แปล “ไพร่ฟ้าข้าไทย “ ว่าทาส ในประชุมศิลาจารึกสยามภาคภาษาฝรั่งเศส ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗
แม้เราจะไม่ทราบเหตุการณ์ประวัติศาสตร์สมัยสุโขทัยได้โดยละเอียด และไม่สามารถวินิจฉัยปัญหาต่างๆ ได้แน่นอนทีเดียวก็ตาม แต่เราแน่ใจได้ว่า อาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองด้วยศิลปวัฒนธรรมสูงส่ง โบราณสถาร โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่า พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง และกฎประวัติศาสตร์ก็มีว่า ผู้ที่มีความเชื่อมั่น และยึดความเชื่อมั่นในทางศาสนา ย่อมเป็นผู้ที่สามารถประกอบกิจการใหญ่โตได้ พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ที่สืบมาจนถึงบัดนี้ก็ได้ประดิษฐานขึ้นในสมัยสุโขทัย พระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ในประเทศไทย พระพุทธสิหิงค์ พระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ พระศรีศาสดา พระศรีศากยมุนี ล้วนเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยทั้งสิ้น พระศรีศากยมุนี ก็ปรากฎว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อสำริดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เดิมอยู่ที่วัดมหาธาตุสุโขทัย ซึ่งเป็นโบราณสถานขนาดใหญ่กลางกรุงสุโขทัย มีวิหาร ๑๐ วิหาร โบสถ์ ๑ โบสถ์ เจดีย์แบบต่างๆกว่า ๒๐๐ องค์
ศิลาจารึกหลักที่ ๑ ทำให้ทราบชีวิตความเป็นอยู่ของคนสุโขทัย การปกครองของ “พ่อขุน “ ต่อลูกบ้านลูกเมือง “ในปากประตูมีกระดิ่งอันหนึ่งแขวนไว้” ใครมีเรื่องเดิอดร้อนก็ไปสั่นกระดิ่ง พ่อขุนจะทรงพิจารณาความให้ ประเพณีนึ้ก็คือ
ประเพณี “ตีกลองร้องฎีกา “ ในสมัยต่อมานั้นเอง สังคมสุโขทัย เรื่องการมีทาสหรือไม่นั้น มี ข้อความจารึกว่า “ลูกเจ้าลูกขุนผู้ใดแล้ ลัมตายหายกว่า เหย่าเรือน พ่อเชื้อเสื้อคำมันช้าง ลูกเมียเยียข้าว ไพร่ฟ้าข้าไทย พ่อเชื้อมันแก่ลูกมันสิ้น “ แสดงว่ามรดกของลูกเจ้าลูกขุน มีไพร่ฟ้าข้าไทย ซึ่ง นายขจร สุขพานิช กล่าวว่าเป็นทาสอย่างประเพณีอยุธยา แต่น่าสังเกตว่าชีวิตความเป็นอยู่และการปกครองของสุโขทัยและอยุธยาต่างกัน ในจารึกกล่าวว่า ใครเดือดร้อนจากเมืองอื่นมาพึ่งพาก็ช่วยเหลือ รบพุ่งได้เชลยก็ไม่ฆ่าไม่ตี ข้าทาสของสุโขทัยน่าจะเป็นบริวารข้าเก่าเต่าเลี้ยงมากกว่าจะเป็นทาสเรือนเบี้ยซื้อขายกัน จำแนกแยกประเภททาสอย่างสมัยอยุธยา
ข้อวินิจฉัยเรื่องราวของสุโขทัยในประวัติศาสตร์ที่นักปราชญ์ในปัจจุบันได้พยายามสอบสวนค้นคว้าข้อเท็จจริงในอดีต จึงเป็นเรื่องที่ควรสนใจติดตามอย่างยิ่ง.
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง