ประวัติการประพันธ์นวนิยายไทยสุพรรณี วราทร สิ่งที่มีอิทธิพลต่อการประพันธ์นวนิยายไทย วรรณการรมจะเจริญมากน้อยเพียงใดขึ้นกับสถาพความเป็นไปของยุคสมัย ดังนั้นก่อนที่จะกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการประพันธ์นวนิยาย จึงควรทราบถึงปัจจัยสำคัญซึ่งเป็นเครื่งอส่งเสริมให้วรรณกรรมไทยรุ่งเรีือง ซึ่งได้แก่ ความเจริญด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และความก้าวหน้าของกิจการหนังสือพิมพ์ ความเจริญด้านการศึกษา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ที่จะส่งเสริมให้ประเทศไทยมีการศึกษาถึงขั้นอุดมศึกษา จึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง โรงเรียนข้าราชการพลเรือนขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๓ แทนโรงเรียนมหาดเล็กหลวงซึ่งตั้งขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โรงเรียงแห่งนี้ต่อมาได้ตั้งเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อันเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทย ในการเร่งรัดพัฒนาการศึกษาของชาติพระองค์ได้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ หลายประการ เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารการศึกษา โดยทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ฯ แต่งตั้งให้เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดีเป็นเสนาบดีกระทรวงธรรมการเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ สำหรับการศึกษาในโรงเรียนทั่วไปทั้งชายและหญิง ได้ขยายหลักสูตรการศึกษาสำหรับชั้นประถมศึกษาให้มีเวลาเรียน ๕ ปี เรียนวิชาสามัญ ๓ ปี วิชาชีพ ๒ ปี และการศึกษาชั้นมัธยมศึกษาหลักสูตร ๘ ปี การบำรึงการศึกษานี้จัดทำทั่วทั้งในกรุงและต่างจังหวัด นอกจากนี้ได้ออกพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ เพื่อควบคุมโรงเรียนราษฎร์ซึงมีอยู่เป็นจำนวนมาก การศึกษาของไทยสมัยนี้จึงเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อทรงเห็นว่าได้ขยายการศึกษาไปทั่วประเทศพอควรแล้ว จึงโปรดเกล้า ฯ ให้ออกพระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ เพื่อให้พลเมืองทุกคน มีความสามารถอ่านออกเขียนได้ โดยตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๔ กำหนดให้เด็กทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ ๗ ถึง ๑๔ ปี เข้าเรียนในชั้นประถมศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลโดยไม่เสียค่าเล่าเรียน การส่งเสริมให้ประชาชนมีการศึกษาดีขึ้นและอ่านออกเขียนได้เป็นผลดีต่อวรรณกรรมในสมัยต่อมาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเมื่อประชาชนสามารถอ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้ย่อมเป็นโอกาสให้สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นโดยผ่านสื่อประเภทสิ่งพิมพ์ต่างๆ และเมื่อมีผู้อ่านมากขึ้นย่อมมีผู้แต่ง แปล และมีหนังสือมากขึ้นตามลำดับ ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมให้วรรณกรรมไทยรุ่งเรืองคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงเป็นอัจฉริยะในการประพันธ์ กล่าวคือ ได้ทรงพระราชนิพนธ์และแปลบทประพันธ์ชนิดต่างๆ ทั้งประเภทร้อยแก้ว เช่น สงครามสืบราชสมบัติโปแลนด์ เที่ยวเมืองพระร่วง และนิทานทองอิน ประเภทร้อยกรองซึ่งส่วนใหญ่เป็นบทละคร เช่น มัทนะพาธา หัวใจนักรบ และเวนิสวานิช เป็นต้น นอกจากนี้พระองค์ได้ทรงส่งเสริมให้ข้าราชบริพารและบุคคลทั่วไปโดยเสด็จพระราชนิยมในการแต่งหนังสือด้วยวิธีต่างๆ เช่น ทรงช่วยตรวจทาน และออกค่าใช้จ่ายในการพิมพ์หนังสือ เรื่องอิลราชคำฉันท์ ของ พระยาศรีสุนทรโวหาร (ผัน สาลักษณ์ ) นอกจากนี้ยังทรงส่งเสริมและก่อตั้งสถาบันทางวรรณกรรมอันเป็นเครื่องช่วยให้เกิดกำลังใจในการประพันธ์และส่งเสริมคุณภาพของบทประพัน หลายแห่ง ได้แก่ สามัคคีสโมสร ทวีปัญญาสโมสร และวรรณคดีสโมสร ปัจจัยสำคัญประการที่สามคือ ความก้าวหน้าของกิจการหนังสือพิมพ์ หนังสือพิมพ์เป็นเสมือนสนามสำหรับนักเขียนแสดงความสามารถ ยิ่งกิจการหนังสือพิมพ์เจริญมากขึ้นก็ยิ่งมีนักเขียนมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพระมหากษัตริย์ทรงสนพระทัยด้วยแล้วความเจริญก็มีมากขึ้นเป็นทวีคูณ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนพระทัยงานหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ครั้งทรงศึกษาอยู่ในประเทศอังกฤษ ทรงออกหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์เป็นภาษาอังกฤษชื่อ The Screech Ovel เรื่องที่ลงส่วนใหญ่เป็นพระราชนิพนธ์ของพระองค์ เมื่อเสด็จนิวัติประเทศไทยได้ทรงออกหนังสือพิมพ์รายเดือนชื่อ ทวีปัญญา ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๔๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๐ ในขณะที่ทรงเป็นมงกุฎราชกุมารและเมื่อขึ้นครองราชย์ในสมัยที่สร้างดุสิตธานีก็ได้ทรงออกหนังสือพิมพ์ของดุสิตธานีรายต่างๆ อีก ๔ ฉบับ คือ ดุสิตสมิตรายวัน ดุสิตสมัย ดุสิตรีคอร์เดอร์ และดุสิตสมิตรายสัปดาห์ นอกจากหนังสือพิมพ์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ทรงออกเองแล้ว ในสมัยนี้มีหนังสือพิมพ์รายต่างๆ ซึ่งออกโดยชาวไทยและชาวต่างประเทศรวมทั้งสิ้นถึง ๑๑๓ ฉบับ เนื้อเรื่องของหนังสือพิมพ์เหล่านี้ประกอบด้วยข่าว บทความ สารคดี โคลงกลอน นิทาน และเรื่องอ่านเล่น การที่มีหนังสือพิมพ์จำนวนมากย่อมเป็นโอกาสให้นักประพันธ์ได้แสดงความสามารถ ผู้ออกหนังสือพิมพ์จำเป็นต้องหาเรื่องอ่านเล่นสนุกๆ มาลงแข่งขันกัน เพื่อดึงดูดผู้อ่าน จึงมีการชักชวนให้ผู้อ่านส่งเรื่องแต่งและแปลมาลง โดยมีค่าตอบแทนให้ มีประกาศแจ้งความชักชวนไว้ในหนังสือพิมพ์ต่างๆ เช่น หนังสือทวีปัญญา ลงประกาศว่า ….ผู้จัดการมีความยินดีรับเรื่องต่างๆ ทั้งร้อยแก้วและโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ถ้าเห็นสมควรลงก็ลงให้ ถ้าไม่สมควรลงจะส่งกลับคืนไปให้ ถ้าผู้เรียบเรียงส่งตั๋วไปรศนีย์มาด้วยสำหรับเสียค่าไปรศนีย์ ถ้าเรื่องใดรับลงแล้วจะยอมเสียให้กับผู้แต่งหน้าละ ๔ อัฐ แต่เมื่อส่งเรื่องมาลงต้องกล่าวในหนังสือนำว่าจะต้องการเงินหรือไม่ ถ้าไม่กล่าวจะไม่ให้เงิน... หนังสือพิมพ์รายเดือนศัพท์ไทย ประกาศว่า …บรรณาธิการมีความยินดีรับเรื่องทุกชนิดของท่านทั้งหลายที่จะส่งไปอุดหนุน แต่ขอให้เป็นเรื่องสั้นๆ ไม่ยาวเกินสมควร ผู้ส่งเรื่องต้องบอกทั้งนามจริงและนามสมมุติ และตำบลไปให้ทราบ เมื่อต้องการปกปิดนามจริงอย่างใด ต้องทำความเข้าใจกันก่อน หากเป็นเรื่องแปลของได้โปรดบอกชื่อเรีื่อง นามผู้แต่งเดิม และชื่อหนังสือต้นฉบับกำกับบอกไปด้วย... นวนิยายและนวนิยายแปลที่ลงในวารสารต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่๖ นวนิยายและนวนิยายแปลเฟื่องฟูมาก ผู้ประพันธ์นิยมแต่งและแปลเรื่องลงในวารสารต่างๆ ก่อนที่จะพิมพ์เป็นเล่ม ในสมัยนั้นการแต่งเรื่องลงหนังสือพิมพ์ และวารสารเป็นสิ่งที่มีเกียรติและมีชื่อเสียงจึงมักไม่รับค่าตอบแทน ต่อมาในสมัยหลังจึงเริ่มมีนักประพันธ์อาชีพที่แต่งหรือแปลเรื่องโดยรับค่าตอบแทนเป็นเงินตามอัตราที่ระบุไว้ นวนิยายและนวนิยายแปลที่มีความสำคัญต่อประวัติและวิวัฒนาการของการประพันธ์นวนิยายไทยที่ปรากฎในวารสารต่างๆ แยกได้เป็นสองกลุ่ม คือ ระยะแรกตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๓ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ และระยะหลังตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ นวนิยายและนวนิยายแปลระยะแรก (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๓ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๘ ) ส่วนใหญ่เป็นนวนิยายแปลที่ลงในวารสารในระยะนี้ส่วนใหญ่เป็นแบบฉบับให้นักประพันธ์แต่งเรื่องไทยขึ้นในสมัยต่อมา นักประพันธ์ช่วงนี้เป็นผู้มีงานประจำอยู่แล้วแต่แต่งหรือแปลเรื่องเป็นงานอดิเรก เพื่อชื่อเสียงจึงมักไม่รับค่าตอบแทน วารสารที่ลงนวนิยายและนวนิยายแปลเรื่องสำคัญๆ ได้แก่ ลักวิทยา ถลกวิทยา ทวีปัญญา สยามมวย ผดุงวิทยา ศรีกรุง ไทยเอื้อ เสนาศึกษา และแผ่วิทยาศาสตร์ รายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดออก ผู้จัดทำ นักเขียน และความสำคัญของแต่ละฉบับมีดังนี้ ลักวิทยา ออกรายเดือน เริ่มเมื่อเดือนกรกฎาคม ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓ ) เลิกออกเมื่อเดือนมิถุนายน ร.ศ. ๑๒๑ (พ.ศ. ๒๔๔๕ ) ผู้จัดทำมีสามท่าน ได้แก่ พระราชวรวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส ) เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา และพระยาสุรินทราชา (นกยูง วิเศษกุล) ผู้เขียนและผู้แปลในวารสารฉบับนี้ใช้นามปากกาทั้งสิ้น นักเขียนประจำได้แก่ น.ม.ส. แก้วแกลบ (พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส) เขียวหวาน จิงโจ้ (เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ) และแม่วัน ( พระยาสุรินทราชา ) เป็นต้น ลักวิทยามีความสำคัญต่อประวัตินวนิยายมากเพราะได้ลงนวนิยายแปลจากภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ คือเรื่องความพยาบาท ของแม่วันดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ได้ลงเรื่องสั้นตามแบบแผนตะวันตกหลายเรื่อง ที่สำคัญ เช่น เรื่อง คุณย่าเพิ้ง โดยเขียนหวานเป็นต้น ถลกวิทยา ออกรายเดือน เริ่มออกเมื่อเดือนพฤศจิกายน ร.ศ. ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓ ) เลิกออกเมื่อ ร.ศ. ๑๒๔ (พ.ศ. ๒๔๔๘ ) หลวงวิลาศปริวัตร (เหลี่ยม วินทุพราหมณกุล) เป็นผู้จัดทำและเขียนเรื่องแต่เพียงผู้เดียวโดยใช้นามปากกาต่างๆ เช่น แก้วกุ้ง หรั่งเจี๊ยบ ขุนทอง ปากกาแก้ว เกลือแก้ว แมลงมุม แมวยุโรป สุริวงษ์ส่องฟ้า ศรีทนนไชย นายถลกคนที่ ๒ หงษ์ทอง นกกระทุง เอดิเตอร์ ก.ก. นกน้อย นกโนรี และนายสำราญ เป็นต้น เนื่องจากวารสารฉบับนี้มีผู้เขียนเพียงคนเดียว จึงมีประกาศเชิญให้ผู้อ่านส่งเรื่องไปลงเป็นการร่วมสนุกโดยไม่มีค่าตอบแทน ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกที่มีประกาศเช่นนี้ในหน้าวารสารความสำคัญอีกอย่างหนึ่งของถลกวิทยา คือได้ลงนวนิยายแปลประเภทลึกลับผจญภัยเรื่องแรกซึ่งเป็นแบบฉบับของนวนิยายผจญภัยของไทยในสมัยต่อมาคือ เรื่องสาวสองพันปี ซึ่งแปลจากเรื่องของ เซอร์ เฮนรี ไรเดอร์ แฮกการ์ด โดย หลวงวิลาสปริวัตร ทวีปัญญา ออกรายเดือน เริ่มเมื่อเดือนเมษายน ร.ศ. ๑๒๓ (พ.ศ. ๒๔๔๗ ) จนถึง ร.ศ. ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๐ ) ทวีปัญญา เป็นวารสารของทวีปัญญาสโมสร อันเป็นสโมสรที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงชักชวนผู้สันทัดในทางแต่งหนังสือซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ชาวคณะลักวิทยาเดิมให้ส่งเรื่องมาลง แต่อย่างไรก็ตามวารสารฉบับนี้ก็ลงพระราชนิพนธ์เสียเป็นส่วนมาก นามปากกาซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ทรงใช้ ได้แก่ นายแก้ว นายขวัญ (ใช้ในเรื่องนิทานทองอิน ) น้อยลา (สำหรับเรื่องสั้น ) สุครีพ (สำหรับเรื่องเบ็ดเตล็ด และร้อยกรอง ) รามสูร และวชิราวุโธ เป็นต้น นามปากกาของนักเขียนอื่นๆ ในวารสารฉบับนี้ได้แก่ หนุมาน องคต ชามพูวราช จำเรียง และสมุดไทย เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่ทราบนามจริง วารสารทวีปัญญามีความสำคัญต่อประวัติวรรณกรรมเพราะลงเรื่อง นิทานทองอิน พระราชนิพนธ์ด้ายอาชญนิยายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในนามปากกา นายแก้ว นายขวัญ ซึ่งนับว่าเป็น อาชญนิยายเรื่องแรกของไทยด้วย. สยามมวย ออกรายเดือน เริ่มเมื่อเดือนกรกฎาคม ร.ศ. ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๕ ) เลิกออกเมื่อ ร.ศ. ๑๓๒ ( พ.ศ. ๒๔๕๖ ) โรงพิมพ์กรุงเทพ ฯเดลิเมล์ เป็นเจ้าของ โดยมีผู้ร่วมดำเนินงานสองท่านคือ พระอรรถวสีฐสุธี (เชย อิศรภักดี) หลวงประสานอักษรพรรณ (ช่วง อิศรภักดี ) และพระยาอุดมพงศ์เพ็ญสวัสดิ์ (ม.ร.ว. ประยูรศักดิ์ อิศรเสนา ) ทั้งสามท่านนี้เป็นผู้เขียนเรื่องลงโดยใช้นามปากกา เช่น ไก่ฟ้า ฟิลิปโป แต่ไม่บอกนามจริง นอกจากนี้มีนักเขียนจากภายนอกส่งเรื่องมาลงบ้าง สยามมวยมีความสำคัญในการส่งเสริมการประพันธ์ เพราะรับซื้อเรื่องจากนักเขียนทั่วไปอย่างจริงจังเป็นฉบับแรก นอกจากนี้ยังลงบทประพันธ์เรื่องสำคัญๆ ลงหลายเรื่อง เช่น ความรักของคู่รัก โดย ธรรมรัศมี , ก.ล. (หลวงวิจิตรวาทการ) ซี่งเป็นเรื่องรักรุ่นแรกของไทยเรื่องหนึ่ง ผดุงวิทยา ออกรายปักษ์ เริ่มเมื่อเดือนมีนาคม ร.ศ. ๑๓๑ (พ.ศ. ๒๔๕๕ ) ถึง ร.ศ. ๑๓๔ (พ.ศ. ๒๔๕๘ ) โรงพิมพ์จีนโนสยามวารศัพท์เป็นเจ้าของ ออกโดยนายเซียวฮวดเส็ง สีบุญเรือง นางสาวละม่อม สีบุญเรืองเป็นผู้ดำเนินงาน นักประพันธ์ชาวคณะผดุงวิทยาล้วนเป็นนักเขียนและนักแปลเด่นแห่งยุค ได้แก่ ศ.ร.(ม.จ. หญิง ศุขศรีสมร เกษมศรี ) แม่สอาด (หลวงสารานุประพันธ์) ศิลป์ เทศะแพทย์ (นายนคราภิบาล) ทิดมุ่ย ณ ปากนำ้ (ขุนสุนทรภาษิต ) ศรีสุวรรณ ( หลวงนัยวิจารณ์ ) แสงทอง (หลวงบุณยมานพพานิชย์ ) ยูปีเตอร์ (ละม่อม ศรีบุญเรือง ) และกระลัมภัก (ขุนเจนมรรคา ) เป็นต้น ผดุงวิทยา ลงนวนิยายแปลที่เด่นหลายเรื่อง เช่น อาชญนิยายชุดเชอร์ลอกโฮล์มส์ ของเซอร์อาเธอร์ โคแนน ดอยล์ และนวนิยายโลดโผน (ฟันดาบ ) ชุดทหารพระเจ้านโปเลียน (เอเตียนชรา ) เป็นต้น ศรีกรุง ออกรายเดือน เริ่มเมื่อเดือนกันยายน ร.ศ. ๑๓๒ ( พ.ศ. ๒๔๕๖ ) ถึง พ.ศ. ๒๔๗๐ เจ้าของและผู้จัดทำคือ นายสุกรี วสุวัต นักเขียนและนักแปลของศรีกรุงล้วนแต่เป็นผู้มีชื่อเสียง โด่งดังในยุคนั้น หลายท่านมีผลงานในวารสารฉบับอื่นๆ ด้วย เช่น ศรีสุวรรณ บางขุนพรหม (หลวงรัชฏการโกศล ) แสงทอง คนดง (หลวงอรรถเกษมภาษา ) เจ้าเงาะ แมวคราว (ชิด บูรทัต ) เทียนทอง นายวัฒน์ ไอยเรศร์ กุมารใหม่ (ชวลิต เศรษฐบุตร ) และกระจกเงา เป็นต้น ศรีกรุงลงเรื่องแปล นวนิยายและเรื่องสั้นที่สำคัญหลายเรื่อง เช่น อาชญนิยายชุดอาร์แซนลูแปง และ เรื่องข้าหลวงต่างประเทศ เรื่องแปลโดยบางขุนพรหม ทหารพระเจ้านโบเลียน (เดเตียนชรา ) แปลโดยศรีสุวรรณ นวนิยายไทยที่แต่งขึ้นใหม่มีสองแนว คือ รักโศก เช่นเรื่องผิดถนน โดยแมวคราว และอาชญนิยาน เช่นเรื่องเกียรติยศอ้ายผุ้ร้าย โดยคนดง เป็นต้น ไทยเอื้อ ออกรายสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ร.ศ. ๑๓๒ ( พ.ศ. ๒๔๕๖ ) จนถึงร.ศ. ๑๓๓ (พ.ศ. ๒๔๕๗ ) ผู้จัดทำได้แก่หลวงสุนทรอัศวราช (จำรัส สรวิสูตร ) พระประมนฑ์ปัญญา ( ประมนฑ์ เนตรศิริ ) พระดุลยธรรมภิรมย์ (สัย ศุนวัต ) และหลวงบุณยมานพพานิชย์ (อรุณ บุณยมานพ ) เป็นต้น สำหรับ นักประพันธ์ที่สำคัญที่ลงในไทยเอื้อ ได้แก่ เรื่องความลับในทุ่งร้าง อันเป็นตอนหนึ่งของอาชญนิยายชุดนักสืบเชอร์ลอกโฮล์มส์ ที่แพร่หลายมาก แม่สอาด แปลจากเรื่อง Tho Hound of Baskervilles เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ ไม่มีกำหนดออกที่แน่นอน แต่ประมาณว่าออกปีละ ๑๒ ฉบับ เริ่มออกเมื่อเดือนมกราคม ร.ศ. ๑๓๔ (พ.ศ. ๒๔๕๘ ) ถึง พ.ศ. ๒๔๗๒ กรมยุทธศึกษาทหารบก บรรณาธิการสมัยที่เริ่มออกคือหลวงศัลวีธานนิเทศ นักเขียนในเสนาศึกษา ฯ ได้แก่ เจ้าหน้าที่ในกรมยุทธศึกษาทหารบก และผู้ที่เคยได้รับการอบรม ไปจากสำนักนี้ ข้อราชการจาก กระทรวงกลาโหหม และนักประพันธ์ นักแปลที่สำคัญในยุคแรก เช่น แม่สอาด ศิวะศริยานนท์ (พระวรเวทย์พิสิฐ ) น.ม.ส.เสฐียรโกเศศ ( พระยาอนุมานราชธน ) ศรีสุวรรณ แสงทอง พ. พรปรีชา (รองอำมาตย์ตรี พล้อย พรปรีชา ) ร.ท. สุทธิ์ จุลพุกกณะ พันธุ์งาม (ม.จ. พงศ์ รุจา รุจวิชัย ) วงศ์ กระแสสินธ์ จรัญ วุธาทิตย์ และประจักษ์ พันธุมโพธิ์ เป็นต้น นักเขียนเหล่านี้ส่วนใหญ่มีงานประจำอยู่แล้ว การประพันธ์จึงเป็นงานอดิเรกซึงไม่ต้องการค่าตอบแทน. ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๘ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๘ เสนาศึกษา ฯ ลง นวนิยายและเรื่องสั้นซึ่งแปลจากภาษาตะวันตกเป็นส่วนใหญ่ เรื่องที่แต่งใหม่แบบไทยเพิ่งมีลงเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ นวนิยายแปลเรื่องสำคัญได้อาชนิยายชุด เชอร์ลอกโฮล์มส์ ซึ่งแปลโดยแม่สอาด และนวนิยายลึกลับผจญภัยของวิลเลียม เลอเคอ ได้แก่ สมบัติไอยคุปต์ แปลโดยนักเรียนนายร้อยมีเดช ราสปูตินฑูตแห่งกาลี แปลโดยหลวงสาระนุประพันธ์ ความลับแห่งปอร์ตสตาม และหัตถ์พระอะหล่า แปลโดย พล้อย พรปรีชา เป็นต้น ในด้านนวนิยายไทย เสนาศึกษาฯ ได้ลงอาชญนิยายเรื่องแรกของไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ คือเรื่อง แพรดำ ของหลวงสารานุประพันธ์ นวนิยายและนวนิยายแปลระยะหลัง (ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๕) เป็นระยะที่เริ่มมีการแต่งเรื่องไทยควบคู่ไปกับเรื่องแปล โดยเฉพาะตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๘ เป็นต้นมา นวนิยายไทยแท้ได้รับความนิยมสูงกว่านวนิยายแปล นักประพันธ์สมัยนี้ ส่วนมากเป็นนักประพันธ์อาชีพ ยกเว้นนักประพันธ์และนักแปลอาวุโสซึ่งยังคงแต่งและแปลหนีงสือต่อมาโดยถือเป็นงานอดิเรก วรสารสำคัญในยุคนี้ได้แก่ ดุสิตสมิต ศัพไทย ไทยเขษม สารานุกูล สมานมิตรบังเทิง สวนอักษร เริงรมย์ และสุภาพบุรุษ วารสารแต่ละฉบับมีลักษณะและความสำคัญดังนี้ ดุสิตสมิต ไม่แจ้งกำหนดออกที่แน่นอน แต่ออกรายสัปดาห์ เริ่มเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๑ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๗ เจ้าของและผู้จัดทำคือพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สำหรับนักเขียนนั้นแม้จะไม่แจ้งว่าผู้ใดเขียนเรื่องอะไร ก็พอจะทราบจากสำนวนและแนวความคิดที่แสดงว่าส่วนใหญ่เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นักประพันธ์ชาวคณะล้วนเป็นข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิด วารสารฉบับนี้ไม่รับเรื่องจากบุคคลภายนอกเลย นวนิยายแปลเรื่องสำคัญที่ลงในดุสิตสมิตคือ อาชญนิยายเรื่องแมลงป่องทอง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลจากเรื่องของแซก โรเมอร์ ( Sax Rhomer ) ศัพท์ไทย ออกรายเดือนตั้งแต่เดือนกันยายยน พ.ศ. ๒๔๖๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๐ โดยโรงพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทย นักเขียนและนักแปลของศัพท์ไทยหลายท่านเป็นผู้ที่เด่นและมีผลงานลงในวารสารอื่นๆ ในสมัยนั้นด้วย ได้แก่ แสงทอง พรรธนะแพทย์ (พระพณิชยศาสตร์วิธาน ) สมุห์หอม (พลพัน หุ้มแพร ) เฟื่อง พลพันธ์ุ เรื่องศิลป์ (ใช้ หรือ ชัย เรืองศิลป์ ) ศ. (ศิลป) เทศะแพทย์ ประจักษ์ พันธุมโพธิ์ แม่สอาด และศรีสุวรรณ (หลวงนัยวิจารณ์ ) เป็นต้น บทประพัทธ์สำคัญที่ลงในศัพท์ไทยมีทั้งเรื่องแปล และนวนิยายไทย เช่น คดีลึกลับแห่งมหานคร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงแปลจากนวนิยาย ขงอวิลเลียม เลอเคอ William Lequex โดยทรงใช้นามปากกา รามจิตติ นวนิยายชุดล้อพงศาวดารจีน ของสมุห์ หอม นวนิยายรักโศกเรื่องกรรมตามทัน ของชัย เรืองศิลป์ เป็นต้นไป ไทยเขษม ออกรายเดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๘ จัดทำโดยสำนักงานไทยเขษม โรงพิมพ์อักษรศรีสมิต เจ้าของและบรรณาธิการคือ นายพัน ลักษณสุต ไทยเขษมเป็นที่รวมผลงานของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงทั้งเก่าและใหม่ นักเขียนชาวคณะ ได้แก่ เสฐียรโกเศศ (พระยาอนุมานราชธน ) อ.น.ก. (พระยาอุปกิตศิลปสาร ) อุบลวรรณ (พระยาวิจิตรธรรมปริวัตร ) มรกต (พระยาสุนทรพิพิธ ) ศิวศริยานนท์ (พระวรเวทย์พิสิฐ ) รุ่ง พลานุเคราะห์ (พระพิสัณหพิทยาพูน ) พรรธนะแพทย์ ศรีสุวรรณ นาคะประทีป (พระสารประเสริฐ ) แม่ลัดดา (ขุนคำณวนวิจิตร์ ) อายัณโฆษ (ขุนธนกิจวิจารณ์ ) และศุกรหัสน์ (จมื่นมานิตย์เนรศร์ ) นักเขียนรุ่นหลังที่มีชื่อเสียง ได้แก่ ส่ง เทพาสิต และดอกไม้สด (ม.ล. บุบผา (กุญชร) นิมมานเหมินทร์ ) วารสารไทยเขษมมีความสำคัญในการส่งเสริมการประพันธ์นวนิยายอย่างยิ่ง ทั้งนี้เพราะเปิดโอกาสให้ผู้อ่านส่งเรื่องมาลงได้้ ทุกชนิด ถ้าเรื่องใดผ่านการคัดเลือกก็จะได้ลงพิมพ์ วิธีนี้ได้รับความสนใจจากผู้อ่านมาก ทำให้มีนักเขียนใหม่ที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นหลายท่าน นวนิยายเรื่องสำคัญที่ลงในไทยเขษมได้แก่ นวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่อง “ดาบศักดิ์เหล็กนำ้พี้ “ โดย อายัณโฆษ ซึ่งเป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องแรกของไทย นวนิยายชีวิตเรื่อง “ศัตรูของเจ้าหล่อน” “นิจ “ และ” กรรมเก่า “ ของดอกไม้สด นวนิยายอิงพุทธศาสนาเรื่อง “กามนิต” โดยเสฐียรโกศศ และ นาคะประทีป และนวนิยายผจญภัยเรื่อง “วารุณี “ โดย กาญจนาคพันธ์ ซึ่งเป็นนวนิยายผจญภัยเรื่องแรกของไทยด้วย สารานุกูล ออกรายสัปดาห์ทุกวันเสาร์ เริ่มออกเมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๘ เลิกออกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ เจ้าของผู้จัดการ บรรณาธิการ และผู้จัดทำคือ หลวงสารานุประพันธ์ นักเขียนใน สารานุกูล แบ่งได้เป็นสองกลุ่มคือ นักเขียนรุ่นอาวุโส ซึ่งหลายท่านเป็นผู้มีบรรดาศักดิ์ และนักเขียนรุ่นเยาว์ซึ่งเป็นนักเขียนใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในขณะนั้น รายนามตามที่ปรากฎในคำนำฉบับแรกได้แก่ น.ม.ส. ครูเทพ ศรีสุวรรณ นาคะประทีป แสงทอง กุมารใหม่ บางขุนพรหม แมวคราว สารถี (จิตร สารากร ) แม่สอาด แมกซิม สมุห์หอม ทวนทอง (หลวงรามรณภพ ) ศรศักดิ์ และศรีอิศรา ( ม.ล. ฉอ้าน อิศรศักดิ์ ) มณีอลังการ (ม.จ. พงศ์รุจา รุจวิชัย ) วงเวียน สังคามารตา (ผัน นาคสุวรรณ ) แม่ลัดดา คนธรรพ์ ชาวเหนือ (กระสินธ์ุเนตรายน ) พรรธนะแพทย์ ศิวะศริยานาท์ นามานุลักษณ์ ขุนสุนทรภาษิต ช. จาคภิรมย์ ส.อัตริกานนท์ (ขุนสอนสุขกิจ ) ชัย เรืองศิลป์ ประจักษ์ พันธุมโพธิ์ ข. (ขาว ) โกมลมิศร์ ห. (หวล) สุนทราชุน ร. (จรัญ ) วุธาธิตย์ และจำรัส ฤกษ์สุรนันท์ เป็นต้น เนื้อเรื่องของสารานุกูลหนักไปทางบันเทิงคดี ได้แก่นวนิยาย และเรื่องสั้นที่แต่งใหม่ เรื่องแปล และร้อยกรอง ดังนั้นสารานุกูล จึงเป็นครื่องส่งเสริมบันเทิงคดีเป็นอย่างมาก นวนิยายเรื่องสำคัญที่ลงเป็นประเภทอาชญนิยาย เช่น “เรื่องแพรดำ ภาค ๒ “อันสืบเนื่องมาจากเรื่องแพรดำที่ในเสนาศึกษาฯ “มือมืด “ และ “บ้านเปรต “ เป็นต้น สมานมิตรบรรเทอง (สมานมิตรบันเทิง ) ออกรายปักษ์ทุกวันที่ ๑ และ๑๕ ของเดือน เริ่มออกฉบับแรกเทื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๙ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๑ เจ้าของ ผู้จัดการ และบรรณาธิการ คือ นายเฉลิม วุฒิโฆสิต สมานมิตรบันเทิงเป็นวารสารร่วมสมัยและแนวเดียวกับสารานุกูล แต่ลงผลงานของนักเขียนรุ่นใหม่ทั้งสิ้น เช่น แก้วกาญจนา (วิบูลย์ รงคสุวรรณ ) อบ ไชยวสุ ส.(เสาว์ ) บุญเสนอ เป็นต้น วารสารสมานมิตรบันเทิงไม่มีความสำคัญเป็นพิเศษในด้านวรรณกรรมนอกจากจะเป็นสนามให้นักประพันธ์ได้แสดงผลงานด้านนวนิยายและเรื่องแปล ซึ่งมีสองแนวคือ เรื่องรัก และโลดโผนผจญภัย เริงรมย์ ออกรายปักษ์ทุกวันที่ ๑ และ ๑๕ ของเดือนเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๙ จรถึง พ.ศ. ๒๔๗๒ เจ้าของคือ ร้อยโท สาย จามรนาค มีบรรณาธิการสองท่านคือ ร้อยโทสาย จามรนาค และรองอำมาตย์ตรี พล้อย พรปรีชา เริงรมย์มีนักเขียนประจำหลายท่านซึ่งยังคงเป็นที่รู้จักอยู่ในปัจจุบัน เช่น ประจักษ์ พันธุมโพธิ์ ขาว โกมลมิศร์ กระสินธุ์ เนตรายน พลพัน หุ้มแพร ขุนคำนวณวิจิตร ชัย เรืองศิลป์ ม.จ. พงศ์รุจา รุจวิชัย แสงบุหลัน (เสนอ บุณยเกียรติ ) เทพ มหาเปารยะ ทวี มหาเปารยะ พัฒน์ เทพรังษี มาลัย ชูพินิจ ส่ง เทพาสิต และเอื้อม รุจิดิษฐ์ เป็นต้น นวนิยายเรื่องสำคัญๆ ที่ลงในเริงรมย์ได้แก่ “เกาะกากี “ โดยพันธ์ุงาน ซึ่งเป็นนวนิยายผจญภัยรุ่นแรกเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้ได้ลงผลงานรุ่นแรกๆ ของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น “ชะรอยกรรม” ของมาลัย ชูพินิจ “นำ้ใจของนรา “ ของส่ง เทพาสิต และเรื่อง “ตีขลุมกิน “ของ อ.ร.ด. เป็นต้น สวนอักษร ออกรายปักษ์ทุกวันที่๑ และ ๑๕ของเดือน เริ่มเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๙ และเลิกในปีเดียวกันนั้นเอง เจ้อของคือ นาย อ.ล. ย่องหลี บรรณาธิการคือนายทองใบ พูนโภคา นักเขียนในสวนอักษรส่วนมากเป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งมีชื่อเสียงเมื่อต้นรัชกาลที่๗ ได้แก่ ศรีบูรพา (กุหลาบ สายประดิษฐ์ ) แม่อนงค์ (มาลัย ชูพินิจ ) อบ ไชยวสุ อ.ก. รุ่งแสง ( โพยม โรจนวิภาต ) ส. อันตะริกานนท์ (ขุนสอนสุขกิจ ) แก้วกาญจนา (วิบูลย์ รงคสุวรรณ ) สมจินตนา และบุษราคำ (สุดใจ พฤทธิสาลิกร ) เป็นต้น นักแปลได้แก่ จามจุรี (สันทนา ทรรศานนท์ ) และ บางขุนพรหม (หลวงรัชฏการโกศล ) ซึ่งเป็นนักประพันธ์อาวุโสแต่เพียงผู้เดียวในคณะนี้ เนื่องจากสวนอักษรออกในช่วงระยะเวลาอันสั้นจึงไม่มีบทประพันธ์สำคัญเป็นพิเศษ แต่มีผลงานรุ่นแรกของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงในสมัยต่อมาหลายท่าน เช่น เรื่อง “ความหวัง” และ”คนที่ลืมไม่ได้ ของศรีบูรพา และ เรื่อง “ผู้ชายเป็นคน....? ของ แม่อนงค์ เป็นต้น สุภาพบุรุษ ออกรายปักษ์ทุกวันที่ ๑ และ ๑๕ ของเดือน ฉบับแรกออกเมื่อ วันที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๒ จนถึงพ.ศ. ๒๔๗๔ เจ้าของและบรรณาธิการคือกุหลาบ สายประดิษฐ์ นักประพันธ์กลุ่มสุภาพบุรุษเป็นนักประพันธ์อาชีพ ได้แก่ ศรีบูรพา แม่อนงค์ พ. เนตรรังษี พ. พรปรีชา สด กูรมะโรหิต และแสงธรรม (หลวงวิจิตรวาทการ ) เป็นต้น สุภาพบุรุษมีความสำคัญมากในการส่งเสริมอาชีพนักประพันธ์ และการประพันธ์เพราะมีการรับซื้อเรื่องเป็นประจำอย่างจริงจังเป็นครั้งแรกตามนโยบายที่แถลงไว้ในฉบับแรกที่ออกดังนี้ …..สำหรับหนังสือพิมพ์ที่ออกเป็นรายปักษ์ หรือรายเดือนดูเหมือนยังไม่เคยมีฉบับใดได้นำประเพณีการซื้อเรื่องเข้ามาใช้ การซึ่งเราจะกระทำขึ้นเป็นครั้งแรกนี้ก็เพราะเห็นว่าถึงเวลาอันสมควรที่จะกระทำแล้ว นวนิยายเรื่องสำคัญที่ลงในสุภาพบุรุษ ได้แก่เรื่อง ปราบพยศ และผจญบาป โดยศรีบูรพา เรื่องธาตุรัก และเกิดเป็นหญิง โดยแม่อนงค์ เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ได้พิมพ์จำหน่ายเป็นเล่มในเวลาต่อมา วิวัฒนาการของการประพันธ์นวนิยายไทย การประพันธ์นวนิยายไทยซึ่งเริ่มต้นจากอิทธิพลของเรื่องแปลจากภาษาตะวันตกตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดังกล่าวมาแล้วนั้น ได้รุ่งเรืองขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และเจริญสูงสุดในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว วิวัฒนาการของนวนิยายไทยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๓ เป็นต้นมา จนถึง พ.ศ. แบ่งตามลักษณะการประพันธ์ และเนื้อเรื่องได้สี่ระยะดังนี้ ระยะแรก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๓ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ ระยะที่สอง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๒ ระยะที่สาม ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๓ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๙ ระยะที่สี่ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๐ ถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ รายละเอียดในแต่ละสมัยที่จะกล่าวถึงแยกได้เป็นสองตอนคือตอนแรกเกี่ยวกับสภาพทั่วไปของยุคสมัยและวรรณกรรมในสมัยนั้น ตอนที่สองกล่าวถึงความเปลี่ยนแปลงของนวนิยายในด้านต่างๆ คือ โครงเรื่อง ตัวละคร สำนวนภาษา (บทเจรจา ) บรรยากาศ ทัศนคติของผู้แต่ง และ ทำนองแต่ง ในแต่ละหัวข้อเหล่านี้ เมื่อสรุปลักษณะโดยทั่วไปแล้ว จะยกตัวอย่างจากนวนิยายที่แต่งในสมัยนั้นๆ ประกอบเป็นตอนๆ ไป การประพันธ์นวนิยายระยะแรก ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๔๓ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๓ ระยะเวลาในช่วงนี้อยู่ในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุมจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันเป็นระยะที่ประเทศไทยเริ่มมีความเจริญแบบตะวันตก ในสมัยนี้มีความเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ซึ่งนำความเจริญมาสู่ประเทศอย่างมาก เช่น ด้านขนบธรรมเนียม ประเพณี มีการแก้ไขและยกเลิกประเพณีบางอย่างที่ไม่เหมาะสม เช่น เลิกการหมอบคลานในเวลาเข้าเฝ้าในพระราชฐาน โดยให้ยืนหรือนั่งตามโอกาส ด้านการปกครองมีการจัดตั้งกระทรวงขึ้นแทนระบบจตุสดมภ์ที่ล้าสมัย ด้านการศึกษา มีการจัดตั้งหอสมุดพิพิธภัณฑ์ และโรงเรียน ตลอดจนการส่งนักเรียนไปศึกษาต่างประเทศ ในด้านความสุขของประชาชน มีการเลิกทาส การจัดตั้งตำรวจขึ้นทั่วประเทศ สร้างโรงพยาบาล และเริ่มกิจการนำ้ปะปา สำหรับต่างประเทศนั้น นอกจากมีการเจริญพระราชไมตรีกับนานาประเทศแล้ว เหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ การที่ไทยต้องเสียดินแดนแก่อังกฤษและฝรั่งเศสถึงแปดครั้ง เพื่อแลกกับอำนาจทางศาลและการสร้างความเจริญแก่ประเทศความเปลี่ยนแปลงและความเจริญต่างๆ เหล่านี้จะสะท้อนให้เห็นในวรรณกรรมซึ่งแต่งขึ้นในสมัยนั้นด้วย. ความเปลี่ยนแปลงทางวรรณกรรม เริ่มต้นจากการขยายตัว ของการพิมพ์และกิจการหนังสือพิมพ์ตามแบบตะวันตก ในสมัยนี้เริ่มมีการออกหนังสือพิมพ์รายวัน และรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นสนามให้นักเขียนสร้างวรรณกรรมขึ้นหลายประเภท นักประพันธ์ที่สำคัญในสมัยนี้ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ พระองเจ้ารัชนีแจ่มจรัส (น.ม.ส. ) พระยาสุรินทราชา (แม่วัน) หลวงวิลาศปริวัตร (นายสำราญ นกโนรี ) และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พันแหลม นายแก้ว นายขวัญ ) เป็นต้น วรรณกรรมที่ปรากฎในหนังสือ และวารสารทั้งที่แต่งใหม่แปล หรือ แปลง มีประเภทต่างๆ ได้ แก่ เรื่องสั้น เรื่องแปล นวนิยายสั้น นวนิยาย ความเรียง หนังสือประกอบภาพยนตร์ และบทละครชนิดต่างๆ วรรณกรรมประเภทที่แพรืหลายที่สุดในยุคคือ เรื่องสั้นและหนังสือประกอบภาพยนตร์ ส่วนนวนิยายหลังจากมีการแปลนวนิยายเรื่องแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ แล้ว ก็มีผู้แปล และแต่งเรื่องอื่นๆ อีกในเวลาต่อมา เรื่องที่นิยม แต่งและแปลมีสามแนวคือ เรื่องการสืบสวนคดีต่างๆ ซึ่งเรียกว่าอาชญนิยาย เรื่องเกี่ยวกับชีวิต และเรื่องการผจญภัย อยา่งไรก็ตาม ในสมัยนี้จำนวนคนที่อ่านหนังสือออกยังมีน้อย ผุ้ประพันธ์และผู้อ่านส่วนมากจึงเป็นคนกลุ่มหนึ่งในสังคมซึ่งเป็นผู้มีการศึกษาดี มีฐานะดี อยู่ในวงสังคมชั้นสูง หรือเป็นข้าราชการ สมัยนี้เป็นระยะแรกของการประพันธ์นวนิยายไทย จึงมีจำนวนเรื่องน้อย และส่วนมากอาศัยหนังสือภาษาตะวันตกเป็นแบบแผนประกอบกับหนังสือเก่าๆ ที่มีผู้แต่งไว้บ้าง แม้จะมีหลักฐานที่เชื่อได้ว่าหลวงวิลาสปริวัตรได้แต่งนวนิยายเรื่อง ความไม่พยาบาท คู่กับนวนิยายแปลเรื่องความพยาบาทเมื่อราว พ.ศ. ๒๔๔๔ แต่ก็ไม่มีต้นฉบับเหลือไว้ให้ได้ศึกษาในปัจจุบัน. นวนิยายที่แต่งขึ้นในสมัยนี้เท่าที่สามารถค้นพบมีสองเรื่องสองแนวคือ อาชญนิยายเรื่อง นิทานทองอิน พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระนามแฝงว่า นายแก้ว นายนายขวัญ ซึ่งลงพิมพ์ในวารสารทวีปัญญาเป็นตอนๆ เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน ร.ศ. ๑๓๒ ( พ.ศ. ๒๔๔๗ ) และนวนิยายผจญภัยกึ่งนวนิยายรักเรื่องดาราหวัน พระนิพนธ์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ในพระนามแฝง ประเสริฐอักษร พิมพ์ครั้งแรกเมื่อ ร.ศ. ๑๒๗ ( พ.ศ. ๒๔๕๑ ) ในสมัยนั้นนวนิยายเกี่ยวกับความรักแท้ๆ ไม่มี เพราะไม่อยู่ในความนิยมทั้งของผู้อ่านปละผู้ประพันธ์ นอกจากนี้มีนวนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่แต่งในสมัยนี้ โดยชาวฝรั่งเศสซึ่งมาอยู่ในเมืองไทยชื่อ หลุยส์ รีวีแอร์ เรื่อง “พ่อแดง “ เมื่อราว ร.ศ. ๑๒๘ ถึง ร.ศ. ๑๓๐ ( พ.ศ. ๒๔๕๒ ถึง พ.ศ. ๒๔๕๔ ) แต่พิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๒ นวนิยายเรื่องนี้มีแนวชีวิตรักโศก มุ่งแสดงขนบธรรมเนียมประเพณีและชีวิตชาวไทย สันต์ ท. โกมลบุตร แปล เป็นภาษาไทย และพิมพ์เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ การประพันธ์นวนิยายระยะที่สอง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๕๔ ถึง พ.ศ. ๒๔๖๒ ระยะเวลาในช่วงนี้อยู่ในรัชการพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวตอนต้นและตอนกลาง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเจริญรอยตามสมเด็จพระราชบิดา ในการทำนุบำรุงประเทศให้ทัดเที่ยมอารยะประเทศในด้านต่างๆ ในด้านการศึกษาได้เริ่มขยายตัวออกไปทั่วประเทศ มีการตั้งจุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย ตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือน ตรงพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์และพระราชบัญญัติประถมศึกษาเพื่อบังคับเด็กให้เล่าเรียน ในด้านความปลอดภัยของประเทศ ได้จัดตั้งกองทหารขึ้นถึง ๑๐ กองพล ตั้งกองทัพอากาศ กองเสือป่าและลูกเสือปลุกใจพลเมืองให้รักชาติ และเปิดการซ่อมรบ เสือป่าขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ทรงเชื่อสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรป อเมริกาและเอเชีย เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ ๑ ไทยก็ได้ประกาศกับเยอรมันและ ออสเตรีย ฮังการี และส่งทหารอาสาออกไปร่วมรบในทวีปยุโรป. ในด้านวรรณกรรม ในตอนต้นรัชกาล วรรณกรรมต่างประเทศเริ่มได้รับความนิยมแพร่หลาย มีการแปลและแต่งสารคดีและเรื่องอ่านเล่นประเภทต่างๆ ลงพิมพ์ในวารสารและหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับที่ออกในสมัยนั้น และมีการพิมพ์จำหน่ายเป็นเล่มอีกด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงว่าการประพันธ์ของไทยในระยะนี้เจริญขึ้นกว่าสมัยแรกเป็นอย่างมาก แม้ว่าการประพันธ์ในสมัยนี้จะเจริญรุ่งเรื่องกว่าในรัชกาลก่อนแต่ก็ยังเจริญได้ไม่เต็มที่ เพราะประสบปัญหาราคากระดาษสูงวิกฤตการณ์เช่นนี้เป้นผลจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ ซึ่งมีผลกระทบกระเทือนต่อระบบเศรษฐกิจ และการค้าทั่วโลก บรรดาวารสารและหนังสือพิมพ์ต่างๆ ที่เป็นสนามของนักประพันธ์ต่างก็ประสบปัญหาขาดแคลนกระดาษและอยู่ในฐานะไม่มั่นคงนัก วารสารศรีกรุงรายเดือน ซึ่งเป็นวารสารสำคัญฉบับหนึ่ง ในสมัยนั้นได้ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า … อนึ่งศรีกรุงได้ตั้งใจที่จะทำหนังสือเรื่องยาวแพนกเรื่องอ่านเล่นออกจำหน่ายอย่างน้อยเดือนละเรื่องเสมอ และจะทำให้งานเรียบร้อยสมกับราคา เข้าชุดกันได้ทุกเรื่อง แต่เสียใจที่จะต้องกล่าวว่าราคากระดาด (กระดาษ ) เวลานี้บังคับให้ช้กระกากดีน้อยกว่าเรื่องก่อนๆ และเกรงว่าต่อไปกระดาดเมืองเราจะยิ่งอัตคัดมากขึ้น อาการเช่นนี้ แม้แต่ในประเทศอังกฤษเองก็ยังมี....แต่เมืองเรารอดตัวที่พอพึง่กระดาดญี่ปุ่นได้บ้าง ความนิยมเรื่องอ่านเล่นในสมัยนี้หนักไปทางเรื่องของตะวันตกผู้ที่มีความรู้และเคยอ่านหนังสือของตะวันตกเห็นว่าเรื่องเหล่านั้นมีคุณค่าสาระ และสนุกหว่าเรื่องอ่านเล่นของไทย ประเภทจักรๆ วงศ์ๆ ที่ชาวบ้านเคยนิยมอ่านมาแต่เดิม นวนิยายแปลจากภาษาตะวันตกที่แพร่หลายในระยะนี้ได้แก่เรื่องประเภทอาชญนิยาย โดยเฉพาะชุดนักสืบเชอร์ลอกโฮล์มส์ นายเซียวฮุด เส็งสีบุญเรือง ผู้จัดการวารสารเพาะวิทยา ได้แสดงความเห็นไว้ดังนี้ ธรรมดาเรื่องอ่านเล่นของพวกนักปราชญ์ชาวตะวันตกแต่งขึ้นนั้นไม่ว่าเรื่องใด ย่อมต้องอาไศรย (อาศัย ) หลักถาน (หลักฐาน แห่งความจริงอยู่เสมอ เช่น เมื่ออ้างถึงบุคคลหรือพงศาวดาร หรือภูมิประเทศ เป็นต้น คงไม่ให้ผิดจากธรรมดา และตำราศาสตร์ไปได้ และหนังสือประเภทนี้มักออกความคิดใหม่ๆ อาจชักนำนำ้ใจของบุคคลให้น้อมไปทางเมตตาปราณีซึ่อสัตย์สุจริต หรือกล้าหาญองอาจ และอะไรๆ โดยไม่รู้ตัว แต่หลักสูตรของเรื่องนั้น ๆ ได้ตั้งไว้เห็นว่าย่อมมีประโยชน์ แก่ผู้อ่านดีกว่าเรื่องจักรๆ วงษ์ ๆ ที่ชาวบ้านเราเคยอ่านกัน วรรณกรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้นนอกจากเรื่องแปลและนวนิยายคือบทละครร้อง และหนังสือประกอบภาพยนตร์ ซึ่งแต่งขึ้นเพื่ออ่านประกอบการดูละครร้องและภาพยนตร์อันเป็นมหรสพซึ่งเป็นที่นิยมในสมัยนั้น หนังสือประเภทที่กล่าวมานี้มีการพิมพ์จำหน่ายเช่นเดียวกับเรื่องอ่านเล่นทั่วไป สำหรับบทละครร้องนั้นมีการพิมพ์รวามเล่มเฉพาะบทละครของคณะใดคณะหนึ่งช่วงเวลาเก้าปีแรกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งถือว่าเป็นระยะที่สองของการประพันธ์นวนิิยายไทย มีการประพันธ์นวนิยายมากกว่าในรัชกาลก่อนแต่ก็ยังน้อยกว่าในช่วงหลังของรัชกาล ทั้งรี้เพระานวนิยายเป็นวรรรณกรรมชนิดใหม่ที่เพิ่งจะเป็นที่นิยมในหมู่คนไทย นักประพันธ์ยังมีน้อยและขาดประสบการณ์ ส่วนใหญ่เป็นนักแปลมาก่อนทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้ นวนิยายที่แต่งขึ้นในระยะนี้จึงมีลักษณะเป็นการเลียนแบบหรือดัดแปลงจากนวนิยายของตะวันตก เป้นส่วนใหญ่ นักประพันธ์ที่มีช่ื่อเสียงบางท่านในสมัยนี้ได้แก่ หลวงวิลาสปริวัตร หลวงอรรถเกษมภาษา นายชิต บุรทัต และ ป. กาญจนารัณย์ เป็นต้น นวนิยายเป็นวรรณกรรมอย่างใหม่ซึ่งเพิ่งเริ่มขึ้นในประเทศไทยในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมัยนี้ผู้ที่กลับจากศึกษาในทวีปยุโรปนำแบบแผนวรรณกรรมตะวันตก ได้ เรื่องสั้น บทละคร และนวนิยาย เข้ามาเผยแพร่ มีการออกวารสารลงเรื่องอ่านเล่น บทความและสารคดีทั้งที่แต่งขึ้นใหม่และที่แปลอย่างแพร่หลาย อย่างไรก็ตามวรรณกรรมอย่างใหม่นี้ก็ยังไม่รุ่งเรืองนักเพราะผู้มีโอกาสอ่านยังมีจำนวนน้อย จำกัดเฉพาะผู้ที่อยู่ในวงสังคมชั้นสูงและผู้ที่มีการศึกษาดีเท่านั้น ชาวบ้านธรรมดายังคงนิยมวรรณกรรมในแบบแผนเดิมคือเรื่องจักรๆ วงศ์ และนิยายจีน ในสมัยรัชกาลที่ ๖ มีการออกแบบหนังสือพิมพ์ วารสาร และนิตยสารต่างๆ มากขึ้น ประกอบกับการศึกษาขยายวงกว้างออกไป วรรณกรรมประเภทเรื่องสั้น และนวนิยายจึงได้รับความนิยมสูงขึ้น นวนิยายในสมัยนี้ส่วนใหย่เป็นเรื่องแปลจากภาษาต่างประเทศ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกัน และจีน ตามลำดับ เรื่องที่แต่งขี้นใหม่ก็มักเป็นการเลียนแบบหรืออาศัยเค้าโครงจากนวนิยายต่างประเทศ ที่แต่งใหม่อย่างแท้จริงนั้นมีน้อย นวนิยายเริ่มมีลักษณะเป็นไทยแท้ในสมัยรัชกาลที่ ๗ อันเป็นผลจากการที่ประชาชนมีการศึกษาดีขึ้น จำนวนผู้อ่านออกเขียนได้มีมากขึ้น กิจการหนังสือพิมพ์และการประพันธ์จึงรุ่งเรีองนักประพันธ์มีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าในสมัยก่อนๆ มีแนวการเขียนต่างๆกัน และเริ่มมีนักประพันธ์อาชีพ นวนิยายในสมัยนี้มีความเปลี่ยนแปลงมากกว่าสมัยใดๆ ที่กล่าวมาแล้วทั้งในด้าน เนื่้อเรื่อง ตัวละคร แนวคิด สำนวนภาษา และทำนองแต่ง กล่าวคือ มีเหตุผล มีความสมจริง สำนวนภาษากระทัดรัด สละสลวย และมีกลวิธีการแต่งแปลกน่าสนใจยิ่งขึ้น นวนิยายในสมัยนี้หลายเรื่องเป็นแบบแผนของนวนิยามในปัจจุบันและยังคงได้รับความนิยมอยู่. การที่นวนิยายมีวิวัฒนาการไปตามยุคสมัยย่อมก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ด้วย ปัจจัยที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่นนวนิยายไทยตั้งแต่แรกเริ่มจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ สรุปได้ ๔ ประการคือ อิทธิพลของต่างประเทศ ความนิยมแต่งตามกัน , ตลาด และเหตุการณ์บ้านเมือง อิทธิพลของต่างประเทศ หมายความถึงสิ่งที่เข้ามาในประเทศด้วยความเจริญของสื่อมวลชนต่างๆ ทั้งในรูปหนังสือเล่ม วารสาร หนังสือพิมพ์ ภาพยนตร์ และละคร เป็นต้น รวมทั้งสิ่งที่เข้ามาในรูปของวัฒนธรรม ความคิด ประเพณี การแต่งกายและอื่นๆ อิทธิพลเช่นนี้ ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแก่นวนิยายในด้านรูปแบบ แนวคิด เนื้อเรื่อง วิธีแต่ง และรายละเอียด อื่นๆ สำหรับอิทธิพลของต่างประเทศที่มีผลต่อนวนิยายไทย ตั้งแต่สมัยแรกจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้แก่ หนังสือ วารสาร และภาพยนตร์ หนังสือ และวารสารมีอิทธิพลต่อนวนิยายไทยในระยะแรกเมื่อผู้ที่กลับจากการศึกษาต่างประเทศได้ออกสิ่งพิมพ์เลียนแบบวารสารของต่างประเทศและแปลเรื่องสั้นและนวนิยายภาษาต่างประเทศลงพิมพ์ในวารสารที่ออกใหม่นี้จนเป็นที่รู้จักคุ้นเคยในหมู่ผู้อ่าน และกลายเป็นแบบแผนให้นักประพันธ์แต่งเรื่องเลียนแบบในเวลาต่อมา ในสมัยต่อมานวนิยายจึงได้รับอิทธิพลจากภาพยนตร์ต่างประเทศอีกทางหนึ่ง ซึ่งแห่งเด่นชัดในอาชญนิยาย ความนิยมแต่งตามกัน ในวงการประพันธ์ของทุกชาติ ทุกยุคสมัย ย่อมมีนักประพันธ์ที่เด่นในแนวใดแนวหนึ่งและเป็นแบบฉบับให้ผู้อื่นเจริญรอยตาม ในประวัตินวนิยายไทยก็มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเสมอ เช่นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๕ หลวงสารานุประพันธ์ แต่งอาชญนิยายเรื่องแพรดำขึ้น โดยมีผู้ร้ายเป็นตัว ได้โม่ง เป็นครั้งแรก ได้ก่อให้เกิดความตื่นเต้นในหมู่ผู้อ่าน จนเป็นเหตุให้นักประพันธ์อื่นๆ ซึ่งเคยแต่งเรื่องรักใน แนวต่างๆ หันมาแต่งอาชญนิยายในแนวเดียวกันอยู่ระยะหนึ่งและต่อมาเมื่อ ส่ง เทภาสิต แต่งเรื่องเกี่ยวกับความรักของสตรีซึ่งแสดงเสรีภาพมากขึ้น นักประพันธ์อื่นๆ ในสมัยนั้นเห็นว่าเป็นของแปลกใหม่จึงพากันแต่งตามบ้าง บางคนถึงกับนิยมยกย่องว่าเป็นครูก็มี ตลาด หมายถึงผู้ที่อ่านนวนิยาย ความต้องการของตลาดส่วนใหญ่มุ่งความบันเทิง ดังนั้นจึงไม่อาจตัดสินได้ว่าวรรณกรรมเรื่องใดดีหรือไม่ดีโดยพิจารณาจากความสนใจของตลาดได้อย่างไรก็ตามผู้อ่านก็มีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงของนวนิยายไม่น้อยเพราะผู้ที่ยึดการประพันธ์เป็นอาชีพย่อมต้องเอาใจใส่ตลาดไว้บ้าง และเมื่อความนิยมของผู้อ่านเปลี่ยนแปลงไปนวนิยายจึงต้องเปลี่ยนแนวตามไปด้วย เพศและวัยของผู้อ่านก็มีส่วนกำหนดแนวการประพันธ์นวนิยายด้วย กล่าวคือผู้อ่านที่เป็นหญิงมักชอบเรื่องเกี่ยวกับครอบครัวและความรัก แต่ถ้ามีความรักแนวเดียวซำ้ๆกันก็ย่อมน่าเบื่อหน่าย จึงมีนวนิยายรักเบาสมอง รักโศกและรักสุขบ้างสลับกัน เป็นการเปลี่ยนรสใ้ห้สอดคล้องกับอารมณ์ของผู้อ่าน ส่วนผู้อ่านที่เป็นชายมักชอบเรื่องหวาดเสียวตื่นเต้นมีการสู้รบ เสี่ยงชีวิต หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าบู๊ เป็นต้น เนื่องจากความต้องการของตลาดมีต่างๆ กันและยังเปลี่ยนแปลงได้เช่นนี้ นักประพันธ์ที่มีงานประพันธ์เป็นอาชีพจึงต้องปรับปรุงแนวการเขียนของตนให้สอดคล้องกับความนิยมของตลาดเสมอแต่ในขณะเดียวกันก็ต้องส่งเสริมรสนิยมของผู้อ่านให้ดีขึ้นด้วย. เหตุการณ์บ้านเมือง เป็นสิ่งที่มีผลต่อความเปลี่ยนแปลงของนวนิยายในด้านโครงเรื่องและแนวความคิดเป็นอย่างมาก เพราะนวนิยายมักสะท้อนภาพชีวิต เหตุการณ์ และความเป็นไปในยุคสมัย หากบ้านเมืองอยู่ในภาวะเป็นปกติ มีความเรียบร้อยสงบสุขนักประพันธ์และผู้อ่านย่อมมีจิตใจแจ่มใสมองเห็นแต่สิ่งที่ดีงาม นวนิยายจึงสะท้อนให้เห็นความสงบสุขและความสวยงามในสมัยนั้น แต่ถ้ามีเหตุการณ์ซึ่งเป็นที่ตื่นเต้นวิพากษ์ วิจารณ์ของประชาชน นักประพันก็ย่อมจะไม่มองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปเสีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ หรือสังคม ดังเช่น ในนวนิยายเรื่องดาราหวัน ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ซึ่งแต่งในสมัยรัชกาลที่๕ เมื่ออังกฤษได้มลายูเป็นเมืองขึ้น และมามีบทบาทสำคัญในเขตนี้จนไทยต้องเสียดินแดนภาคใต้ไป เรื่องราวเหล่านี้ก็ได้ปรากฎในนวนิยายเรื่องนั้นด้วย ในสมัยต่อมาเมื่อเกิดภาวะเศรษกิจตกตำ่อย่างร้ายแรงในประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๗ จนต้องมีการปลดข้าราชการที่เกินจำนวนงานออก ซึ่งเรียกว่า สมัยดุลยภาพ นักประพันธ์ในสมัยนี้ก็พากันกล่าวถึงเรื่องความยากลำบากของคนที่ว่างงานและครอบครัว การแบ่งพรรคพวกในวงราชการ และเรื่องการปฏิวัติเมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๕ ในนวนิยายเกือบทุกเรื่อง ปัจจัยสำคัญ ๔ ประการดังที่กล่าวมานี้ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงแก่นวนิยายไทยในด้านต่างๆ ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกไปจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ ดังนี้คือ ๑. เนื้อเรื่องและโครงเรื่อง มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในสมัยที่ ๔ ของการประพันธ์ โดยเปลี่ยนจากเรื่องความรักในแนวต่างๆ และเรื่องโลดโผนตื่นเต้นซึ่งเลียนแบบจากนวนิยายตะวันตกซึ่งความสนุกสนานเพลิดเพลินเป็นประการสำคัญ มาเป็นนวนิยายที่มีขอบเขตกว้างขวานขึ้น คือเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสังคม และประเทศชาติ ในแนวที่สมจริง และคำนึงถึงประโยชน์ด้านอื่นๆมากกว่าความสนุกสนานแต่เพียงอย่างเดียว นักประพันธ์ที่เริ่มการประพันธ์ในแนวใหม่นี้ได้ แก่ ศรีบูรพา มาลัย ชูพินิจ ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์ ดอกไม้สด และ สด กูรมะโรหิต ๒. แนวความคิดหรือปรัชญาของเรื่อง เนื่องจากเนื้อเรื่องของนวนิยามในสมัยแรกๆ มักเกี่ยวกับครอบครัวหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง การแสดงความคิดหรือปรัชญาของเรื่องจึงจำกัดเฉพาะที่เกี่ยวกับชีวิต ความรัก และครอบครัวเท่านั้น และมักเป็นข้อคิดง่ายๆ ไม่ลึกซึ้ง แต่ในสมัยหลังเมื่อเรื่องมีขอบเขตกว้างขึ้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับส่วนรวม จึงมีการแสดงข้อคิดที่เกี่ยวกับสังคมการเมือง และเศรษฐกิจได้ เช่นที่ปรากฎในผลงานของ ศรีบูรพา และสด กูรมะโรหิต นวนิยายที่เกี่ยวกับชีวิตก็ยังคงมีผู้แต่งอยู่ แต่เป็นการมองจากทัศนะของผู้ประพันธ์ตามความเป็นจริงซึ่งบางครั้งค่อนข้างจะเป็นการมองในแง่ร้าย กล่าวถึงความจริงของชีวิตในด้านความทุกข์ ยาก ความเหลื่อมล้ำต่ำสูง และความไม่แน่นอนแทนที่จะชักชวนให้หลงใหลไปกับความสวยงาน และชีวิตที่มีความสุขและทุกข์ราวกับความฝัน เช่นที่นิยมกล่าวถึงในสมัยแรกๆ นักประพันธ์ที่มีผลงานเกี่ยวกับชีวิตในแนวใหม่นี้ ได้แก่ ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์ มาลัย ชูพินิจ และศรีบูรพา วิธีแต่งและการเสนอเรื่อง นวนิยายในสมัยแรกมีโครงเรื่องง่ายไม่ซับซ้อน จึงใช้วิธีแต่งที่ง่ายเหมาะสมกับโครงเรื่อง คือใช้วิธีดำเนินเรื่องไปตามลำดับเหตุการณ์และเวลา ผู้ประพันธ์ไม่คำนึงถึงความสมจริงของเรื่องจึงบรรยายทุกๆ อย่างในเรื่อง นับตั้งแต่เหตุการณ์ ตัวละคร ตลอดจนอารมณ์และความรู้สึกของตัวละครแก่ผู้อ่านโดยตรง หากจะแสดงความคิดหรือคติ ก็จะแสดงเป็นอุทาหรณ์หรือเทศนาโวหาร วิธีนี้แม้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวและความคิดของผู้ประพันธ์อย่างถูกต้องแต่ก็ทำให้เกิดความน่าเบื่อหน่าย ความเปลี่ยนแปลงด้านกลวิธีแต่ง และการเสนอเรื่องเริ่มมีขึ้นในสมัยที่สามของการประพันธ์ คือเริ่มมีการใช้บทเจรจาของตัวละคร หรือจดหมายช่วยในการดำเนินเรื่องแทนการบรรยายโดยผู้ประพันธ์ ต่อมาในสมัยที่สี่ของการประพันธ์จึงมีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ได้แก่การวางโครงเรื่องให้ซับซ้อนยิ่งขึ้น วิธีดำเนินเรื่องไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามลำดับเหตุการณ์หรือ เวลาอย่างเดียว อาจมีการสลับตอนเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ เช่นกล่าวถึงปัจจับันแล้นย้อนไปเล่าเหตุการณ์ในอดีตแล้วกลับมาเล่าเหตุการณ์ปัจจุบันอีก เป็นต้น นอกจากนี้มีวิธีเสนอตัวละครและความคิดที่แนบเนียบสมจริงมากขึ้น เช่น กำหนดให้ตัวละครสนทนากันถึงตัวละครอีกตัวหนึ่งซึ่งผู้ประพันธ์ต้องการแนะนำ จัดความคิดที่ผู้ประพันธ์ต้องการเสนอแก่ผู้อ่านไว้ในบทเจรจาหรือการรำพึงของตัวละคร เป็นต้น. ความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในวงการประพันธ์นวนิยายไทย ตั้งแต่สมัยเริ่มแรกจนถึง พ.ศ. ๒๔๗๕ อันเป็นระยะเวลาประมาณ ๓๐ ปีดังกล่าวมานี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่านวนิยายเป็นวรรณกรรมที่อยู่ในความสนใจของคนไทยทั่วไปจึงมีวิวัฒนาการมาตามยุคสมัย แม้ว่าในระยะ ๒๕ ปี แรกจะเป็นวิวัฒนาการอย่างช้าๆ และน้อยจนแทบไม่รู้สึกก็ตาม แต่ในช่วงเวลา ๕ ปี หลังก็เริ่มมีความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญๆ เกิดขึ้นทั้งในด้านโครงเรื่อง กลวิธีในการประพันธ์ และแนวความคิด ในปัจจุบันนวนิยายนับว่าเป็นวรรณกรรมที่มีความสำคัญมากประเภทหนึ่ง และมีบทบาทต่อสังคมอย่างยิ่ง มีนักประพันธ์และบทประพันธ์แนวใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายจนไม่สามารถจะทราบจำนวนที่แน่นอนได้ ด้วยเหตุนี้หากมีผู้ค้นคว้ารวบรวมเรื่องประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของการประพันธ์ นวนิยามไทยต่อจากที่ได้รวบรวมไว้แล้ว จนกระทั่งถึงปัจจุบันก็ย่อมจะอำนวยประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจและศึกษาด้านวรรณกรรมไทยอย่างยิ่ง.
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง