ความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ เรามักถูกสอนและเชื่อกันว่า วิชาประวัติศาสตร์และเรื่องราวในประวัติศาสตร์คือเหตุการณ์ที่เก่าแก่เกิดขึ้นมานานจนกลายเป็นเรื่องราวที่ต้องเชื่อเพราะความเก่าแก่และมีมานานแล้ว แต่ในความเป็นจริง วิชาประวัติศาสตร์เป็นเรื่องใหม่และเป็นความรู้สมัยใหม่ ในเมืองไทยก็มีกำเนิดไม่เก่ากว่ารัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่องราวต่างๆที่เก่าและโบราณนั้นก็มีอยู่ในตำนาน จารึก และพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ซึ่งมีความแตกต่างจากประวัติศาสตร์ในความหมายใหม่ กล่าวคือวิชาประวัติศาสตร์ต้องมีวิธีวิทยาที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่สามารถตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้องตรงต่อข้อเท็จเจริงที่ค้นพบได้ตลอดเวลา การศึกษาและทำความเข้าใจประวัติศาสตรืของบริเวณสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่กำลังมีปัญหาความขัดแย้งกระทั่งนำไปสู่ความรุนแรงขั้นสูงสุดของการต่อสู้ทางการเมือง จึงไม่อาจทำได้ง่ายๆ เหมือนเหตุการณ์ในพื้นที่อื่นๆ ของสังคมไทย หากจะต้องใช้วิธีการและทรรศนะทางประวัติศาสตร์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ข้อมูลและเรื่องราวอย่างที่เป็นจริงออกมาให้ได้มากที่สุด ในแง่นี้ วิชาประวัติศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องเล่าเก่าๆ เพื่อความสนุกหรือความรู้ทั่วไป หากมันกลายเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้ในการต่อสู้และสร้างความชอบธรรมของฝ่ายและกลุ่มขบวนการสถาบันองค์กรต่างๆไป ประเด็นแรกที่อยากทำความเข้าใจได้แก่อคติหรือความเอนเอียงในทรรศนะทางการเมือง ความเชื่อทางการเมืองที่มีมานานอันหนึ่ง ซึ่งสรุปว่าการเคลื่อนไหวทางการเมืองของชาวมลายูมุสลิมคือการแบ่งแยกดินแดนเป็นตัวอย่างหนึ่งของ “ข้อเท็จจริง” ในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่ที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นและได้รับกานตอกย้ำจากทรรศนะทางการตลอดมาจนกลายเป็น “ความเป็นจริง” ไปในความรับรู้ของเจ้าหน้าที่รัฐและข้าราชการไปจนถึงชาวบ้านทั่วประเทศในความเชื่อและข้อเท็จจริงนี้ กล่าวคือ คนมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นคนที่ไม่อาจไว้วางใจได้ เนื่องจากมีพฤติกรรมที่มักเป็นกบฎหรือไม่ก็ต่อต้านการปกครองของทางการสยามหรือไทยมาโดยตลอด อย่างน้อยก็นับแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ ยิ่งในประวัติศาสตร์ระยะใกล้ๆ ในไม่กี่ทศวรรษมานี้ คนไทยภาคอื่นๆ ยิ่งเห็นความพยายามของพวกเขาในการ” แบ่งแยก” ออกจากอาณาจักรไทยหรือประเทศไทย ด้วยการใช้กำลังอาวุธที่จะแยกสามจังหวัดภาคใต้สุดคือปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ออกไปจากรัฐไทย ที่ผ่านมาแทบไม่มีคนไทยภาคอื่นๆ ตั้งคำถามว่า ความรับรู้ดังกล่าวข้างต้นนี้เป็นความจริงที่ถูกต้องหรือเปล่า ทำไมคนมลายูมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ถึงต้องการจะแยกตัวออกจากการปกครองของรัฐไทย การที่คนทั่วไปไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องถามก็เพราะพวกเราเชื่อว่าข่าวคราวและปรากฎการณ์ที่ได้ยินมานั้นเป็นความจริง การที่เหตุการณืในสามจังหวัดกลายเป้นความจริงไปได้อย่างง่ายๆ เหตุผลสำคัญประการหนึ่งคือเพราะประวัติศาสตร์ชาติไทยบอกเรามาอย่างนั้น ประวัติศาสตร์ชาติไทยซึ่งเป็นวาทกรรมประวัติศาสตร์หลักที่ครอบงำประเทศนี้มานับแต่การก่อรูปของประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทยในปลายคริสต์ศตวรรษที่ ๑๙ (สมัยรัชการที่ ๕ มา ) สั่งสอนเราตลอดมาว่าอาณาจักรไทยเป็นผู้ครอบครองและเป็นเจ้าของเหนือรัฐมลายูในภาคใต้ อันได้แก่เมืองปัตตานีเดิม ซึ่งรวมยะลาและนราธิวาสด้วย ส่วนสะตูลนั้นอยู่กับเมืองไทรบุรี (รัฐเคดาห์) เมืองกลันตัน ตรังกานู และปะลิส ทว่าการรุกเข้ามาอย่างหนักของลัทธิอาณานิคมตะวันตกในช่วงนั้น บีบบังคับให้สยามจำต้องยอมสูญเสียอำนาจ (อันรวมผลประโยชน์) และเมืองประเทศราชเหล่านั้นบางส่วนไป เพื่อรักษาเอกราชของสยามประเทศเอาไว้ให้ได้มากที่สุด กลายเป็นว่ารัฐสยามไทยกลับเป็นฝ่ายถูกรังแกให้ต้องเสียดินแดนในภาคใต้สุดไปให้แก่มหาอำนาจอังกฤษ ทั้งๆที่ในข้อเท็จจริงแบ้วสยามเองกลับเป็นฝ่ายได้ดินแดน คือได้อำนาจปกครองอย่างสมบูรณ์เหนืออาณาจักรปัตตานี ซึ่งก่อนนี้เป็นเมืองประเทศราชหรือรัฐบรรณาการ โดยที่เจ้าเมืองหรือรายาเองเป็นเจ้าเหนือปัตตานี ผู้คนและทรัพย์สินต่างๆของเขา พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยามเป็นราชาธิราชเหนือรายาปัตตานี แต่ไม่ใช่เป็นเจ้าของดินแดนและทรัพย์สินเหล่านั้น กรุงสยามเป็นเจ้าหัวใจหรือความสามิภักดิ์ของเจ้าเมืองประเทศราชต่างหาก ตรงนี้คือหัวใจของความสัมพันธ์ในระบบบรรณาการหรือเมืองประเทศราช ไม่ใช่การเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แบบเอกชนซึ่งเป็นรูปแบบกรรมสิทธิ์สมัยใหม่ที่เพิ่งมาพร้อมกับลัทธิอาณานิคมตะวันตกที่กำลังเป็นระบบทุนนิยม. อิทธิพลของลัทธิตะวันตกและการเกินรัฐชาติไทย แนวคิดว่าด้วย “รัฐและชาติไทย” สมัยใหม่ ก่อรูปและพัฒนามาในช่วงเวลาของรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อบรรดาประเทศรัฐชาติสมัยใหม่ในยุโรปที่ทรงพลังภายหลังสงครามนโปเลียนยุติลง พากันเคลื่อนเข้ามาสร้างฐานสำหรับการค้าและอุตสาหกรรมในภูมิภาคเอเชียและอุษาคเนย์นับแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ มา สยามเริ่มเรียนรู้ถึงบุคลิกแบบใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปของชาวยุโรป และสิ่งสำคัญกว่านั้นคือเบื้องหลังพ่อค้านักการฑูตยุโรป ก็คืออำนาจรัฐสมัยใหม่ที่มีอานุภาพ แนวคิดว่าด้วยประเทศและสังคมของตะวันตกก็เปลี่ยนไป มีการให้ความสำคัญมากขึ้นแก่รัฐชาติใหม่ที่เน้นพรมแดน และการทำสนธิสัญญา กล่าวคือรัฐชาติเหล่านั้น ทำตัวเหมือนกับนิติบุคคลไปแล้ว ผู้นำชั้นสูงในราชสำนักเริ่มให้ความสนใจและค่อยๆ ตระหนักถึงความเป็นจริงอันใหม่ที่กำลังก่อรูปขึ้น ดังเห็นได้จากปฏิสัมพันธ์และการปรับตัวของผู้นำสยามสมัยรัชกาลที่ ๔ ในหลายด้านทั้งทางการเมืองและการศึกษา การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของสยามเกิดขึ้นในรัชสมัยของรัชกาลที่ ๕ โดยเฉพาะทางการเมืองการปกครองนั้นได้รับแรงบีบคั้นจากลัทธิอาณานิคมตะวันตก โดยเฉพนะฝรั่งเศสในภาคเหนือ อีสานและตะวันออก และอังกฤษในภาคใต้ นำไปสู่นโยบายในการปฏิรูปการปกครองสยาม และการรวมศุนย์การปกครอง หรือจัดระบบการปกครองและความสัมพันธ์กับบรรดาหัวเมืองและประเทศราชเสียใหม่ จากราชาธิราชสู่ราชอาณาเขต สมเด็จฯกรมพระยาดำรงราชานุภาพ นิพนธ์ถึงแนวคิดในเรื่องรูปแบบของรัฐสยามเก่าที่กำลังเปลี่ยนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ว่า “ลักษณะการปกครองแบบเดิมนั้น นิยมให้เป็นอย่างประเทศราชาธิราช (Empire) อันมีเมืองคนต่างชาติต่างภาษาเป็นเมืองขึ้นอยู่ในพระราชอาณาเขต” เข้าใจว่าความคิดดังกล่าวคงมาจากการอธิบายแบบตะวันตก ที่ยังมีระบบกษัตริย์ปกครองอยู่ ส่วนพลเมืองนั้นประกอบไปด้วยคนหลากหลายชาติและภาษา ยังไม่เป็นรัฐประชาชาติแบบใหม่ ดังนั้นคนที่อยู่ในพระราชอาณาจักรไม่จำเป็นต้องเป็นคนชาติและภาษาเดียวกัน ก็ไม่เป็นปัญหาเพราะการโต้แย้งกันเรื่องพรมแดนและผลประโยชน์ในดินแดนที่เป็นชายแดนนั้นไม่เป็นปัญหาต่อศูนย์กลางแต่อย่างใด เพราะอำนาจในการปกครองและควบคุมหัวเมืองไปถึงประเทศราชนั้น จริงๆแล้วอยู่ในกำมือของเจ้าเมืองนั้นๆ กันเอง ในกรณีของสยาม จึงเรียกหัวเมืองและประเทศราชทั้งหลายตามเชื้อชาติและภาษาของคนเหล่านั้น เช่นเมืองชายพระราชอาณาเขตในทางเหนือและตะวันออกไปถึงทางใต้ จึงเรียกตามชาติภาษาต่างๆ ไป เช่นบริเวณ ๓มณฑลทางอีสานและเหนือก็เรียกว่า “เมืองลาว”อันได้แก่มณฑลลาวเฉียง มณฑลลาวพวน และ มณฑลลาวกาว และเรียกชาวเมืองเหล่านั้นว่า “ลาว” ไปด้วย ส่วนทางปักษ์ใต้ เรียกว่าหัวเมืองมลายู หรือแขกมลายู เพราะเป็นคนต่างชาติ ภาษา และศาสนาด้วย เมื่อรัฐบาลกรุงเทพฯ ตัดสินใจทำการปฏิรูปการปกครองและจัดรูปแบบการปกครองหัวเมืองและประเทศราชเสียใหม่ กรมฯ ดำรงฯ ทรงกล่าวว่า เพราะรัชกาลที่ ๕ ทรงเห็นว่ารูปแบบรัฐแบบเก่าคือราชาธิราช (หรือจักรวรรดิ) นั้น “พ้นเวลาอันสมควรเสียแล้ว ถ้าคงไว้จะกลับให้โทษแก่บ้านเมือง จึงทรงพระราชดำริให้แก้ลักษณะการปกครอง เปลี่ยนเป็นอย่างพระราชอาณาเขต (Kingdom) “ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างรัฐราชาธิราช (หรือรัฐราชสมบัติ) กับรัฐอาณาเขตได้แก่การให้ความสำคัญที่ต่างกัน ในรัฐแบบเก่านำ้หนักอยู่ที่กษัตริย์หรือราชาธิราช และอำนาจที่กระจายครอบคลุมไปดังรัศมีแสงเทียนจนทั่วอาณาจักร แต่ตรงบริเวณชายแดนนั้นมัวๆเพราะแสงจากส่วนกลางอ่อนลงไปมากแล้ว ในขณะที่รัฐแบบใหม่คืออาณาเขตหรือพระราชอาณาจักรนั้น ให้ความสำคัญไปที่ดินแดนและเส้นกำหนด แบ่งอาณาเขตอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ไม่ใช่โดยพระราชอำนาจและบุญบารมีอย่างแต่ก่อนอีกต่อไป เมื่องหัวเมืองและชายแดนเปิดสว่างไสวขึ้นอะไรคือสิ่งที่ส่วนกลางให้ความใสนใจเป็นพิเศษจากเมื่อก่อน คำตอบที่ชัดเจนที่กรมฯ ดำรงฯให้คำตอบก็คือ อยู่ที่พลเมืองในหัวเมืองและประเทศราชทั้งหลาย ซี่งบัดนี้ได้เข้ามาอยู่ในอาณาเขตเดียวกันก็ต้องเป็นคนชาติเดียวกันแล้ว ไม่ใช่คนต่างชาติต่างภาษาดังก่อนนี้อีกต่อไป เพราะเงื่นอนไขใหม่ของการรักษาพระราชอาณาเขตหรือประเทศชาติแบบใหม่คือการมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนและพลเมืองของตนอย่างสมบูรณ์นั่นเอง ความสำคัญของปัญหานี้เห็นได้เมื่อผู้นำในสมัยนั้นพูดถึงเป้าหมายของการศึกษา สิ่งแรกที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงเสนอก็คือ “ควารักอิศรภาพแห่งชาติภูมิ “ พระราชนิพนธ์ด้านประวัติศาสตร์ของพระองค์ท่านจึงตั้งอยู่บนสมมติฐานของการก่อสร้างสยามให้เป็นรัฐประชาชาติสมัยใหม่ ที่มีอาณาเขตอันแน่นอนและมีประชากรที่เป็นคนพวกเดียวกันคือไทยเหมือนกัน แม้จะต่างชั้นวรรณะและภาษากันก็ตาม ด้วยเหตุของการเผชิญอันตรายจากลัทธิอาณานิคมตะวันตกดังกล่าวนี้ การสร้างและเขียนประวัติศาสตร์ชาติไทยนับแต่เริ่มต้นจึงผูกพันอยู่กับจุดหมายของความเป็นเอกราชของชาติ ประวัติศาสตร์ชาติไทยจึงถุกจดจำและตีความต่อมาบนโครงเรื่องหลักๆสองเรื่อง คือ การปฏิรูปประเทศของรัชการที่ ๕ และการเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษในรัชสมัยเดียวกัน นั่นคือกรณีวิกฤตปากนำ้ ร.ศ.๑๑๒ สยามยอมเสียดินแดนที่สำคัญคือราชอาณาจักรลาวเกือบทั้งหมด รวมทั้งสิบสองจุไท ให้แก่จักรวรรดินิยมฝรั่งเศส รวมเนื้อที่ทั้งหมดประมาณ ๑๔๓,๘๐๐ ตารางกิโลเมตร พลเมืองประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ คน หลังจากนั้นปัญหากับฝรั่งเศสก็ยังไม่หมดสิ้นไป เกิดความขัดแย้งกันอีก จนสยามต้องยอมเสียดินแดนไปอีก ๒ ครั้ง ในบริเวณฝั่งขวาแม่นำ้โขง (มโนไพร จำปาศักดิ์ และหลวงพระบาง ) และเสียมณฑลบูรพา (พระตะบอง เสียมราฐ และศรีโสภณ ) ให้แก่ฝรั่งเศสในปี พ.ศ. ๒๔๔๙ รวมเสียดินแดนในคราวนี้อีก ๕๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร แต่ได้ดินแดนที่ถูกยึดไปคือ ด่านซ้าย ตราด และเกาะต่างๆใต้แหลมสิงห์รวม ๔๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตรคืน ในทำนองเดียวกันภายใต้สนธิสัญญาอังกฤษและสยามในปี พ.ศ. ๒๔๕๒ (ค.ศ. ๑๙๐๙ )สยามก็ต้องเสียดินแดนอีก ๑๕,๐๐๐ ไมล์ในบริเวณ ๔ รัฐมลายูคือ ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู และปะลิส ให้แก่จักรวรรดินิยมอังกฤษไปอีก ธงชัย วินิจจะกูลได้วิพากษ์วิธีการและความคิดในการสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างเป็นระบบ ที่สำคัญได้รื้อโครงกรอบของประว้ติศาสตร์ออก ทำให้เห็นว่าทั้งสองเหตุการณ์ คือการปฏิรูปประเทศและการเสียดินแดนในสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น เป็ฯสองด้านของเรื่องเดียวกัน คือกระบวนการที่รัฐและระบบการเมืองแบบใหม่กำลังเข้ามาแทนที่ระบบปกครองแบบโบราณ ซึ่งแสดงออกในภูมิศาสตร์แบบใหม่ที่มีแผนที่เป็นอาวุธ ด้านหนึ่งสยามแพ้ฝรั่งเศสและอังกฤษ อ้างอำนาจและประเพณีเก่าไม่ได้ จึงเรียกว่า “การเสียดินแดน” อีกด้านหนึ่งสยามชนะ (บรรดาหัวเมืองและประเทศราช) ผนวกดินแดนที่เคยเป็นเมืองประเทศราชหรือรัฐบรรณาการที่ไม่มีเส้นเขตแดนให้กลายเป็นของสยามแต่ผู้เดียว ก็เรียกว่า “การปฏิรูปการปกครองหัวเมืองของสยาม “ ไม่เคยเรียกว่าการได้ดินแดน กระบวนการทั้งหมดนั้นทำให้บรรดาหัวเมืองและเมืองประเทศราชของสยามแต่ไหนแต่ไรมาล้วนถูกมองและตีความโดยนักวิชาการไทยรุ่นหลังต่อมาว่าเคยเป็นดินแดนภายใต้อำนาจและเป็นของรัฐสยามใหม่อย่างสมบูรณ์ การเกิดขึ้นของข้อกล่าวหาเรื่อง “การแบ่งแยกดินแดน” ในทศวรรษปี พ.ศ. ๒๔๘๐ จึงกล่าวได้ว่าเป็นความต่อเนื่องเชิงตรรกะทางภูมิศาสตร์ของประวัติศาสตร์ “ราชาชาตินิยม” อันเป็นทฤษฎีที่เสนอโดย ธงชัย วินิจจะกูล จากที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้เห็นกระจ่างชัดว่ามโนทัศน์การแบ่งแยกดินแดนมาจากความเชื่ออันไม่สงสัยเลยว่า ดินแดนที่เคยเป็นอิสระในระบบบรรณาการ และดำรงอยู่ในมณฑลแห่งพระราชอำนาจและบารมีของพระมหากษัตริย์แห่งอาณาจักรอยุธยาและสยามมาก่อนนั้น ก็ไม่เคยเป็นอิสระมาก่อน หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นเอกภาพเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของอาณาจักรที่มีกรุงศรีอยุธยาและรัตนโกสินทร์เป็นศูนย์กลาง ที่มีสถาบันและวัฒนธรรมไทยเป็นหลักมาโดยตลอด คงไม่ต้องกล่าวให้มากกว่านี้ ว่าสมมติฐานที่ว่านี้เป็นมโนทัศน์ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในสมัยใหม่ไม่เกินสองร้อยปี และก็ห่างไกลจกาความเป็นจริงของการดำรงอยู่ของรัฐประชาชาติสมัยใหม่ทั้งหลายรวมทั้งไทยด้วยอย่างยิ่ง เนื่องจากความเป็นจริงของรัฐประชาชาติไ่ทยนั้นก่อรูปขึ้นมาจากการรวมเอารัฐราชสมบัติอื่นๆ ที่่เล็กและอ่อนแอกว่า เช่น ล้านนา, อีสาน,และรัฐราชสมบัติในหัวเมืองมลายูเข้ามา โดยที่ก่อนหน้านั้น รัฐราชาธิราชต่างๆเหล่านั้น ก็เป็นชุมชนและเมืองที่มีหลายเชื้อชาติและภาษา มีการปฏิบัติวัฒนธรรมที่หลากหลายต่างๆกันไป แม้อำนาจของกษัตริย์ในศูนย์กลางที่ปกครองไปทั่วทั้งพระราชอาณาเขตก็เป็นสัญลักษณ์ทางอำนาจมากกว่าเป็นจริงในทางปฏิบัติ แล้วจากนั้นสยามที่กำลังจะเป็น “รัฐพระราชอาณาเขต” หรือรัฐชาติก็ดำเนินการปฏิรูปการปกครองด้วยการรวมศูนย์อำนาจเข้ามาไว้ในกรุงเทพ ฯ หรือลุ่มนำ้เจ้าพระยาตอนล่าง การเมืองกับประวัติศาสตร์ ความเกี่ยวพันและโยงใยกันอย่างแนบแน่นระหว่างประวัติศาสตร์ของ”กบฎหะยีสุหลง” กับ กบฎดุซงญอ” มีส่วนอย่างมากต่อความรับรู้และเข้าใจของเราต่อการเคลื่อนไหวทางการเมืองของคนมลายูมุสลิม จุดสำคัญที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้ตระหนักคือ มันมีสิ่งที่เรียกว่า ความแตกต่าง หลากหลาย และซับซ้อนแม้ในระหว่างชุมชนและขบวนการมุสลิมกันเอง สำหรับคนนอกโดยเฉพาะรัฐและหน่วยงานราชการทั้งหลาย บรรดาชุมชนมุสลิมในประเทศไทยถูกมองว่าเหมือนกันหมดและหยุดอยู่กับที่ ทรรศนะและการมองแบบด้านเดียวที่ผิดพลาดนี้ได้รับการตอกยำ้และทำให้ชัดเจนขึ้นโดยประวัติศาสตร์ที่อาศัยหลักฐานที่มีอยู่และความสามารถและเที่ยงธรรมของนักประวัติศาสตร์ในการบอกผู้อ่านในที่สุดว่าเรื่องราวที่เต็มนั้นคืออะไร ในกรณีขงอสองประวัติศาสตร์ดังกล่าวนี้ ปัจจัยทางการเมืองระดับชาติที่มีผลต่อการรับรู้ความจริงของประวัติศาสตร์นั้น ได้แก่การเข้ามาพบกันของเหตุการณ์ทางการเมืองใหญ่ๆ ในปี ๒๔๙๑ ซึ่งมีผลกระทบต่อทิศทางของการเมืองและรัฐบาลไทยและรวมไปถึงมลายาที่ยังเป็นอาณานิคมอังกฤษขณะนั้นด้วย ในประเทศไทย เหตุการณ์สำัญๆ ช่วงนั้นที่มีผลต่อการเมืองระดับชาติ คือ การสิ้นพระชนม์อย่างลี้ลับของรัชกาลที่ ๘ ในเดือนมิถุนายน ๒๔๘๙ ตามมาด้วยการรัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ส่วนในมลายาซึ่งเพิ่งก่อตั้งสหพันธรัฐมลายาภายใต้การปกครองของอังกฤษคือการประกาศภาวะฉุกเฉินในปี ๒๕๙๐ โดยอ้างว่าพรรคคอมมิวนิสต์มาลายากำลังจะก่อการลุกฮือ ในทศวรรษปี พ.ศ. ๒๔๘๐ กล่าวได้ว่าฮัจญีสุหลงคือผู้นำประชาชนมุสลิมภาคใต้ที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้ที่คนมุสลิมภาคใต้เคารพนับถือมากในสมัยนั้น เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ทางการเมืองของคนมลายูมุสลิมในบริเวณปัตตานี ทั้งยังเป็นผู้นำมุสลิมรุ่นใหม่ มีการศึกษาสูงสำเร็จจากเมืองมักกะห์ จากนั้นกลับมาฟื้นฟูการศึกษาอิสลามในปัตตานีและจังหวัดใกล้เคียง จนกระทั้งเข้าสู่ขบวนการเคลื่อนไหวเรียกร้องต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมของคนมุสลิม โดยเฉพาะการนำการต่อสู้ประท้วงนโยบายเชื้อชาตินิยมของรัฐไทยและการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมของเจ้าหน้าที่ราชการจนกระทั่งเขาถูกจับกุมในปี ๒๔๙๑ ถูกพิพากษาลงโทษ จนได้รับการปลดปล่อยกลับมาในปี ๒๔๙๕ ก่อนที่จะถูกฆาตกรรมอย่างลึกลับในที่สุด ในประวัติศาสตร์การเมืองฉบับทางการ การเล่าเรื่องเหตุการณ์ในช่วงนั้นระบุว่า ฮัจญีสุหลงคือหัวหน้าของการกบฎทั้งหลายในภาคใต้รวมทั้งการลุกฮือที่ดุซงญอด้วย ในทศรรษปี ๒๕๑๐ ความรับรู้เรื่อง”กบฎหะยีสุหลง” และ” กบฎดุซงญอ “ ได้เลือนไปจนกระทั่งหาสาเหตุและรูปร่างของความขัดแย้งเหล่านั้นไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะการเริ่มการเจรจาระหว่างผู้นำมุสลิมกับรัฐบาลไทยสมัยนั้น ในทางตรงกันข้าม ฝ่ายรัฐบาลไทยกลับสร้างเนื้อเรื่องที่วางอยู่บนการลุกฮือก่อกบฎและในที่สุดนำ้ไปสู่การเกิดขบวนการแบ่งแยกดินแดนขึ้นในบริเวณดังกล่าว ทั้งหมดเป็นความผิดของฝ่ายมลายูมุสลิมเองที่ลุกฮือขึ้นประท้วงต่อต้านกระทำาการรุนแรงต่อรัฐไทยเอง ดังนั้นฝ่ายรัฐบาลไทยจึงต้องทำการควบคุมความสงบด้วยการใช้กำลังปราบปราม การใช้กำลังของรัฐจึงเป็นความชอบธรรมมาแต่ต้น การปราบการกบฎเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อที่รัฐบาลจะได้ทำการปกครองดินแดนดังกล่าวต่อไปได้อีก. “ข้อเรียกร้อง ๗ ประการ” ๑. ให้มีการแต่งตั้งบุคคลผู้หนึ่งซื่งมีอำนาจเต็มในการปกครองสีจังหวัดของปตานี นราธิวาส ยะลา และ สะตูล โดยเฉพาะให้มีอำจาจในการปลด ยับยั้งหรือแทนที่ข้าราชการรัฐบาลทั้งหมดได้ บุคคลผู้นี้ควรเป็นผู้ที่เกิดในท้องถิ่นในจังหวัดหนึ่งของสี่จังหวัด และได้รับกานเลือกตั้งโดยประชาชนเอง ๒. ให้ร้อยละ ๘๐ ของข้าราชการในสี่จังหวัดเป็นผู้นับถือศาสนามุสลิม ๓. ให้ภาษามลายูและภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ๔. ให้ภาษามลายูเป็นภาษาสำหรับใช้ในการเรียนและสอนในโรงเรียน ประถม ๓โรง (หรือสามระดับ) ๕.ให้ใช้กฎหมายมุสลิมในศาลมุสลิมที่แยกต่างหากจากศาลแพ่งซึ่งกอฎีนั่งร่วมในฐานะผู้ประเมินด้วย ๖. รายได้และภาษีทั้งหมดที่ได้จากสี่จังหวัดให้นำไปใช้ในสี่จังหวัดทั้งหมด ๗. ให้จัดตั้งคณะกรรมการอิสลามที่มีอำนาจเต็มในการกำหนดกิจการมุสลิมทั้งปวง ภายใต้อำนาจสูงสุดของผู้ปกครองรัฐ ตามระบุในข้อ ๑ รัฐประหาร ๘ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ กับจุดจบของการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม เหตุการณ์ที่พลิกผันและเปลี่ยนแปลงสถานการณ์การเมืองไทยอย่างหน้ามือเป็นหลังมือคือการรรัฐประหารโดยคณะทหารในวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ เมื่อมองย้อนกลับไป รัฐประหารครั้งนี้มีบทบาทอันสำคัญยิ่งในการกำหนดทิศทางของการเมืองไทยต่อมา สองปัจจัยที่จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงการเมืองภายหลังรัฐประหารครั้งนั้น อันแรกคือปัจจัยภายนอกที่มาจากภาวะเศรษฐกิจขาดแคลนฝือเคืองหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และนำไปสู่การเกิดขึ้นของขบวนการชาตินิยมและเอกราชทั่วไปในภูมิภาคนี้ อันที่สองคือปัจจัยมูลเหตุภายใน ได้แก่การสวรรคตอย่างกะทันหันและมืดมนของรัชกาลที่ ๘ ในเดือนมิถุนายน ๒๔๘๙ กรณีนี้นำไปสู่การลาออกของรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ และเป็นเงื่อนไขให้กับการกลับมาหรือรื้อสร้างพลัง “เจ้านิยม” (royalists ) กับ “อนุรักนิยม” ขึ้นมาในการเมืองไทย คณะรัฐประหารซึ่งเรียกตัวเองว่า “คณะทหาร “ส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยทหารบก ที่น่าสังเกตคือบรรดานายทหารผู้ใหญ่นั้นเป็นนายทหารนอกประจำการ เช่น จอมพลแปลก พิบูลสงครม พลโทผิน ชุณหะวัน และพันเอกกาจ กาจสงคราม เป็นต้น นายทหารในประจำการคือกลุ่มนายทหารหนุ่มฝ่ายคุมกำลังจำนวนมากเช่นพันเอก สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ ๑ ทำการยึดอำนาจรัฐบาลจากหลวงธำรงฯ และฝ่ายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเป็นพลังการเมืองหลักนับแต่หลังสงครามโลกยุติลง การเกิดรัฐประหารเป็นเรื่องไม่คาดคิดว่าจะเป็นจริงได้ในขณะนั้น เพราะฝ่ายทหารหมดอำนาจจากรัฐบาลและถูกลดบทบาทการเมืองไปมาก จากการที่จอมพล ป.พิบูลสงครามตกเป็นฝ่ายปราชัยและเป็นจำเลยอาชญากรสงคราม จำต้องล้างมือจากวงการการเมืองไป ทำให้ฝ่ายทหารขาดบุคคลผู้ที่สามารถนำการยึดอำนาจรัฐบาลได้ ในวาระสุดท้าย คณะปฏิวัติ ถึงกับใช้วิธีแบล็กเมล์ให้จอมพล ป.พิบูลสงครามรับตำแหน่งหัวหน้าคณะปฏิวัติ อย่างไรก็ตามภายหลังการยึดอำนาจสำเร็จ จอมพล ป.พิบูลสงครามก็ไม่อาจรับตำแหน่งนายยกรัฐมนตรีได้ เพราะมีชนักติดหลัง กรณีประกาศสงครามกับสัมพันธมิตรและเป็นมิตรกับญี่ปุ่น แน่นอนว่าอังกฤษและสหรัฐฯ ต้องไม่รับรองรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ดังนั้น นายควง อภัยวงศ์ จึงได้รับการเสนอชื่อให้มาเป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ แต่ในความรับรู้ของผู้คนทั่วไป ต่างคิดตรงกันว่านี่คือรัฐบาลทหารภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม จุดนี้ส่งสัญญาณเตือนภัยไปยังผู้นำมลายูมุสลิมภาคใต้ การพลิกผันของเหตุการณ์ในกรุงเทพฯมีส่วนทำให้การเคลือนไหวของกลุ่มการเมืองมุสลิมภาคใต้ต้องพลิกตามไปด้วย หลังจากรัฐบาล นายควง อภัยวงศ์ แห่งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาปกครอง ผู้นำมลายูมุสลิมภาคใต้ก็ดำเนินการเรียกร้อง ๗ ประการต่อไปคราวนี้คำตอบที่ได้จากรัฐบาลควงยิ่งแย่กว่าสมัยรัฐบาลหลวงธำรงฯ เสียอีก นายควงบอกว่าตนมีธุระยุ่งหลายเรื่อง นอกจากนั้นปัญหาของมลายูมุสลิม นั้นก็มีมานานแล้ว ถ้าจะรอไปอีกสักหน่อยก็ไม่นาจะเสียหายอะไรเป็นไปได้ว่าในระยะปลายปี ๒๔๙๐ฮัจญีสุหลงและคณะคงรู้แล้วว่าความหวังในการเจรจากับรัฐบาลควงไม่มีอีกต่อไปแล้ว อาวุธสุดท้ายที่มีอยุ่คือการรณรงค์ไม่ร่วมมือกับรัฐบาลในเรื่องต่างๆต่อไป การบอยคอตรัฐบาลกลายเป็นยุทธศาสตร์ทางการเมืองของฝ่ายมุสลิมไปโดยมีน้ำหนักทางศาสตนาอยู่ด้วย แต่แผนการบอยคอตที่จะมีผลกระเทือนทางการเมืองสูงมากคือการบอยคอตการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นในเดือนมกราคม ๒๔๙๑ การเริ่มต้นของจุดจบ นี่เองทำให้รัฐมนตรีมหาดไทยในรัฐบาลควง คือพลโท ชิดมั่นศิลป สินาดโยธารักษ์ ซึ่งถือปัญหาสี่จังหวัดภาคใต้เป็นเรื่องรีบด่วนสองเรื่องที่จะต้องจัดการอย่างเด็ดขาด (เรื่องหนึ่งคือปัญหาคอร์รัปชั่น) เพราะ “ ได้ระแคะระคายว่า ชาวพื้นเมืองมีความไม่พอใจในการปกครองของรัฐบาลทวีขึ้น ประจวบกับเหตุที่มลายูได้รับเอกราช (จริงๆ ยังไม่ได้ )จึงบังเกิดความตื่นตาตื่นใจตามไปด้วยเป็นธรรมดา และเป็นช่องทางให้ผู้มักใหญ่ใฝ่สูง ฉวยโอกาสหาทางถีบตัวขึ้นเป็นใหญ่ หาสมัครพรรคพวก่อหวอดเพื่อจะแบ่งแยกดินแดนออกจากประเทศไทยไปรวมกับรัฐมาเลเซีย หรือไม่ก็จัดเป็นกลุ่ม แยกตัวออกไปเป็นอิสระโดยเอกเทศนับว่าเป็นเรื่องที่จะรีรออยู่ไม่ได้ จะต้องขจัดปัดเป่าให้สถานการณ์ดีขึ้นก่อนที่จะทรุดหนักจนเหลือแก้ ปมเงื่อนสำคัญในการไปบรรลุเป้าหมายดังกล่าวอยู่ที่การหาผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีคนใหม่ ที่ “มั่นคงจงรักภักดีต่อประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องกล้าหาญ เอาการเอางานเพื่อเสี่ยงภัยต่อการใช้พระเดช ต้องรู้ภาษามลายูดีทั้งเป็นที่เชื่อถือของคนพื้นเมือง” หน้าที่เร่งด่วนของผู้ว่าฯคนใหม่นี้คือ” สืบหาตัวการที่คิดแบ่งแยกดินแดน ค้นหาเหตุที่ราษฎรเดือดร้อน” ในที่สุดก็ได้ตัวพระยารัตนภักดี ( แจ้ง สุวรรณจินดา ) อดีตผุ้ว่าราชการปัตตานี จากปี ๒๔๗๒-๗๖ โดยถูกออกจากราชการเหตุเพราะเปลี่ยนแปลงการปกครอง ในเวลาเดือนเดียว พระยารัตนภักดีก็รายงานไปยังรัฐมนตรีมหาดไทยว่า สืบได้ตัวหัวหน้าผู้คิดก่อการแยกดินแดนแล้ว นั่นคือการจับกุมฮัจญีสุหลงใน วันที่ ๑๖ มการาคม พ.ศ. ๒๔๙๑ ซึ่งทำให้เกิดการประท้วงจากชาวมุสลิมภาคใต้มากมาย จนต้องย้ายการพิจารณาคดีไปยังศาลจังหวัดนครศรีธรรมราช เพราะทางการกลัวว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น หากพิจารณาคดีที่ปัตตานี กล่าวโดยสรุป สถานการณ์ในสี่จังหวัดภาคใต้ในขณะนั้นกำลังคุกรุ่นและร้อนแรงขึ้นทุกวัน สถาพทางเศรษฐกิจ และชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านยังอยู่ในสภาพหลังสงครามโลกที่ขาดแคลนและมีตลาดมืด ทำให้สินค้าราคาแพงและหายาก โจรผู้ร้ายก็ชุกชุม รวมถึงโจรที่มาจากฝั่งมาเลยาด้วย ซึ่งชาวบ้านและทางการเรียกรวมๆว่า “โจรจีนคอมมิวนิสต์” ในเดือนกุมภาพันธ์ มีการประท้วงก่อความไม่สงบกระจายไปทั่วในหลายอำเภอของจังหวัดปัตตานี ยะลาและนราธิวาส มีการปะทะกันด้วยกำลังระหว่างชาวบ้านกับตำรวจและกำลังในจังหวัดชายแดน ในระหว่างนั้นเองที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม เข้ารับตำแหน่งแทนนายควง อภัยวงศ์ ใน วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ เหตุการณ์นี้เรียกกันว่า “การจี้นายควง” ให้ออกจากรัฐบาลโดยคณะทหาร ในที่สุดก็มาถึงวันที่เกิดการปะทะกันระหว่างชาวบ้านในหมู่บ้านดุซงญอ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส กับเจ้าหนัาที่ตำรวจ ในวันที่ ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ ดังรายงานข่าวจากหนังสือพิมพ์สยามนิกรขณะนั้นดังต่อไปนี้ “วิทยุการจายเสียงรอบเช้าวานนี้ประกาศข่าวรวบรวมหลายกระแสร์ว่า ได้เกิดปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับราษฎรครั้งใหญ่ในจังหวัดนราธิวาส ข่าวนั้นได้ยังความตื่นเต้นกันทั่วไป จากข่าววิทยุนั้นแสดงให้เห็นว่า ความยุ่งยากในบริเวณ ๔ จังหวัด ภาคใต้ได้ปรากฎขึ้นแล้ว ราษฎรกลุ่มหนึ่งในอำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ประมาณ ๑ พันคน ได้ก่อการจลาจลต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในโทรเลขซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองรายงานมายังกระทรวงมหาดไทย ใช้คำว่า “ก่อการขบถ “ แต่รัฐมนตรีนายหนึ่งแถลงแก่คนข่าวของเราว่า “ บุคคลเหล่านั้นมักใหญ่ใฝ่สูงก่อการจลาจล “ การต่อสู้ระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับราษฎร ๑ พันคนนั้น ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่ทานกำลังไม่ไหว เนื่องจากมีอาวุธต่อสู้ทันสมัย เช่น สเตน คาร์ไบน์ ลูกระเบิด แม้แต่กระทั้งปืนต่อสู้รถถังก็ยังมีเช่นเดียวกัน โทรเลข ฉบับแรกซึ่งส่งเข้ามายังมหาดไทยเมื่อบ่ายวันที่ ๒๖ เดือนนี้ เพื่อขอให้ส่งกำลังไปช่วยเหลือโดยด่วนนั้น ทราบว่าอธิบดีตำรวจได้เรียกประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่โดยฉับพลัน เพื่อจัดส่งกำลังไปช่วยเหลือตามที่โทรเลขแจ้งมา “ การปะทะกับกำลังตำรวจดำเนินไปสองวัน มีคนเข้าร่วมถึงพันคน จำนวนตัวเลขผู้ตายและบาดเจ็บซึ่งยังไม่ตรงกันรายงานว่า ชาวบ้านมุสลิมตามไปถึง ๔๐๐ คน ส่วนตำรวจตายไป ๓๐ คน ชาวบ้านเล่าว่าตำรวจเป็นฝ่ายเปิดฉากการยิงเข้าใส่ก่อนขณะที่กำลังทำพิธีต้มอาบนำ้มัน เหตุที่ชาวบ้านมีการเตรียมอาวุธเพราะต้องการเอาไว้ต่อสู้กับการปล้นของโจรจีนคอมมิวนิสต์ ฝ่ายตำรวจก็สงสัยในพฤติการณ์ของชาวบ้านจึงต้องการมาสอบสวนและเกิดปะทะกันขึ้น จากคำอธิบายหลายๆฝ่ายให้ได้ข้อสรุปว่า กรณี “กบฎดุซงญอ “ นั้น คือการที่ความขัดแย้งและความไม่เข้าใจไม่ไว้วางใจของทางการกับชาวบ้านได้เร่งขึ้นถึงจุดเดือดและระเบิดออกมาเมื่อมีชนวนเพียงนิดเดียว อคติและการไม่ไว้ใจชาวบ้านมุสลิมเห็นได้จากรายงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจและปกครองที่มีไปถึงรัฐบาลกรุงเทพฯ เช่น บอกว่าชาวบ้านมี ปืนสเต็น คาร์ไบน์ ปืนต่อสู้รถถัง ระเบิด เป็นต้น ทั้งๆที่ต่อมาหนังสือพิมพ์รายงานว่า ชาวบ้านมีแค่อาวุธชาวบ้านธรรมดา คือมีดไม้และหอกก้อนหินอะไรที่พอหาได้ในหมู่บ้าน ยิ่งกว่านั้นการลุกฮือของชาวบ้านดุซงญอไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการกบฎฮัจญีสุหลงแต่ประการใดด้วยดังที่รายงานและวาทกรรมของทางการต่อปัญหามุสลิมภาคใต้จะบรรยายกันต่อๆมาเป็นวรรคเป็นเวร รวมทั้งการอธิบายว่าผลจากการลุกฮือปะทะกันใหญ่ที่ดุซงญอมีผลทำให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม มีคำสั่งให้ยอมประกันตัวฮัจญีสุหลงได้ ทั้งๆที่ในความเป็นจริงไม่มีการประกันตัวฮัจญีสุหลงเลย เพราะผู้ว่าราชการปัตตานีกลัวประชาชนมุสลิมประท้วงก่อเหตุจลาจล จึงประกาศห้ามประกันตัวและสั่งให้รีบสรุปสำนวนยื่นฟ้องศาลทันที หลังจากการปะทะที่ดุซงญอผ่านพ้นไป ความรุนแรงและผลสะเทือนของมันทำให้ชาวบ้านมลายูประมาณ ๒,๐๐๐ ถึง ๖,๐๐๐ คน หลบหนีออกจากฝั่งไทยเข้าไปอาศัยอยู่ในฝั่งมลายา ต่อจากนั้นมีชาวมุสลิมปัตตานีถึง ๒๕๐,๐๐๐ คนทำหนังสือร้องเรียนไปถึงองค์การสหประชาชาติให้ช่วยดำเนินการแยกสี่จังหวัดมุสลิมภาคใต้และไปรวมกับสหพันธรัฐมลายาที่เพิ่งจัดตั้งขึ้น รัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ประกาศกฎอัยการศึกในบริเวณสี่จังหวัด และส่งกำลังตำรวจหน่วยพิเศษ ๓ กองลงไปยังนราธิวาส แต่ประกาศว่าภารกิจของหน่วยพิเศษนี้คือการต่อสู้กับ “พวกคอมมิวนิสต์” รายงานข่าวการ”ก่อการขบถ” ของชาวบ้านนับพันคน ดังที่เจ้าหน้าที่มหาดไทยท้องถิ่นรายงานเข้ากระทรวงฯ นั้น เห็นชัดเจนเลยว่าเป็นข่าวที่คลาดเคลื่อน จะเรียกว่า “บิดเบือน” ก็อาจหนังไป เพราะหากเกิดปะทะกันขึ้น กำลังเป็นสิบหรือหลายสิบก็น่ากลัวพอที่จะทำให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นประเมฺนความหนักหน่าวน่ากลัวของสถานการณ์ให้เบื้อนบนทราบ. ต่อเนื่องจากการให้ตัวเลข ขนาด จำนวน ประเภท ของอาวุธที่ชาวบ้านใช้ ซึ่งล้วนเป็นอาวุธหนักและใช้ในกานสงคราม เช่น คาร์ไบน์ ปืนต่อสู้รถถัง ปลยบ.๖๖ ระเบิดมืด สเตน เป็นต้น แสดงว่าทางการได้มีสมมติฐานอยู่ในใจก่อนแล้ว ว่าชาวบ้านมุสลิมภาคใต้กำลังคิดกระทำอะไรอยู่ หากไปอ่านความในใจของรัฐมนตรีมหาดไทยสมัยนั้น เช่นพลโท ชิดมั่นศิล สินาดโยธารักษ์ และผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานีพระยารัตนภักดี ก็จะไม่แปลกใจว่าทำไมทางการถึงประเมินและเชื่อว่าชาวบ้านมีอาวุธหนักขนาดทำสงครามไว้ในครอบครอง เพราะเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลมีข่าวกรองอยู่ก่อนแล้ว ประกอบเข้ากับอคติและความไม่ไว้ใจในการเคลื่อนไหวเรียกร้องของกลุ่มมุสลิมหัวก้าวหน้าด้วย ทำให้หนทางและวิธีการในการคลี่คลายปัญหาและความตึงเครียดขณะนั้นโดยสันติวิธีและ “ละมุนละม่อน” ตามที่จอมพล ป. พิบูลสงครามสั่งตามไปในวันหลังๆ เป็น สิ่งที่เป็นไปได้ยากมากๆ ถ้าจะฟันธงจากบทเรียนในประวัติศาสตร์ดังกล่าว ก็คือการใช้ความรุนแรงในภาคใต้นั้น เป็นผลโดยตรงจากการมีทัศนคติ อคติ ความเชื่อในอุดมการณืการเมืองของชาติที่ไม่สอดคล้องกระทั่งขัดแย้งกับความเป็นจริงของสังคมมุสลิมภาคใต้ ทั้งหมดทำให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ (ทั้งในโครงสร้างและนอกเหนือกฎหมายหลากหลายสารพัด) ไม่ต้องสงสัยว่าประเด็นปัญหาปัตตานีดังกล่าวเรียกร้องความสนใจจากนานาชาติ รวมถึงองค์กรความสัมพันธ์แห่งเอเชีย. สันนิบาตอาหรับ , และองค์การสหประชาชาติ การร้องทุกข์ของคนมลายูมุสลิมมีไปถึงบรรดาประเทศมุสลิมด้วย เช่นสันนิบาตแห่งรัฐอาหรับ อินโดนีเซียและปากีสถาน มีการให้ความช่วยเหลือจากกลุ่มมุสลิมในประเทศไทยเองด้วยและจากพรรคชาตินิยมมาเลย์ในมลายา สถานการณ์ขณะนั้นตึงเครียด มีกองกำลังจรยุทธเคลื่อนไหวไปมาตามชายแดนจากมลายาเข้ามายังภาคใต้ไทย ผู้นำศาสนาทั้งสองฟากของพรมแดนเรียกร้องให้ทำญีฮาดตอบโต้อำนาจรัฐไทย น่าสังเกตว่าเมื่ออัยการโจทก์นำคดีฟ้องร้องฮัจญีสุหลงยื่นต่อศาลนั้น ในคำฟ้องระบุอย่างชัดเจนว่า ฮัจญีสุหลงและสานุศิษย์ของเขาที่ถูกฟ้องนั้นล้วนมีเชื้อชาติไทยและสัญชาติไทย ข้อหาที่ฟ้องร้องฮัจญีสุหลงกับพวกคือ “ตระเตรียมและสมคบกันคิดการจะเปลี่ยนแปลงราชประเพณีการปกครอง และเพื่อให้เอกราชของรัฐเสี่อมเสียไป และเพื่อให้เกิดเหตุร้ายแก่ประเทศจากภายนอก “ ในคำฟ้องของโจทก์นั้นกล่าวหาจำเลยและพวกว่าคบคิดกันทำการกบฎในเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยจัดการประชุมที่สุเหร่าปรีกี อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี ฮัจญีสุหลงพูดปลุกปั่นราษฎรว่า “รัฐบาลไทยได้ปกครองสี่จังหวัดภาคใต้มาถึง ๔๐ ปีแล้ว ไม่ได้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองดีขึ้น และกล่าวชักชวนให้ราษฎรไปออกเสียงร้องเรียนที่ตัวจังหวัดเพื่อขอปกครองตนเอง ถ้ารัฐบาลยินยอมก็จะได้เชิญตนกูมะไฮยิดดินมาปกครอง แล้วจะได้ใช้กฎหมายอิสลามเพื่อให้ความชั่วหมดไปและทำให้บ้านเมื่องเจริญ ถ้ารัฐบาลไม่ยอมตามคำขอปกครองตนเอง ก็จะได้ให้ราษฎรพากันไปออกเสียงร้องเรียนให้สำเร็จจนได้ อีกประเด็นที่โจทก์ฟ้องคือฮัจญีสุหลงทำหนังสือฉันทานุมัติแจกให้ราษฎรลงชื่อ หนังสือนี้ถูกกล่าวหาว่าต้องการเชิญตนกูมะไฮยิดดินมาเป็นหัวหน้าปกครองสี่จังหวัด ในขณะเดียวกันเอกสารนี้ยังมีข้อความ “ที่จะก่อให้เกิดความดูหมิ่นต่อรัฐบาลและราชการแผ่นดินและจะก่อให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงกับจะก่อความไม่สงบขึ้นในแผ่นดิน “ ในการนี้ศาลชั้นต้นมีความเห็นว่า ข้อความวิจารณ์และติเตียนการกระทำของรัฐบาลและเจ้าหนัาที่นั้น เป็นการก่อให้เกิดความดูหมิ่นต่อรัฐบาลไทยและข้าราชการไทย ตลอดจนถึงราชการแผ่นดิน ซึ่งผิดวิสัยที่รัฐบาลจะกระทำต่อพลเมือง น่าสังเกตุว่าทรรศนะของศาลเป็นการแก้ต่างให้กับการกระทำของรัฐบาล ซึ่งตามหลักการปกครองย่อมไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ทำนองเดียวกับการที่ลูกจะฟ้องร้องพ่อแม่ว่าทำทารุณกรรมลูกๆ ไม่ได้เพราะผิดวิสัยของพ่อแม่ในทางหลักการ แม้ในความเป็นจริงอาจเกิดตรงข้ามกับหลักการก็ได้. ในที่สุดศาลชั้นต้นก็ตัดสินว่าฮัจญีสุหลง จำเลยมีความผิดฐานกบฎภายในพระราชอาณาจักร ให้จำคุกกับพวกอีก ๓ คนๆละ ๓ ปี อย่างไรก็ตามในที่สุดหลักจากศาลตัดสินลงโทษจำเลยอย่างไม่หนักเท่าที่โจทก์ได้คาดหวังไว้ ก็อุทธรณ์ไปถึงศาลชั้นบน คราวนี้ผลออกมาว่า ฮัจญีสุหลงกระทำการละเมิดกฎหมาย ในการเชื้อเชิญให้มะไฮยิดดินมาเป็นผู้นำตามข้อเรียกร้องที่ ๑ “ เป็นลักษณะของการสืบทอดเจตนารมณ์ของการกบฎ “ การเรียกร้องให้แยกศาลศาสนาออกจากศาลจังหวัด “เป็นการกระทำให้เอกราชของรัฐเสี่อมเสียไปทั้งในทางการบริหารและการศาล นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงประเพณีการปกครองของ๔ จังหวัดเพื่อให้ผิดแผกไปจากที่เป็นอยู่ในเวลานี้อย่างมากมาย การคิดการเช่นนี้ย่อมเป็นผิดฐานกบฎ” การที่ศาลอุทธรณ์สามารถหาความผิดให้แก่คำเรียกร้อง ๗ ข้อได้ นั้น ก็ด้วยการนำเอาข้อเขียนของ มิสวิททิงนั่นม- โจนส์ ที่กล่าวถึงความทารุณต่างๆในสี่จังหวัดภาคใต้ ซึ่งเป็นการเมืองอันมีการกระทำมุ่งหวังจะให้คนคล้อยเชื่อตามนั้น จนอาจจะต้องใช้การต่อสู้ของประชาชนก็ตาม มาเป็นพยานหลักฐานหนึ่งในการลงโทษ ประเด็นที่น่าสนใจและสำคัญยิ่งในการพิจารณาคดีของศาลก็คือทำไมถึงสามารถตัดสินได้ว่าฮัจญีสุหลงมีการกระทำอันเป็นกบฎ แม้หลักฐานที่อ้างถึงก็ไม่หนักแน่นเพียงพอ เช่นการ “กล่าวด้วยวาจาแก่คนทั้งหลาย (ในสุเหร่า) ยุยงให้เกิดความกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงกับจะก่อความไม่สงบขึ้นในแผ่นดิน และให้เกิดความดูหมิ่นต่อรัฐบาลและราชการแผ่นดินในหมู่ประชาชน โดยนายฮัจญีสุหลงจำเลยได้กล่าวปลุกใจคนทั้งหลายในที่นั้นให้ระลึกถึงเชื้อชาติมลายู และให้มีความรักเชื้อชาติมลายูโดยแรงกล้า และนายฮัจญีสุหลงจำเลยได้กล่าวว่ารัฐบาลไทยปกครองชาวมลายูใน ๔ จังหวัดประมาณ ๔๐ ปีแล้ว ไม่ได้กระทำประโยชน์และบ้านเมืองให้ดีขึ้น เช่นโรงเรียนก็เหมือนเล้าไก่ เป็นที่เย้ยหยันของคนทั่วไป ฯลฯ “ ทั้งหมดนั้นหากพิจารณาในปัจจุบันก็น่าเข้าข่ายของการหมิ่นประมาท ไม่น่าจะโยงไปถึงการกระทำอันเป็นกบฎภายในและภายนอกได้ ต่อปัญหาและความสงสัยนี้ ผมได้รับคำอธิบายและแนะนำหลักฐานเพิ่มเติมจากคุณเด่น โต๊ะมีนา ซึ่งชี้แจงว่าในสมัยนั้นยังมีการใช้ประมวลกฎหมายอาญา ร.ศ. ๑๒๗ ซึ่งเป็นกฎหมายอาญาฉบับแรกที่รัชกาลที่๕ ทรงให้ร่างขึ้นมาในกระบวนการปฏิรูปกฎหมายไทยให้ทันสมัยเหมือนประมวลกฎหมายของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ที่น่าสนใจอีกเช่นกัน คือประมวลกฎหมายของประเทศมหาอำนาจตะวันตก ที่น่าสนใจอีกเช่นกัน คือประมวลกฎหมายอาญา ร.ศ. ๑๒๗ นั้นลอกมาจากประมาลกฎหมายอาญาของอังกฤษที่ใช้ในอินเดียอยู่ การใช้ประมวลกฎหมายอาญา ร.ศ. ๑๒๗ มาตรา ๑๐๔ ทำให้ศาลสามารถตีความพฤติกรรมจำนานมากที่แม้เป็นการดูหมิ่นรัฐและข้าราชการ ว่า เข้าข่ายการกระทำอันเป็นการทำลายและก็คือกบฎต่อรัฐไทยได้ทั้งนั้น นอกจากนั้น ตรรกะของศาลไทยสมัยโน้นคือการหาว่าฮัจญีสุหลงและพวกกระทำการ “นอกเหนือไปจากรัฐธรรมนูญและกฎหมายไทย” อย่างไรบ้าง กิจกรรมทั้งหลายของจำเลยจึงถูกนำมาทำให้เป็น “การเมือง” ในทรรศนะของรัฐไทยไปหมด ที่ประหลาดก็คือการเรียกร้องสิทธิมนุษยชนของชาวมลายูมุสลิมภาคใต้นั้น ก็เป็นการกระทำที่ “นอกเหนือรัฐธรรมนูญ” สมัยนั้นไปด้วย รวมทั้งการประพฤติปฏิบัติตามศาสนาด้วย ประเด็นหลังนี้ยิ่งไปหนักเลย เพราะพยานโจทก์นายหนึ่งคือนายอุดม บุณยประกอบ อดีตข้าหลวงตรวจการกระทรวงมหาดไทยภาค ๕ ให้การว่า “ทางภาคใต้ ๔ จังหวัดนี้ ศาสนากับการปกครองแยกกันไม่ออก “ ดังนั้นศาลอุทธรณ์จึงมีความเห็นว่า “ขณะใดที่มีการกล่าวถึงศาสนานั้นก็มีการเมืองการปกครองรวมอยู่ด้วย “ เท่านั้นเอง การเคลื่อนไหวในที่ประชุมชนหรือสุเห่าอะไรของฮัจญีสุหลงก็กลายเป็น “การเมือง “ ไปหมด รวมถึงใบปลิว จดหมายและข้อเขียนอะไรที่ออกไปจากจำเลย ก็กลายเป็นการเมืองไป นั่นคือนอกเหนือรัฐธรรมนูญและกฎหมายไทย แม้ว่าเรื่องที่จำเลยร้องเรียนจะเป็นความจริง และเป็นการเรียกร้องในสิทธิของมนุษย์ชนก็ตาม ก็เป็นความผิดตามเหตุผลของรัฐไทย ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเป็นเอกฉันท์เพิ่มโทษเฉพาะฮัจญีสุหลงให้จำคุกมีกำหนด ๗ ปี แต่เนื่องจากจำเลยให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงลดโทยฐานปรานีให้๑ ใน ๒ เหลือจำคุกมีกำหนด ๔ ปี ๘ เดือน ศาลฎีกาก็พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ฮัจญีสุหลงถูกจำคุกเป็นเวลา ๔ ปีกับ ๖ เดือนก่อนที่จะถูกปล่อยในปี ๒๔๙๕ ก่อนกำหนดเพียง ๒ เดือนกับ ๒๕ วัน จากการผลักดันของ พลเรือโท หลวงสุนาวินวิฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร ซึ่งหวังว่าการปล่ายฮัจญีสุหลงจะเป็นการผ่อนคลายความเครียดทางการเมืองในสามจังหวัดภาคใต้ วันที่เขาเดินทางกลับถึงปัตตานีมีประชาชนมาต้อนรับที่สถานีรถไฟโคกโพธิ์กว่าพันคน จากนั้นบรรดาลูกศิษย์เรียกร้องให้เขาสอนหนังสืออีก เขาจึงฟื้นฟูโรงเรียนที่ถูกปิดไปขึ้นมาใหม่ “การสอนของเขามีคนมาฟังเป็นจำนวนมาก ในวันที่เขาทำการสอน ตัวเมืองปัตตานีจะเต็มไปด้วยผู้คน ส่วนรถราติดบนท้องถนน บรรดา ผู้เข้าฟังกล่าวกันว่ามีที่มาไกลถึงยะหริ่งและปาลัส (อยู่ทางทิศตะวันตก ) และบ่อทอง หนองจิก (อยู่ทางทิศเหนือ) ทว่าไม่นานนักโรงเรียนนี้ก็ถูกคำสั่งห้ามจากผู้ว่าราชการภาค ๙ ให้ต้องปิดกิจการลงไปอีกในวันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ ในวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ตำรวจสันติบาลที่สงขลาเรียกให้ฮัจญีสุหลงไปพบ เขาไปพร้อมกับลูกชายคนโตที่เป็นล่าม เพราะฮัจญีสุหลงและเพื่อนๆ ที่ถูกเรียกตัวไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ ทั้งหมดนั้นได้ “สูญหาย” ไปและไม่กลับมายังปัตตานีอีกเลย การสูญหายของฮัจญีสุหลงและพวกไม่เคยสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่มีพยาน ไม่มีการให้ความร่วมมือจากฝ่ายตำรวจ มีแต่ความรู้สึกกลัวที่หลอกหลอนสังคมปัตตานีเกี่ยวกับโศกนาฏกรรมของฮัจญีสุหลงและเพื่อนๆจากวันนั้นถึงวันนี้.
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง