ความว่าง จิตว่างพุทธทาสภิกขุบรรยาย ณ หอประชุมคุรุสภา วันที่ ๑๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๐๒ ท่านสาธุชนผู้สนใจในธรรมทั้งหลาย การบรรยายธรรมะในวันนี้ เป็นการบรรยายที่คาบเกี่ยวกันกับการบรรยายที่ อาตมาได้เคยบรรยายที่นี่สองครั้งที่แล้วมา ขอทบทวนความจำแด่ท่านทั้งหลาย ที่เคยมาฟังในคราวก่อนอีกครั้งหนึ่งว่า ในการบรรยายครั้งที่หนึ่งนั้น ซึ่งเป็นการอภิปรายธรรมมะด้วยกันได้ให้หัวข้อที่จะบรรยายไว้สามหัวข้อ หัวข้อที่ ๑ งานคือการปฏิบัติธรรม หัวข้อที่ ๒ การทำงานด้วยจิตว่าง และ หัวข้อที่ ๓ หมวดธรรมที่จะพึงใช้ในการทำงานด้วยจิตว่าง แต่แล้วในที่สุด การบรรยายครั้งที่ ๑ นั้น ก็บรรยายได้ หรืออภิปรายกันได้ เพียงหัวข้อเดียวคือ งานคือการปฏิบัติธรรม แม้ในการบรรยายครั้งที่ ๒ อภิปรายครั้งที่ ๒ ซึ่งตั้งใจไว้ว่า จะกล่าวให้จบอีกทั้งสองหัวข้อที่เหลือก็เป็นไปไม่ได้ การบรรยายครั้งที่ ๒ ก็ได้แต่กล่าวถึง การทำงานด้วยจิตว่าง แต่ภายในหัวข้อเรื่องว่า “เราจะถือพุทธศาสนากันอย่างไร” โดยใจความก็คือ การที่เป็นอยู่หรือทำการงานด้วยจิตว่างนั้น คือ วิธีที่เราจะถือพุทธศาสนาให้ ลัดได้ ตรงได้ ให้ได้ประโยชน์เต็มที่หัวข้อที่ ๓ ก็ัยังคงเหลืออยู่จนกระทั่งบัดนี้ คือหัวข้อที่ว่า หมวดธรรมอันจะพึงใช้ในการทำงานด้วยจิตว่าง ดังนั้น จะต้องทบทวนความจำ และความเข้าใจ อีกสักเล็กน้อย. ที่ว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรมนั้น เป็นหลักสำคัญที่สุด ให้ถือว่า การประพฤติถูกต้องในหน้าที่การงานนั้น คือ การปฏิบัติธรรม และก็งานนั้น ก็เพื่อการปฏิบัติธรรม และงานนั้น ก็ เพื่องานนั่นเอง ไม่ใช่เพื่อตัวเราหรือเพื่อของเรา ถ้าทำความเข้าใจได้อย่างนี้ การงานนั้นจะกลายเป็น การปฏิบัติธรรม พร้อมกันไปในตัวกับการได้รับประโยชน์จากการงาน เป็นการก้าวหน้าในทางธรรม พร้อมกันไปกับการก้าวหน้าในการประกอบอาชีพหรือการดำรงชีพ การเป็นอยู่ทุกๆ อย่าง นี แหละคือใจความสำคัญของการบรรยายในครั้งแรก ในครั้งที่สอง ที่ว่าทำงานด้วยจิตว่าง นี้หมายความว่า ธรรมะมีไว้สำหรับให้คนเราประกอบการงานได้สำเร็จเต็มที่ และไม่ต้องเป็นทุกข์ ดังนั้น จึงมีระเบียบวิธีปฏิบัติ ชนิดที่จะทำให้การงานนั้นไม่เป็นทุกข์ ถ้าเราทำด้วยจิดวุ่น ตามปรกติชาวโลก ตาม ธรรมดาสามัญแล้วงานนั้นจะเป็นทุกข์ จะไม่รู้สึกสนุก และเพราะจิตใจวุ่นนั้นเอง งานนั้นจะไม่ได้ผลดีเต็มที่ เพราะฉะนั้น เราจึงมีอุบายวิธีที่จะเรียกว่า เคล็ด หรืออะไรก็สุดแท้ สำหรับทำงานให้ไม่เป็นทุกข์ ให้ได้ผลเต็มที่ และอันนี้เอง เป็นความมุ่งหมายของสิ่งที่เรียกว่า “ ธรรมะ” หรือพระธรรม หรือ พระพุทธประสงค์ พระพุทธองค์ตรัสรู้ขึ้นมาในโลกเพื่อช่วยสัตว์โลกแล้วก็ช่วยตรงไหน , ก็ช่วยตรงที่ไม่ให้มีความทุกข์ ให้มีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ และมีความมุ่งหมายที่จะช่วย ไม่ให้มีความทุกข์เลย เพราะฉะนั้นพุทธบริษัทจึงมีการศึกษาและการปฏิบัติ ต่างจากพวกที่ไม่เป็นพุทธบริษัท เป็นธรรมดา แม้แต่การงานก็ยังทำด้วยจิตอีกชนิดหนึ่งซึ่งไม่ไช่จิตของคนธรรมดาสามัญ ที่ไม่ได้รับการอบรมในทางธรรมอาตาได้ให้หัวข้อว่า “ ทำงานด้วยจิตว่าง” ที่นี้ ปัญหาเรื่องจิตว่างนี้ยังค้างคาอยุ่มาก จะเป็นเพราะว่า พูดไม่ละเอียดชัดเจน หรือว่า เพราะผู้ฟังไม่อาจจะเข้าใจก็สุดแท้ มีความเห็นที่ชัดแย้ง เพราะความเข้าใจกันไม่ได้อยู่หลายอย่าง ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยกันถึงความหมายของคำว่า “จิตว่าง” อีกบ้างตามสมควร ในการบรรยายครั้งนี้ จึงจะสามารถบรรยายหัวข้อที่สามได้ อาตมาจึงขอโอกาสในเบื้องต้นนี้ ทบทวนความเข้าใจ ที่เกี่ยวกับคำว่า “จิตว่าง” อันแรกที่สุด ขอให้ระลึก คำว่า “ความว่าง “ หรือ “จิตว่าง” นี้ เป็นเรื่องของบุคคลที่มีสติปัญญา พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องนี้ โดยการตรัสรู้ของพระองค์ตรัสรู้ถึงที่สุด แล้วก็สอนสัตว์ที่มีอุปนิสัยพอสมควร ที่เรียกว่า เนยฺยบุคคล ก็คนที่พอจะเข้าใจได้ ดังนั้นทำให้เรานึกเลยไปถึงว่า สิ่งที่เรียกว่า ศาสนา ศาสนา ในโลกนี้ อย่างน้อยก็มีอยู่ด้วยกันสองแบบ คือ ตรงกันข้าม ศาสนาแบบหนึ่งอิงศรัทธา คือความเชื่อ ฟังจากผู้อื่น และเชื่อตามผู้อื่น และอาศัยผู้อื่น เป็นที่พึ่ง อย่างนี้ก็มีอยู่ในโลกหลายศาสนาหรือหลายแบบ ส่วนศาสนาอีกแบบหนึี่งนั้น อิงปัญญา เชื่อตัวเอง เห็นด้วยตัวเอง และพึ่งตนเอง. พุทธศาสนาอยู่ในพวกหลังนี้ ดังนั้น เรื่องความว่างในพระพุทธศาสนานี้ เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใ่ช่เป็นเรื่องของความเชื่อ. ที่นี้ เรื่องจิตว่าง เป็นอันว่าปัดศรัทธาทิ้งออกไปได้เลย ไม่ต้องเชื่อ ท่านจงมีอิสระที่จะไม่เชื่อเป็นอันขาดแต่ขอร้อง ที่จะให้วินิจฉัยด้วยสติปัญญาให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถของท่าน ซึ่งอาตมาจะได้ซ้อมความเข้าใจเกี่ยวกับคำๆนี้ต่อไปตามสมควร ก่อนแต่ที่จะกล่าวถึงหมวดธรรม ที่จะพึงใช้ในการทำงานด้วยจิตว่าง ถ้าเรารู้เรื่องจิตว่างดี เราก็ทำงานด้วยจิตว่างได้. ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ จิตว่าง หรือคำๆนี้มีอยู่หลายๆ แง่ หลายๆ มุม อาตมาจะประมวลเอามาเท่าที่เห็นว่าจำเป็น ข้อแรก ก็คือ ความหมายของคำว่า “จิตว่าง”จิตว่างในที่นี้ หมายถึงว่างจากกิเลส ว่างจากความรู้สึกว่า ตัวเรา หรือตัวกู ถ้ามันเดือดจัดก็เป็นตัวกู ถ้ามันเนื่อยๆ ก็เป็นตัวเรา คำว่า “ว่าง” มิได้หมายความว่าไม่มีจิต และไม่ได้หมายความว่า จิตมิได้มีความรู้สึกอะไร ขึ้นชื่อว่า จิต แล้ว ต้องมีความรู้ ต้างมีความรู้สึก เพราะธรรมชาติของจิตเป็นอย่างนั้นเอง ที่นี้ก็มีอยู่แต่ว่า จิตนี้จะรู้สึกว่างหรือรู้สึกวุ่น ถ้าจิตนี้รู้สึกว่างเราก็เรียกว่า “จิตว่าง” ถ้าจิตนี้รู้สึกวุ่น เราก็เรียกว่าวุ่น ว่า “จิตวุ่น “ ถ้าว่าง หมายความว่า ว่างจากกิเลสจากความรู้สึกที่เป็นอุปาทาน ว่า ตัวเรา หรือว่า ของเรา ลองคิดดูว่า เมื่อจิตนี้ว่างจากความรู้สึกว่า ตัวเรา , ตัวเราก็ไม่มี , มีแต่จิตล้วน จริงหรือไม่จริง ก็ลองคิดดูเอง. เมื่อจิตว่างจากความรู้สึกที่เป็น Concept ว่า “ตัวเรา” สิ่งที่เรียกว่า “ ตัวเรา “ ซึ่งเป็นมายานั้นก็ไม่มี ก็เหลืออยู่แต่จิตนั้น จึงเรียกว่า จิตว่าง คือว่างจากตัวเรา เมื่อใดมีตัวเราขึ้นมา เมื่อนั้นเรียกว่าจิตบวกอยู่กับความรู้สึกว่า “ตัวเรา “ คือมีตัวเรา ฉะนั้นจิตนั้นไม่ว่าง และวุ่นด้วย ในข้อนี้ขอให้จำเพียงสั้นๆ ไว้ก่อนว่า “ที่ว่าว่างนี้ ว่างจากกิเลส ที่เป็นเหตุให้เกิดความรู้สึก อันเป็นมายา ว่าตัวเรา ว่าของเรา ในขณะใด เราไม่มีความรู้สึกเป็นตัวเรา เป็นของเรา ตัวอย่างเช่น ขณะที่ท่านกำลังนั่นอยู่ที่นี่ แม้แต่จะมีความคิดไปทางไหน เกิดปัญญาอย่างไร ก็ไม่ได้ เกิดความรู้สึกไปในทางตัวเรา อย่างนี้เรียกว่า ท่านทั้งหลายกำลังมีจิตว่างจากตัวเรา ต่อเมื่อใด ได้มีอะไรมากระทบ เกิดความรู้สึกไปในทางกิเลส ตัณหา อุปาทาน เป็นตัวเรา เป็นของเรา เป็นเรื่องได้ เป็นเรื่องเสีย เป็นเรื่องรัก โกรธ เกลียด กลัว อะไรทำนองนี้แล้ว จึงจะเรียกว่า จิตประกอบอยู่ด้วยอุปาทานที่เรียกว่า ตัวเรา อย่างนี้เรียกว่า จิต ไม่ว่าง เพราะจิตมีตัวเรา ในขณะที่จิตว่าง แม้ ว่าง ตามธรรมชาติปราศจากความรู้สึกว่า ตัวเรา อาตมาเรียกว่า “จิตว่าง” นี่แหละ เมื่อจิตว่างจากความรู้สึกว่าตัวเรา สิ่งที่เรียกว่า “ตัวเรา “ ก็ไม่มี มีแต่จิตล้วนๆ ประกอบอยู่ด้วยความรู้สึกอะไรก็ได้ ตรมประสาของจิต ขอแต่อย่ามีตัวเราก็แล้วกัน. ที่นี้ในเมื่อใด จิตมีความว่างเป็นอารมณ์ หรือมิสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งจิตไม่ได้ผูก จิตไม่ได้ยึดถือสิ่งนั้น ว่าเป็นตัวตนของตนแล้ว ก็เรียกว่า จิตมีสิ่งซึ่งว่างจากตัวตนเป็นอารมณ์ จิตอย่างนี้ไม่สะดวกที่จะเรียกเป็นอย่างอื่น นอกจากจะเรียกว่าจิตว่าง ไม่มีคำไหนดีกว่า ไม่มีเหตุอื่นดีกว่า ที่จะไปเรียกอย่างอื่น ท่านลองคิดดูว่า คำไหนที่จะเหมาะสำหรับเรียกจิตที่กำลังไม่มีตัว ไม่มีของตัว จิตที่กำลังไม่มีความรู้สึกว่า เป็นตัว ไม่มีความรู้สึกว่าเป็น ของของตัว จะเอาคำไหน คำพูดคำไหน มาเรียกจิตชนิดนี้ ให้ดีไปกว่า คำว่าจิตว่าง อาตมาให้ความคิด ให้ความเป็นอิสระทางความคิดแก่ท่านทั้งหลาย ที่จะไปคิดดูเอาเองว่า จะมีคำไหนที่เหมาะกว่าคำว่า จิตว่าง ที่จะเอามาใช้เรียกจิต ในขณะที่ไม่มีความรู้สึกว่า เป็นตัว หรือว่า อะไรเป็นของของตัว เพราะฉะนั้นอาตมาจึงได้ใช้คำๆนี้ เพื่อประหยัดเวลาของพวกเรา ในที่จะเข้าใจ เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เข้าใจได้เร็ว แต่อาจจะเนื่องจากเป็นคำใหม่ สร้างความตื่นเต้นให้แก่ท่านทั้งหลายเกินไป ก็เลยยังเข้าใจไม่ได้ นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่เท่าที่อาตมาได้พยายามใคร่ครวญอย่างยิ่งแล้วเห็นว่าเรียกอย่างนี้ ถูก ตรง ทั้งโดยคำพูด คืดพยัญชนะและทั้งโดยความหมาย คืออรรถ โดยตัวหนังสือก็ตรงตามเรื่อง โดยความหมายก็ตรงตามเรื่อง เพราะฉะนั้น จึงได้เรียกว่า “จิตว่าง” หรือใช้คำๆนี้เรียกจิตชนิดนี้ เรื่องถัดไป เรื่องที่มาของเรื่องความว่างหรือจิตว่าง นี้ นี่แทบจะไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็ได้เคยบอกหลายครั้งหลายหนแล้ว แต่บางท่านอาจจะไม่สนใจ ดังนั้นจึงต้องนำมากล่าวใหม่คือ ข้อที่มีบุคคลเป็นฆราวาสกลุ่มกนึ่งไปเฝ้าพระพุทธองค์ แล้วทูลแก่พระพุทธองค์ว่า “ขอพระองค์จงแสดงธรรมซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายตลอดกาลนาน พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นฆราวาสครองเรือนแออัดอยู่ด้วยบุตรภรรยา ลูบไล้กระแจะของหอม ขอพระองค์จงแสดงสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนาน” พระพุทธองค์ทรงแสดงเรื่อง “สุญญตา” โดยหัวข้อที่สุด เป็นใจความว่า เย เต สุตตนฺตา สูตรทั้งหลายเหล่าใด ตถาคต ภาสิตา อันเป็นคำที่ตถาคตได้ภาษิตไว้ คมฺภีรา ลึกซึ้ง คมฺภีรตฺถา มีอรรถอันลึกซึ้ง โลกุตฺตรา อยู่เหนือโลก สุญญตปฺปฏิสงยุตฺตา ประกอบอยู่ด้วยความว่าง นี่แหละ ตามตัวบาลีเป็นอย่างนี้ โดยใจความ ก็คือว่า ให้ฆราวาสเหล่านั้นสนใจในคำสอน ที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติไว้เอง ที่กล่าวถึงเรื่องเหนือโลก หรือสูงขึ้นไปกว่าโลก อันเป็นเรื่องลึกซึ้ง และมีเนื้อความ มีอรรถอันลึกซึ้ง ประกอบเฉพาะอยู่ด้วย เรื่อง ความว่าง และขยายความออกไปอีก พระองค์ทรงขยายความว่า ข้อความที่จะกล่าวกันต่อไปในโอกาสหลังคือวิจิตรไพเราะด้วยอักษร ชวนให้ฟังนั้น ล้วนแต่ไม่ประกอบด้วย สุญฺญฺตา คือความว่าง แต่ว่าคนจะชอบเรื่องชนิดนั้นกันมากขึ้นทุกที และเรื่องชนิดนั้นไม่ใช่เรื่องที่ตถาคตกล่าว พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า ถ้าเป็นคำกล่าวของพระองค์ จะต้องกล่าวถึงเรื่อง สุญญตา คือความว่าง ถ้าเป็นเรื่องคนอื่นกล่าว เขากล่าวกันอย่างตามใจชอบ ตามที่จะรู้สึกว่า ไพเราะ สนุกสนาน หรือว่า มีรสมีชาติในทางใช้ความคิด เป็นนักปราชญ์ หรืออะไรก็ตามแล้วเขาก็ไม่กล่าวเรื่อง สุญญตา ว่า อันนี้แหละเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์เกื้อกูล แก่ท่านทั้งหลายตลอดกาลนาน คือเรื่องสุญญตารนี้ เป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ฆราวาสทั้งหลายตลอดกาลนานนี้ ไม่ควรจะเป็นปัญหาอีกแล้ว เพราะคำถามก็ได้ถามตรงๆ คำตรัสของพระพุทธองค์ก็ได้ตรัสตรงๆ แก่คนที่เป็นฆราวาสเพระฉะนั้นไม่ควรจะเข้าใจไปว่า เรื่องสุญญตานั้นไม่ใช่เรื่องของฆราวาส เป็นเรื่องของนักบวชชั้นสูงหรืออะไรทำนองนั้นซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เรื่องสุญญตา ความว่าง นี้มีใจความหรือมีเนื้อความ มีความหมายกว้าง ใช้ได้แก่คนทุกพวก ทุกระดับ แม้ที่เป็นฆราวาส เพราะเหตุใด จึงเป็นอย่างนั้น คำตอบง่ายนิดเดียว เพราะว่าเรื่องอื่นไม่ดับทุกข์ นอกจากเรื่องสุญญตาแล้ว ไม่เป็นเรื่องดับทุกข์ แลไม่ใช่เป็นเรื่องที่พระตถาคตกล่าว และไม่ใช่เป็นเรื่องที่ชวนให้ขึ้นเหนือโลกแต่เป็นเรื่องชวนให้จมอยู่ในโลก ฆราวาสก็จมอยู่ในโลกพอแล้ว ฉะนั้นเมื่อฆราวาสต้องการอะไรที่ดี ก็ควรจะเป็นเรื่องที่ถอนตนขึ้นมาจากความจมอยู่ในโลก เพราะฉะนี้เอง พระพุทะองค์จึงได้ตรัสเรื่องสุญญตา แม้แก่ฆราวาส ว่าเหมาะแม้แก่ฆราวาสที่ครองเรือน แออัดอยู่ด้วยบุตรภรรยา ลูบไล้ของหอมอย่างนี้เป็นต้น นี่เรียกว่า เป็น ที่มาของเรื่องความว่างโดยตรง ที่นี้ ก็คือ หลักทั่วๆ ไป จะเป็นหลักข้อไหนก็ได้ซึ่งแสดงถึงความที่สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ว่างจากตัวตน ว่างจากความเป็นของของตน หรือ ของใคร เช่นประโยชน์ว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา หรือประโยคว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆ ไม่ควรจะเข้าไปยึดมั่นถือมั่นโดยความเป็นตัวตน ของตน นี่คือการแสดงให้ทราบว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าอะไรหมด เป็นสิ่งที่ ไม่ควรไปยึดถือ ว่าเป็นตัว เป็นตน หรือเป็นของของตน เพราะมันว่าง นั้นเอง แม้แต่ตัว ความว่าง นั้นเองก็ไม่ควรจะถูกยึดถือว่าเป็นตัว เป็นตน ของใคร หรือของความว่าง นั้นเอง เป็นอันว่า สิ่งที่เรียกว่า ความว่างนี่คือ ธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งทั้งปวง เราควรจะสนใจ จนรู้จักสิ่งทั้งปวง ให้ถูกตรงตามที่เป็นจริง เราจึงจะทำอะไรถูกต้องกับสิ่งทั้งปวงถ้าเราเข้าใจ สิ่งทั้งปวงผิด เราจะไปจัด ไปทำ เกี่ยวข้องกับสิ่งทั้งปวงให้ถูกได้อย่างไร นี่ใจความสำคัญของสิ่งทั้งปวงที่พาดพิงถึง มนุษย์ พาดพิงถึงความสุข ความทุกข์ ของมนุษย์ก็คือ สถาพที่ สิ่งทั้งปวงเป็นของว่างจากตัวตน ที่ควรยึดถือ ความยึดมั่น ถือมั่น หรือความสำคัญมั่นหมายว่า ตัวเราหรือว่าของเรา พูดให้ชัดลงไปว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทุกสิ่งไม่ว่าอะไรหมด ว่างจากความหมายแห่งความเป็นตัวตนหรือเป็นของของตน . เดี๋ยวนี้คนธรรมดาสามัญทั่วไป คอยเพ่งเล็ง หรือจ้องจับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ส่วนหนึ่งอยู่เสมอ ที่จะเอาเป็นตัวตนเป็นของของตน ดังนั้น จึงถือว่า ยังไม่เข้าใจสิ่งทั้งปวงตามที่เป็นจริง แต่ด้วยเหตุนั้นแหละ จึงมีความทุกข์อยู่บ่อยๆ ถ้าเราจะเข้าใจสิ่งทั้งปวงได้ เราต้องศึกษากันในส่วนนี้ก่อน คือส่วนที่ว่า สิ่งทั้งปวงว่างจากตัวตน ว่างจากของของตน ไม่ควรไปทำความสำคัญมั่นหมายในสิงใดว่า เป็นตัวตน หรือเป็นของของตน แต่แล้วเราก็เข้าไปเกี่ยวข้อง ไปกระทำไปจัด ไปทำ ต่อสิ่งนั้นๆ โดยเหมาะสมกับที่สิ่งนั้นๆ เป็นสิ่งที่ว่างจากตัวตน เราจึงชนะ เราจึงชนะ หมายความว่า เราไม่มีความทุกข์ เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้นๆ นี้เรียกว่า เราชนะสิ่งทั้งปวงด้วยวิชาความรู้เรื่องความว่างหรือสุญญตา นี่เรียกว่า เรื่องความว่าง นี้เป้นเรื่องที่มีหลักฐานที่มาซึ่งเป็นพระพุทธภาษิตโดยตรง ทรงระบุไว้ว่า เหมาะสำหรับฆราวาสอย่างนี้ อย่างรู้เรื่องนี้ด้วยตนเอง ก็ไปเปิดดูได้ใน สังยุตตนิกาย คือพระไตรปิฎกส่วนที่เป็น สุตตันตปิฎก และภาคที่เรียกว่า สังยุตตนิกายมหาวารวรรค ข้อต่อไป ที่เราเข้าใจผิดกัน จนเข้าใจเรื่องนี้ไม่ได้ ก็คือว่า พุทธบริษัทในประเทศไทยเรา ซึ่งเป็นประเทศที่ถือกันว่าเจริญรุ่งเรืองโดยพระพุทธศาสนา แต่พุทธบริษัทส่วนมากเข้าใจอะไรบางอย่าง ไม่ตรงตามความจริงของพระพุทธวัจนะ หรือของหลักธรรม ก็มี เช่นเข้าใจไปว่า จิตนี้มีกิเลสเป็นพื้นฐาน จิตนี้มีความรู้สึกเป็นกิเลส เป็นตัวกู เป็นของกูอยู่เป็นพื้นฐาน ตลอดทุกลมหายใจเข้าออก เรียกว่ามีกิเลสอยู่เป็นพื้นฐานแล้วเราเข้าไปแกะมัน ไปเขี่ยมัน ไปคุ้ยมัน ไปเปลื้องมันทีละเล็กละน้อย แล้วก็ว่างจากกิเลสนั้น เป็นครั้งๆ คราวๆ นิดๆ หน่อยๆ ความเข้าใจอย่างนี้ถูกหรือผิด ท่านลองคิดดู อาตมาบอกว่าจิตของคนเรานี้มีความว่าง ปราศจากกิเลสอยู่เป็นพื้นฐานกิเลสนั้นเพิ่งมาเป็นคราวๆ และเป็นเรื่องเล็กน้อย เป็นคราวๆ ขอให้เราลองคิดดู พิจารณาดู สังเกตุดู ของตัวเราเองเป็นประมาณว่า จิตของเราว่างอยู่เป็นพื้นฐาน หรือว่าวุ่นด้วยกิเลส อยู่เป็นพื้นฐาน ถ้าเอาพระพุทธภาษิตเป็นหลักมันก็ง่ายนิดเดียว แต่เดี๋ยวจะหาว่าเกณฑ์ให้เชื่อ บังคับให้เชื่อ หรือจะเกิดเป็นด็อกม่าอะไรขึ้นมาอย่างนี้ ไม่จำเป็น แต่พระพุทะภาษิตก็มีอยู่ว่า ปภสฺสร มิททํ ภิกฺขเว จิตตํ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ประภัสสร อาคนฺตุเกหิ อุปกิเลเสหิ อุปกิลิตถํ แปลว่าจิตนี้ เศร้าหมองแล้ว เพราะอุปกิเลสที่เป็นอาคันตุกะเข้ามา นี่ตามตัวหนังสือว่าอย่างนี้ว่า จิตนี้มีธรรมชาติเป็นประภัสสร คำว่าประภัสสร คือใสกระจ่าง มีรัสมีรอบตัว ไม่มีเศร้าหมอง ไม่มีกิเลส แต่เมื่อใดกิเลสจรเข้ามาเป็นแขกเป็นอาคันตุกะเข้ามา เมื่อนั้นก็เศร้าหมองไปขณะหนึ่ง อย่างนี้ จริงหรือไม่ เป็นจริงตามพุทธภาษิตนี้หรือไม่ ท่านลองไปเฝ้าสังเกตจิตใจของท่านดูเอง แล้วท่านก็ตัดสินเอาเอง. อาตมาเห็นว่า นี้เป็นหลักพื้นฐาน ที่จะทำให้เข้าใจเรื่อง เวลาที่เหลือต่อไปนี้ ก็จะได้กล่าวถึง หมวดธรรมะที่จะช่วยเรา ในการทำงานด้วยจิตว่าง ปัญหาอันแรกเกิดขึ้นปะทะเราอยู่ข้อหนึ่ง คือว่า พุทธบริษัทในเมืองไทยแทบทั้งหมด มีความเข้าใจอยู่ว่า หลักธรรมขั้นสูงคือเรื่องดลกุตตรธรรมนั้น ต้องแยกออกไปเด็ดขาดจากเรื่องของชาวบ้าน จากเรื่องของโลก นี่เขาถือกันอย่างนั้น เขาเชื่อกันอย่างนั้น คือแยกโลกุตตรธรรม หรือข้อปฏิบัติธรรมขั้นสูง นี้ออกไปจากชาวบ้าน ไม่ใช่เรื่องของชาวบ้าน ไม่ใช่เรื่องของชาวโลก นี้มันผิด เดี๋ยวจะพิสูจน์ให้เห็นว่าผิดอย่างไร โดยที่แท้นั้นจะต้องเป็นสิ่งเดียวกันเสมอ จะผิดกันบ้างก็แต่เพียงปริมาณจะผิดกันบ้างก็แต่เพียงระดับ หลักธรรมอันใดที่ใช้ปฏิบัติเพื่อไปนิพพาน เพื่ออยู่เหนือโลก หลักธรรมอันนั้น กำลังจะต้องใช้ แม้สำหรับคนที่อยู่ในโลก เพราะว่า ความทุกข์มันเหมือนกัน กิเลสมันเหมือนกัน ปัญหามันเหมือนกัน อย่างว่า พระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราไม่อาจจะแยกว่า พระรัตนตรัยชนิดนี้เป็นของชาวบ้าน พระรัตนตรัยชนิดนี้เป็นของภิกษุที่อยู่ในป่า หรือที่จะปฏิบัติเพื่อออกไปจากโลก มันก็ต้องเป็นรัตนตรัยเดียวกันนั้นแหละ ขอแต่ให้ถูก ให้ตรง ให้จริงเท่านั้น พระรัตนตรัยสำหรับชาวบ้านก็อย่างนั้น พระรัตนตรัยสำหรับภิกษุที่อยู่ในป่าก็อย่างนั้น พระรัตนตรัยสำหรับพระอริยเจ้าในขั้นต้น ๆก็อย่างนั้น ทำไมจะต้องไปแยก. อิทธิบาท ๔ ซึ่งรู้จักกันดีว่าเป็นธรรมะสำหรับทำความสำเร็จ อิทธิบาท ๔ นี้ ชาวบ้านต้องใช้และท่านก็รู้กันอยู่แล้ว และยอมรับกันอยู่แล้วว่า ชาวบ้าน นั้นใช้อิทธิบาท ๔ ได้ ในการทำหน้าที่การงานให้สำเร็จ แล้วอิทธิบาท ๔ นั้น มันก็อย่างเดียวกันกับที่จะใช้ปฏิบัติ มีอะไรอย่างไรมันก็ยังคงเอามาใช้กันกับชาวบ้าน หรือกิจการของชาวบ้าน ได้ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ๔ อย่างนี้ หากแต่ว่ามันจะมีปริมาณ มากน้อยกว่ากัน หรือคนละระดับ แต่เนื้อแท้เหมือนกัน ลองอ่านถึงลักษณะของ อิทธิบาท ที่เป็นขั้นสูงสุด พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นๆ ย่อมจะเจริญอิทธิบาทประกอบด้วยธรรม เครื่องปรุง มีสมาธิอันสัมปยุตต์ด้วย ฉันทะ เป็นประธาน, ด้วยวิริยะเป็นประธาน ด้วยจิตตะเป็นประธาน,วิมังสาเป็นประธาน “ แยกไปทีละข้ออย่างนี้ “ว่าด้วยอาการอย่างนี้ ฉันทะของเราจะมี ความหดเหี่ยวจักไม่มี ,ความหยุดนิ่งจักไม่มี, ความหยุดอยู่ในภายในจักไม่มี , ความฟุ้งออกไปภายนอกจักไม่มี เราเป็นผู้มีสัญญาในกาลก่อน และเบื้องหน้าอยู่เสมอ จนจัดให้เป็นไปได้ว่า ก่อนนี้ฉันใด ต่อไปก็ฉันนั้น ต่อไปฉันใดก่อนหน้านี้ก็ฉันนั้น , เบื้องล่างฉันใด เบื้องบนฉันใด เบื้องบนฉันใด เบื้องล่างฉันนั้น กลางคืนฉันใด กลางวันฉันนั้น กลางวันฉันใด กลางคืนฉันนั้น เธอย่อมอบรมจิตอันมีแสงสว่างด้วยจิตอันเปิดแล้วไม่มีอะไรพัวพัน ให้เจริญอยู่ในอาการอย่างนี้ “ นี่เริ่มบรรยายคุณสมบัติของอิทธิบาทขั้นสูงสุดที่สุดแล้ว ที่จะบำเพ๊ญในขณะที่บรรลุมรรคผล แต่แล้วท่านลองพิจารณาดูว่า ทุกๆประโยค หรือทุกวลีนี้ มีความหมายเหมือนกับที่จะเอามาใช้กับเรื่องของฆาวาส เขาต้องบำเพ็ญอิทธิบาทในลักษณะที่เป็นสมาธิ มีความรู้สึกที่เป็น ฉันทะ หรือวิริยะ หรือจิตตะ เป็นต้นนั้น เป็นประธานของสมาธินั้น จนว่า ความหดเหี่ยวท้อแท้ก็ไม่มี ความหยุดนิ่งก็ไม่มี ความหยุดอยู่ในภายใน สยบอยู่ในภายในก็ไม่มี ความฟุ้งซ่านออกไปภายนอกก็ไม่มี แต่ก่อนอย่างไรเดี๋ยวนี้อย่างนั้น ก็หมายความว่า ความสม่ำเสมอ เขาไม่ได้เป็นบุคคลที่ว่า ที่แล้วมาอ่อนแอ ที่แล้วมากล้าหาญ ที่หลังอ่อนแอ อย่างนี้ไม่มี ที่ว่า ก่อนเป็นอย่างไร เดียวนี้ก็เป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้ก็เป็นอย่างนั้น เบื้องบนอย่างไร เบื้องล่างก็ฉันนั้น กลางวันอย่างไร กลางคืนก็ฉันนั้น หมายความว่า เหมือนกันทั้งกลางวัน กลางคืน สำหรับความมีอิทธิบาท มีจิตที่มีแสงสว่าง มีจิตที่่เปิดแล้ว คือ ไม่มีกิเลสมาปิด ไม่มีอะไรพัวพัน นี่แม้ว่าจะเป็นสำนวนที่สูงถึงขนาดที่ว่า มีจิตอันเปิดแล้ว ไม่มีอะไรพัวพัน ก็ยังมาใช้ได้กับว่าเมื่อเราจะทำการงาน ทำไร่ทำนานี้ เราก็ต้องมีจิตอย่างนี้ เพราะฉะนั้นท่านจงคิดดูว่า การที่ท่านมองเห็นอยู่บ้างแล้วว่า ธรรมะขั้นสูง ที่ไปนิพพาน เช่นอิทธิบาท๔ นี้ ก็เอามาใช้เป็นเรื่องของชาวบ้านได้. ที่นี้ ธรรมะ เช่น มรรคมีองค์แปด มีองค์แปด เป็นความถูกต้อง ๘ ประการนั้น แม้แต่คนเพิ่งจะเริ่มศึกษาก็รู้ได้ว่า นี้ชาวบ้านปฏิบัติได้ ทั้งๆที่ มัชฌิมาปฏิปทานี้ พระพุทธองค์ตรัสไว้ในฐานะเป็นข้อปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพาน นี่แสดงว่า ข้าปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพานโดยตรงนั้นใช้กับชาวบ้านขั้นต้น ขั้นตำ่ที่สุดก็ได้ เช่นมรรคมีองค์แปดนี้. เรื่่องที่สูงสุด เป็นเรื่อง สุญญตา พระพุทธเจ้าก็ตรัสแก่ฆราวาสกลุ่มนั้น ในฐานะที่ยืนยันว่า เหมาะสำหรับฆราวาส เพราะฉะนั้น เลิกเข้าใจว่า มีธรรมะที่แบ่งแยกเป็นของพระอย่างหนึ่ง ของชาวบ้านอย่างหนึ่ง ของผู้ที่จะ ไปนิพพานอย่างหนึ่ง ของผู้ที่ต้องการทำการงานในโลกอย่างหนึ่ง เลิกความคิดอย่างนี้กันเสียที่ มันเป็นความคิดที่เขลามันผิดกันแต่เพียงผิวภายนอก ที่เปลือก เนื้อแท้ของมันเหมือนกัน เพราะฉะนั้นอาตมาจึงยกเอาหมวดธรรมะซึ่งหลีกไม่พ้น จะต้องเป็นหมวดธรรมสำหรับปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพานนั้นแหละ มาเป็นหลักวางไว้สำหรับของฆราวาสที่จะทำมาหากิน ที่จะต้องทำงานด้วยจิตว่าง ดังที่กล่าวมาแล้ว หมวดธรรมะที่จะช่วยเรา ในการทำงานด้วยจิตว่าง นั้น จึงพูดเป็นหัวข้อว่า เมื่อจะต้องการทำงานด้วยจิตว่าง นั้น จึงพูดเป็นหัวข้อว่า เมื่อจะต้องการทำงานด้วยจิตว่าง ก็จงใช้หลักของ โพชฌงค์ ๗ ประการ เป็นหลักปฏิบัติในการที่จะทำงานด้วยจิตว่าง บางคนจะสะดุ้ง เพราะว่า โพชฌงค์ ๗ ประการนั้นเป็นองค์สำหรับการตรัสรู้เป็นพระอรหันต แต่แล้วทำไมมาว่าเป็นเรื่องทำมาหากินของชาวบ้าน นี่ขอให้ฟังกันต่อไป แต่ อย่าลืม ว่า หมวดธรรมทั้งหลายที่ได้ยกเป็นตัวอย่างข้างต้นแล้วนั้น เป็นหมวดธรรมในขั้นบรรลุนิพพาน แล้วมาเป็นเรื่องของชาวบ้านได้ โพชฌงค์ ๗ ประการนี้ก็เหมือนกัน ขอแต่เพียงว่าให้เข้าใจความหมายของธรรมะนั้นๆ ให้กว้างขวาง ให้ถูกต้อง และให้สมบูรณ์ จนรู้ว่า เราจะจัดเอามาปรับให้เหมาะกันกับการงานของชาวบ้านได้อย่างไร เช่น อิทธิบาท ๔ ก็ยกตัวอย่างให้เห็นแล้วว่าใช้กันได้ดีทั้งผู้ที่จะไปนิพพาน และผู้ที่จะทำการงานที่บ้าน. ที่นี้ สำหรับเรื่อง โพชฌงค์ ๗ ประการ นั้น เราต้องถือว่า สิ่งที่เรียกว่าโพชฌงค์นี้ แปลว่า องค์แห่งการตรัสรู้ คือ เครื่องมือสำหรับทำงานให้สำเร็จ เป็นมรรค เป็นผล ในทุกชนิด และทุกกรณี ท่านจงถือว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสธรรมะนี้ไว้ ในฐานะที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จเป็นมรรค เป็นผล ในทุกชนิดและทุกกรณี ทุกชนิดทุกกรณี นี้หมายความว่า ทั้งในทางโลกและทั้งทางธรรม ทั้งอย่างตำ่ทั้งอย่างสูง เราถอดเอาใจความมาใช้ให้เหมาะสมแก่เรื่อง อย่างที่ เรียกว่า ประยุกต์ให้ถูกกันกับระดับเท่านั้นเอง ทีนี้เราจะดูตัวสิ่งที่เรียกว่า โพชฌงค์ ไปตามลำดับ ข้อที่ ๑ เรียกว่า สติโพชฌงค์ หรือ สติสัมโพชฌงค์ ตัวแท้ก็คือสติ, สติ นี่ก็คือการระลึกอย่างทั่วถึง รอบคอบในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับตน หรือว่าทุกสิ่งที่อาจจะระลึกเอามาได้ นี่คือความหมายที่แท้จริงของสิ่งที่เรียกว่า สติ ระลึกอย่างทั่วถึง รอบคอบที่สุดว่า อะไรเป็นอย่างไร มีลักษณะอย่างไร คืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด อย่างนี้ในทุกสิ่งที่มันจะเกี่ยวข้องกับตน หรือว่าที่ตนอาจจะระลึกออกมาได้ นี่เป็นอันแรกที่เราจะต้องทำ ข้อที่ ๒ เรียกว่า ธัมมวิจจยะ สัมโพชฌงค์ นี้ก็แปลว่า วิจัยสิ่งนั้นๆ วิจัยธรรมหรือวิจัยสิ่งนั้นๆ นี่หมายความว่าเราเลือก เราวิจัย นี่คือเราศึกษาให้รู้ เพื่อจะเลือกได้สิ่งที่เหมาะกับปัญหาของเรา เหมาะกับสมรรถภาพของเรา เหมาะกับอุปนิสัยของเรา เหมาะกับโรค หรือเหมาะกับทุกข์ของเรา แล้วเราก็มาวินิจฉัยอีกทีหนึ่งว่า จะใช้หรือจะปฏิบัติ หรือจะกระทำให้ถึงที่สุดได้อย่างไร อย่างนี้เรียกว่า ธัมมวิจจยะสัมโพชฌงค์ ข้อที่ ๓ วิริยะสัมโพชฌงค์ หมายความว่า หลังจากนั้นก็ใช้ความกล้าหาญ, ความเข้มแข็ง, ความอดทน, ความพากเพียร ความบากบั่น กระทำสิ่งนั้น คือสิ่งที่เลือกแล้วนั้น ในความควบคุมของสติสัมปชัญญะ และธรรมวิจัยที่กล่าวมาแล้วในข้อที่ ๒ ไม่มีทางที่จิดจะวุ่นวายขึ้นมาได้ เพราะอำนาจอย่างนี้ ข้อที่ ๔ เรียกว่า ปิติสัมโพชฌงค์ จะต้องมีความพอใจ, มีความอิ่มใจ มีความสนุกสนานในการกระทำหล่อเลี้ยงความพากเพียรนั้นไว้เสมอ มีความพอใจ มีความอิ่มใจ มีความสนุกสนานในการกระทำ ที่ทำงาน เพื่องาน ประกอบไปด้วยคำนี้อยู่เสมอ ให้เป็นกำลังสำหรับหล่อเลี้ยงความพากเพียรอยู่เสมอได้ อย่าได้ไปเอากำลัง ตัวกู ของกู ที่พลุ่งพล่านด้วยความกระหาย ความทะเยอทะยาน อะไรอย่างนั้น เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงเป็นอันขาด แต่ให้หล่อเลี้ยงไว้ด้วยความพอใจที่เป็นธรรม ความอิ่มใจที่เป็นธรรม ความสนุกสนานที่เป็นธรรม ที่เกิดจากการกระทำนั้นๆ มาหล่อเลี้ยงไว้เสมอ ทีนี้วิริยะ พากเพียรนี้ ก็เป็นไปอย่างสม่ำเสมอเพราะปิติหล่อเลี้ยงไว้. ข้อที่ ๕ เรียกว่า ปัสสัทธิโพชฌงค์ นี้คือปรับปรุงทุกอย่างเท่าที่แล้วๆ มา ให้มันเข้ารูป, ให้มันลงรูปให้มันกลมกลืนกันเป็นอันดี ที่ภาษาธรรมะเราเรียกว่า สมังคี หรือ ธัมมสมังคี เพราะมีธรรมหลายข้อ ธรรมะเหล่านั้นจะต้องถูกปรับปรุงกันให้ดีจนกระทั่งกลมเกลียวเป็นสิ่งเดียวกัน ไม่แยกกันอยู่เป็นสิ่งๆ อย่างนี้เรียกว่า การเข้ารูป หรือการลงรูปของธรรมะนั้นๆ ซึ่งเราปฏิบัติอยู่, หรือของการงานการทำมาหากินอะไรก็ตามที่เรากำลังกระทำอยู่ ไม่มีการกระทบกระทั่งภายใน ไม่มีการกระทบกระทั่งภายนอก ไม่มีการถอยกลับ เพราะความที่มันลงรูปเป็นอันดี. ข้อที่ ๖ คือ สมาธิสัมโพชฌงค์ นี่ถึงระยะการที่จะต้อง ทุ่มเทกำลังจิต ทั้งหมดทั้งปวงลงไปในงานนั้นหรือในการกระทำนั้น เป็นสมาธิที่เต็มเปี่ยม ที่มีกำลังกล้าแข็ง มีคุณสมบัติสามประการคือว่าบริสุทธิ์ เรียกว่า ปริสุทฺโธ บริสุทธิ ไม่มีความรู้สึกสงสัย, ระแวง, ลังเล, รังเกียจ แล้วก็ สมาหิโต คือความมั่นคง ไม่ว๊อกแว็ก มีพลังที่แท้จริง คือ พลังจาก จิตว่าง เป็นครื่องสร้างความมั่นคง แล้วก็มี กฺมมนี โย คืออ่อนโยนนิ่มนวลควรแก่การงานไปทั้งหมด นี่ที่เรียกว่า Active ที่สุด นี้คือความหมายของคำว่า สมาธิสัมโพชฌงค์. ข้อที่ ๗ ข้อสุดท้าย เรียกว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ อันนี้แปลว่า เฉย ก็จริง แต่มีความหมายพิเศษคือปล่อยให้สิ่งที่ลงรูปได้ที่แล้ว ทุ่มเทสมาธิเต็มที่แล้วนั้น เป็นไปตามเรื่องของมัน คือปล่อยให้สิ่งที่ได้ที่ดีแล้วนั้นแล่นฉิวไปตามกฎเกณฑ์ของมัน. อาการของผู้นั้นมีอาการเหมือนกับเฉย มันเหมือนกับว่า เราเตรียมรถของเรา หรืออะไรต่างๆ ที่เกี่ยวกับรถของเราได้ที่แล้ว ก็ขับเฉย เพียงแต่ถือพวงมาลัยเฉย รถก็แล่นฉิวไปเรื่อยจนกว่าจะถึงที่สุด ใจความสำคัญอยู่ตรงที่ รอได้ คอยได้ ด้วยความสงบ จนกว่าจะถึงที่สุด. คนสมัยนี้รออะไรไม่ได้ คอยไม่ได้ มีจิตใจเร่าร้อนเดือนพล่านอยู่เสมอไม่มีอุเบกขาในทุกกรณี นี่มันขัดกันอย่างยิ่ง. นี่ท่านลองคิดดูว่า ธรรมะ ๗ประการนี้สำหรับการตรัสรู็เป็นพระอรหันต์นั้น เอามาใช้ ในการทำมาหากินหรือทำงานด้วยจิตว่าง ของชาวนา ของกรรมกรได้อย่างไรของลูกเด็ก ๆ ที่จะเล่าเรียนเติบโตไปข้างหน้าได้อย่างไร ของคนหนุ่่มคนสาวที่จะตั้งตนได้อย่างไร เขามีโพชฌงค์ที่ ๑ คือความรำลึกรอบคอบไปทุกสิ่ง ทุกด้าน ทุกแง่ ทุกมุม เขามีโพชฌงค์ข้อที่ ๒ คือเลือกเอาด้วยสติปัญญา ที่เหมาะแก่อุปนิสัยเป็นต้นของเขา แล้วเขาเป็นคนจริง ระดมทุ่มเทกำลังเป็นต้น ความพากเพียรอะไรลงไปจริงๆ แล้ว เขาฉลาดที่จะรักษากำลังของความเพียรนี้ไว้ได้ด้วย สร้างความพอใจหรือปิติที่เป็นธรรมหล่อเลี้ยงไว้เรื่อย ความพากเพียรก็มีแต่จะยิ่งมีกำลังมากขึ้น แล้วเขาก็จัดให้มันลงรูป เพราะว่าถึงระยะที่จะต้องจัดให้มันเข้ารูป ลงรูปด้วยความเฉลียวฉลาด, ให้ทุกสิ่งที่มันเกี่ยวข้องกันนั้นทำให้มันเข้ารูป หรือลงรูปเป็น ธัมมสมังคี คือธรรมทั้งหลายเข้ารูปกัน นี่ก็คือว่าสิ่งต่างๆ ที่เขาทำนั้นมันเข้ารูป ลงรูปกันแล้ว เขาจึงระดมทุ่มเทกำลังหรือพลังทางจิตลงไปทั้งหมดจนถึงที่สุด, แล้วเขาก็อดทนอยู่ด้วยความสงบเสงี่ยมจนกว่าจะถึงนาทีที่เกิดผลโดยสมบูรณ์ นี้หลักของโพชฌงค์เป็นอย่างนี้. ขอยืนยันว่า นี้เป็นหลักที่จำเป็นแก่คนทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นคนชนิดไหน ประเภทไหน ระดับไหนก็ตามยังเป็นฆราวาสครองเรือนอย่างยิ่งก็ตาม ถ้าใช้หลักเกณฑ์อันนี้ทำการงาน จึงจะเรียกว่า ทำการงานอยู่ด้วยจิตว่าง ไม่มีกิเลสเข้ามาแทรกแซงในการงานนั้นจะทำไร่ ทำนา ค้าขาย หรือว่าเด็กๆ จะตั้งต้นเรียนหนังสือ ตั้งตัว ก็พยายามชี้แจงให้เขารู้จักใช้หลักเกณฑ์ ๗ ประการนี้ ทีนี้ ครที่จะปฏิบัติธรรมะ วิปัสสนา กัมมัฎฐาน อะไรเพื่อบรรลุมรรคผล ก็ต้องใช้หลัก ๗ ประการรี้ แม้แต่เป็นพุทธเจ้าท่านก็ยังพอพระทัยของท่าน จนเมื่อท่านเจ็บป่วย ประชวรขึ้นมา ยังต้องเรียกภิกษุองค์ใดองค์หนึ่งมาออกชื่อธรรมะทั้ง ๗ ประการ นี้ให้ท่านได้ยิน แล้วท่านก็หายป่วยเหมือนปลิดทิ้งในขณะนั้น ซึ่งท่านทั้งหลายก็เคยอ่านเรื่องในพระคัมภีร์มาแล้ว ย่อมได้ยินได้ฟังมากมาย จนถึงกับ เกิดพิธีธรรมเนียมว่าคนเจ็บหนัก เอาพระมาสวดโพชฌงค์ ๗ ประการให้ฟังอย่างนี้เป็นต้น มันดีมาก ตั้งแต่ตันจน ปลายอย่างนี้ เพราะฉะนั้นของให้พยายามศึกษากันให้ละเอียดละออ. ที่จริงก็เป็นหมวดธรรมะที่ได้ยินได้ฟัง ได้ศึกษาเล่าเรียนกันอยู่ในโรงเรียนนักธรรม ตามวัดตามวาทั่วไปแล้ว แต่เชื่อว่ายังจับเอาใจความ หรือว่าสาระที่แท้จริงไม่ได้ จึงเอามาใช้เป็นประโยชน์ไม่ได้ ประยุกต์ไม่ได้ apply อะไรทำนองนี้. อาตมาเอามายืนยันหนักหนาอย่างนี้ ก็เพราะว่า มีวิธีเดียวนี ที่ดีที่สุด ที่ลัดสั้นที่สุด และทำได้ง่ายๆ ที่สุด ที่จะทำงานด้วยจิตว่าง ในเมื่อได้ใช้หมาดธรรมะ ๗ ประการนี้ เพราะหมวดธรรม ๗ ประการนี้ก็คือการกระทำไปด้วยความว่างหรือจิตว่างนั้นเอง คือว่าในขณะที่มีจิตว่างแล้ว จะประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ๗ ประการนี้ ได้ง่ายที่สุด เหมือนกับที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า “ เมื่อจิตว่างเมื่อนั้นสมบูรณ์อยู่ด้วยสติปัญญาเป็นต้น สมบูรณ์อยู่ด้วยปัญญาเป็นต้น “ และเป็นสมาธิอยู่ตามธรรมชาติในตัวมันเอง คือในจิตว่างนั้น ทีนี้เรามาทำให้เป็นระบบที่ดี ที่รัดกุมให้สบหลักวิชา, ให้เห็นชัดโดยไม่ต้องเชื่อคนอื่น ไม่ต้องอาศัยศรัทธา งมงาย อาศัยปัญญา ตามแบบของพุทธศาสนาอยู่เสมอ แล้วก็จงใช้หลักธรรมะเหล่านี้คือ ๗ ประการนี้ที่เรียกว่าโพชฌงค์ ก็จะได้ชื่อว่า เป็นผู้ทำงานด้วยจิตว่าง มีชีวิตอยู่ด้วยจิตว่าง. ในที่สุดนี้ ซึ่งเวลาจะหมดลงนี้ ก็ขอทบทวนความจำเพียงข้อเดียวว่า อย่าลืมว่า หลักโลกุตตรธรรมนั้นใช้ได้อย่างเดียวกัน แม้กับการทำการงานของคนที่ในโลก เพราะว่า คนที่อยู่ในโลกก็คือคนที่ต้องการจะข้ามขึ้นจากโลกเพราะว่า ถ้าไม่ต้องการข้ามขึ้นจากโลกก็คือจมอยู่ในกองทุกข์ เมื่อต้องการที่จะข้ามขึ้นจากโลกก็มุ่งหมายโลกุตตระ เพราะฉะนั้นหลักของโลกุตตระจึงเป็นหลักสำหรับความดับทุกข์ ดับทุกข์ทั้งปวงดังทุกข์ในทุกกรณีมีความหมายครอบคลุมเป็นอันเดียวกันหมด ตั้งแต่เบื้องสูงที่สุดลงมาจนถึงเบื้องตำ่ที่สุด. อย่าได้แยกเป็นธรรมะสองฝ่ายว่าธรรมะชาวบ้าน ธรรมะที่วัด ธรรมะสำหรับไปนิพพาน ธรรมะสำหรับจมอยู่ในโลก ไม่มีธรรมะข้อไหนที่พระพุทธเจ้าได้วางไว้สำหรับให้คนจมอยู่ในโลก มีแต่ธรรมะที่จะถอนคนขึ้นเหนือโลกทั้งนั้น. แม้ว่าให้ทำมาหากินนี้ก็เพื่อให้ฉลาดจนถอนตนขึ้น ออกไปจากโลก และเมื่อการทำมาหากินผิดวิธี นำมาซึ่งความทุกข์แล้ว ก็จะใช้ธรรมะเป็นเครื่องมือสำหรับทำให้ถูกวิธี. อย่าให้การทำมาหากินนั้นเป็นทุกข์ขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องศึกษาเร่ื่อง จิตชนิดหนึ่ง ซึ่งธรรมชาติมีไว้ ให้เราเป็นพื้นฐาน เราควบคุมให้ดี รักษาให้ดี จัดแจงให้ดี พัฒนามันให้ดี มันก็จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่เรา ไม่มีสิ่งใดที่เป็นประโยชน์ยิ่งไปกว่านี้แล้ว และจิตว่างนี้จะเป็นเหมือนกับสาระพัดนึก คือใช้อะไรก็ได้ ในกรณีใดที่เป็นปัญหาแล้วจะแก้ได้หมด ฉะนั้นอาตมาจึงขอยืนยันไปตามเดิมว่า ทำงานด้วยจิตว่าง. ในฐานะที่ว่า เป็นวันขึ้นปีใหม่มาหยกๆ อยากจะของส่งความสุขปีใหม่นี้ด้วย “จิตว่าง” โดยคำที่เคยยืนยันแล้วผูกขึ้นเป็นคำกลอนว่า จงทำงาน ทุกชนิด ด้วยจิตว่าง ยกผลงาน ให้ความว่าง ทุกอย่างสิ้น กินอาหาร ของความว่าง อย่างพระกิน ตายเสร็จสิ้น แล้วในตัว แต่หัวที. ข้อความนี้ก็ได้กล่าวอภิปรายกันแล้ว ในการบรรยายครั้งที่แล้วมา นี้เอามากล่าวอีก แต่ว่าฝากไว้จำง่ายในรูปของบทกลอนว่า ทำงานทุกอย่างทุกชนิด จงทำด้วยจิตว่าง และได้ผลงานมาเท่าไรอย่างไร อย่ากล้าสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของตน หรือของกู จงยกให้แก่ความว่างของธรรมชาตินั้นแหละมันจะไม่ขบไม่กัดไม่อะไรเรา ที่นี้เราจนกินผลงานนั้น ใช้ผลงานนั้น ก็เรียกว่า กินของความว่าง เมื่อมีจิตว่าง ก็กินของความว่างง ไม่มีอะไรที่จะขัดขวางได้ เหมือนพระกินอาหารของความว่างนั้น หมายความว่าภิกษุที่แท้จริงย่อมสำนึกในความไม่มีตัวตน หรือของตนอยู่เสมอ โดยบท ปัจจเวกขณ์ ที่มีความหมายอย่างนั้น คือ นิสฺสตฺโต นิชฺชีโว สุญฺโฌ , ไม่ใช่ชีวะ, ไม่ใช่สัตว์ ,ไม่ใช่บุคคล, ว่างเปล่าจากตัวตน กำลังเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอยู่เนืองนิจ ทั้งอาหารที่กินและทั้งตัวผู้กินอาหารนั้นด้วย อย่างนี้เรียกว่า กินอาหารของความว่าง ก็กินได้ด้วยจิตว่างไม่มีทุกข์เลย ส่วนความตายนั้นหมดสิ้นกันไปแล้วตั้งแต่ทีแรกตั้งแต่ที่มีจิตว่างมาแต่เดิม เพียงแต่เราหลงไป ทำให้วุ่นให้โง่ขึ้นมาก็มีตัวตนขึ้นมาอีก พอจิตวุ่นระงับไป กิเลสระงับไป อุปาทานระงับไป มันก็ว่างไปตามเดิม ไม่มีตัวตนอีก เมื่อไม่มีตัวตน มันก็ไม่ตาย ไม่มีความตาย นี่จึงบอกให้ทราบว่า ที่แท้ ที่ถูก ที่จริงนั้น ความตายนั้นเป็นสิ่งที่มิได้มีมาแล้วแต่หัวที ที่แรกโน้น แต่เพราะความหลงความโง่ของตนเข้าไปยึดมั่นในสิ่งเหล่านี้ ความตายจึงมีขึ้นมาบ่อยๆ คือ กลัวตาย เป็นปัญหาเพราะความ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ขึ้นมาบ่อยๆ แต่ถ้าเราเป็นอยู่ด้วยจิตว่าง มาทำงานด้วยจิตว่าง กินอาหารของความว่าง อย่างที่ว่าแล้ว สิ่งที่เรียกความตายจะสิ้นสุดมาแล้วตั้งแต่ทีแรก ไม่มารบกวนอีกต่อไป ไม่มีตัวเราที่จะต้องตาย ไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าอะไรเป็นตัวเรา. นี่คือคำบรรยายตอนสุดท้ายเรียกว่า หลักธรรมที่จะช่วยให้เราสามารถทำงานด้วยจิตว่าง มีอยู่ดังที่กล่าวมานี้ นับว่าอาตมาได้กล่าวสิ่งที่ได้ตั้งใจไว้ว่าจะกล่าวทั้ง ๓ ขั้น ๓ ตอน จบไปแล้วโดยบริบูรณ์ ในวันนี้จึงหวังอยู่ว่า ท่านทั้งหลายที่หวังจะได้ประโยชน์จากการบรรยายนี้ จะได้นำไปพินิจพิจารณาดูโดยไม่ต้องเชื่ออาตมา แม้แต่ประการใด คงเชื่อตัวเองได้ตามหลักของพุทธศาสนา เพียงแต่ขอให้พิจารณาอย่างละเอียด แยบคายและนั้นแหละจะกลายเป็นสิ่งที่ เรียกว่า รู้เอง เห็นเอง ปฏิบัติเอง ช่วยตัวเองได้ เป็นหลักเกณฑ์ของพระพุทธศาสนา โดยแท้จริง. อาตมาของยุติการบรรยายในวันนี้ เพราะความสมควรแก่เวลาเพียงเท่านี้.
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง