
พงศาวดารเมืองเชียงตุงเที่ยวเมืองเชียงตุง และ แค้วนสาละวิน โดย บ.บุญค้ำ ตีพิมพ์ครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๔๙๙ เชียงตุง หรือ เขมรัฐนคร “เชียงตุง” เป็นชื่อที่คนไทยเรา รู้จักมานาน เพราะเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ชาติไทยเช่นเดียกับเมืองเชียงใหม่ เชียงรุ้ง, หลวงพระบาง , เวียงจันทร์ , หรือ หงสาวดี และ อังวะ แต่พอเอ่ยชื่อว่า “เชียงตุง” เมื่อไร คนไทยทั้งรุ่นปู่รุ่นทวด และรุ่นลูกหลานสมัยนี้ ก็จะมีความรู้สึกอย่างเดียวกัน คือ ตื่นเต้น และหวาดเสียวขนาดที่ไม่ขอลองอีกทีทั้งนี้ก็ย่อมเป็นของธรรมดาที่คนไทยเราเป็นคนเกิดในพื้นที่ราบ มีทุ่งนาป่าโป่รงสะดวกแก่การไปมา แต่เมืองเชียงตุงนั้น ตั้งอยุ่ในหุบเขาล้อมรอบด้วยกำแพงธรรมชาติอันยากที่จะผ่านไปมาได้ ภูมิประเทศของแคว้นเชียงตุงทั่วไปก็เป็นป่าเป็นเขา เต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บคนต่างถิ่นไปอยู่ถ้าไม่ระวังรักษาตัวให้ดีจริงๆ แล้ว ก็จะต้องเจ็บป่วยและอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ แม้คนพื้นเมืองเองก็มีอันตรายมากกว่าเกิด เพราะฉะนั้นพลเมืองของเชียงตุงจึงมีน้อย ในจำนวนเนื้อที่ ๑๒,๔๐๐ ตารางไมล์ มีพลเมือง ๒๒๐,๐๐๐ คน เฉลี่ยแล้วในหนึ่งตารางไมล์มีไม่ถึง ๒๐ คน คนไทยเราได้เห็นสภาพของเชียงตุงจริงๆ ก็เมื่อ ๑๐๐ ปี เศษมานี้ คือเมื่อเสด็จในกรมหลวงวงษาธิราชสนิท ได้ทรงกรีฑาทัพไปตีเชียงตุง เมื่อ พ.ศ. ๒๓๙๕ ในรัชกาลสมเด็จพระจอมเกล้าอยู่หัว และได้รู้จักเชียงตุงจริงๆ ยิ่งกว่านั้นอีก ก็เมื่อกองทัพพายัพได้เข้ายึดเชียงตุง เมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๖ ถึง พ.ศ. ๒๔๘๘ ผู้ที่ได้ไปเห็นเชียงตุงมาแล้ว ก็มักจะพากันกล่าวตำหนิเชียงตุงไปในแง่ร้ายต่างๆ ว่า เป็นบ้านป่าเมืองดอน หาความเจริญอันใดมิได้ พากันลืมคิดไปว่าบรรพบุรษของไทยเราเดิม ก็อยู่ในดินแดนอันเป็นป่าเขาแถบยูนานและสิบสองปันนา เหนือแคว้นเชียงตุงไปเสียอีก เราได้หนีลงมาสู่ดินแดนอันอุดมสมบูรณ์แล้วก็เลยลืมของเก่าของเดิมไปเสีย อันที่จริงเมืองเชียงตุงนี้ หาใช่เป็นเมืองป่าเถือนที่ไร้ความเจริญดังความเข้าใจของคนทั่วไป เมื่อตรวจดูประวัติศาสตร์ของเชียงตุงแล้ว เราจะรู้สึกว่าเป็นเมืองเก่าแก่ ที่ได้รับแสงอารยธรรม จากลานนาไทยมาก่อน จากพม่าและอังกฤษ เป็นลำดับต่อมา เมืองเชียงตุงสร้างามาได้ประมาณ ๘๐๐ ปีมาแล้ว โดยพวกระว้า เป็นผู้สร้างขึ้นก่อน ต่อมาพระยาเม็งรายไปตีได้เชียงตุงจึงมาขึ้นอยู่กับลานนาไทย ครั้งตกมาสมัยพม่าเรื่องอำนาจ เชียงตุงก็หลุดไปขึ้นกับพม่า และติดตามพม่าไปอยู่ในร่มธงของอังกฤษ เมื่ออังกฤษปล่อยพม่า มาเป็นอิสระ เชียงตุงจึงคงเป็นรัฐหนึ่ง ของสหภาพหม่าต่อมาจนบัดนี้ เชียงตุงมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่า “เขมรัฐ” ตามตำนานเมืองเชียงตุงกล่าวว่า เดิมฤาษีหนึ่งมีนามว่า จันทสิกขตุงค์ หรือตุงคฤาษี ได้มาระบายนำ้ออกจากสระใหญ่แห่งหนึ่ง และอธิฐานของให้ที่นี้กลายเป็นเมืองขึ้น เมื่อนำ้ไหลไปหมด คงเหลือเป็นหนองอยู่ตรงกลางแห่งหนึ่ง จึงให้ชื่อว่า “หนองตุง “ และเมื่อสร้างเมืองขึ้น ก็เรียกชื่อเมืองว่า “เชียงตุง “ ตามนามของตุงคฤาษีนั่นเอง ส่วนชื่อ “เขมรัฐ “ นั้นไม่ปรากฎชัดว่า ได้มาอย่างไร คงปรากฎในประวัติศาสตร์เชียงตุงเพียงว่าในแผ่นดินเจ้าแก้วบุญนำฯ จุลศักราช ๘๙๘( พ.ศ. ๒๑๐๓ ) พระเจ้าแผ่นดินพม่า ได้ตั้งชื่อให้ว่า “รัตนภูมินทะนรินทาเขมาธิปติราชา “ ซึ่งมีความหมายว่าเป็นเจ้าผู้ครองนครเขมรัฐนับเป็นองค์แรก และเจ้าผู้ครองนครเชื่ยงตุงต่อมาก็มีความว่า “เขมาธิปติราชา “ ต่อท้ายทุกองค์ อีกทางหนึ่งก็พอสันนิษฐานได้ว่า เหตุที่เชียงตุงมีนามว่า “เขมรัฐ” ก็คงเนื่องมาจากแต่เดิมนั้นเมืองเชียงตุงมีโรคภัยไข้เจ็บชุกชุมมาก ใครจะไปครองเมืองก็อยู่ได้ไม่นาน จึงต้องเอาเมืองถวายสงฆ์ ดังจะได้กล่าวต่อไป พระสงฆ์จึงต้องเปลึ่ยน ชื่อเมืองเสียใหม่ “เขมรัฐ “ ซึ่งแปลว่าแผ่นดินหรือประเทศที่เกษมสำราญก็อาจเป็นได้ ชื่อเมืองเชียงตุงนี้ ชาวเมืองเขายังผูกเป็นปริศนาไว้ว่า “เจ็ดเชียง เก้าหนอง สิงสองประตู “ ซึ่งนับว่าเป็นเครื่องชี้ลักษณะของเมืองนี้เป็นอย่างดี กล่าวคือในเมืองเชียงตุงนั้น มีชื่อหมู่บ้านต่างๆ อันขึ้นต้นด้วย “เชียง” อยู่ 7 แห่ง มีหนองอยู่ 9 หนอง และมีประตูเมืองอยู่ 12 ประตู เชียง 7 แห่ง มีเชียงยืน, เชียงจันทร์, เชียงลาน, เชียงงาม , เชี่ยงขุ่ม, เชียงจีน , และเชียงจาม แต่ความเป็นจริงยังมีอีกถึง ๕ เชียง คือ เชียงกอง, เชียงพร้าว , เชียงแก้ว , เชียงอิน และเชียงคำ หนอง ๙ หนอง มีหนองตุง, หนองเย , หนองยาง, หนองท่าช้าง , หนองแก้ว , หนองไค้ , หนองป่อง, หนองผา และหนองเข้ ประตู ๑๒ ประตูคือ ประตูเชียงลาน ,ประตูป่าแดง , ประตูม่าน, ประตูผา , ประตูนำ้บ่ออ้อย , ประตูไกไฮ, ประตูยางปิ๋ง, ประตูหนองเหล็ก, ประตูยางคำ, ประตูแจนเมือง, ประตูผายัง และประตูงามฟ้า คำว่า “เชียง” เราหมายความถึง “เมือง” หรือ “เวียง” ในเมืองเราที่มีชื่อ “เชียง” ขึ้นหน้าก็เป็นเมืองใหญ่ หรือเคยเป็นเมืองใหญ่มาแต่โบราณแล้ว เช่น เชียงแสน, เชียงราย , เชียงของ , เชียงคำ , เชียงใหม่, เชียงดาว , เชียงคาน ฯลฯ แต่เชียงตุงเขาเอาไปตั้งเป็นชื่อละแวกบ้านเล็กๆ น้อย ๆ เสียจนพร่ำเพรื่อไปหมด เขาจะมีความหมายของเขาอย่างไรก็ไม่ทราบได้ ทำไมเมืองเชียงตุงจึงมีหนองถึง ๙ หนอง ก็ดูเป็นของแปลกไม่น่าเชื่อ แต่ก็มีจริงๆ หนองตุงเป็นหนองใหญ่อยู่เเกือบกลางเมือง มีนำ้ตลอดปี นอกจากนั้นเป็นหนองใหญ่บ้างเล็กบ้าง ที่ตื้นเขินจนไม่เป็นหนอง เหลือแต่ชื่อก็มี เป็นที่ลุ่มสำหรับเพาะพันธุ์ยุงก็มีมาก หนองเหล่านี้อยู่ในกำแพงเมือง ส่วนที่อยู่นอกเมืองก็ยังมีอีกหลายหนอง เรื่องหนองในเมืองเชียงตุงนี้ พิเคราะห์ดูตามตำนานที่ว่าตุงคฤาษีมาระบายนำ้ออกและอธิษฐานให้เป็นบ้านเป็นเมืองดังกล่าแล้วนั้น ก็ดูมีเหตุผลอยู่ เชียงตุงตั้งอยู่ในแอ่งกลางเขา มีทางระบายนำ้ออกแห่งเดียวคือ นำ้เขินที่ไหลสู่นำ้โขง ถ้านำ้เขินถูกปิดด้วยเหตุใดก็ตาม เมืองเชียงตุงก็จะถูกนำ้ท่วม ดังที่ปรากฎในตำนานเมืองที่จะกล่าวต่อไป. ส่วนประตูนั้น เชียงตุงมีกำแพงธรรมชาติคือภูเขาบางตอน ตอนที่เป็นที่ราบจึงก่อเป็นกำแพง มีประตูออกรวม ๙ ประตู แต่ขณะนี้เปิดใช้เป็นทางเดินเพียง ๔ - ๕ ประตูเท่านั้น ตอนทัพไทยเข้าตีเชียงตุงเมื่อ ๑๐๐ ปี เศษมาแล้ว กำแพงและประตูเมืองเหล่านี้คงจะสำคัญในการป้องกันเมืองไม่น้อยทีเดียว แต่เวลานี้ไม่มีประโยชน์เช่นเดียวกับกำแพงพระนครของเรา ภูมิประเทศที่ตั้งเมืองเชียงตุงนี้ไม่มีที่ราบเลย ที่ไม่ใช่หนองก็เป็นเนินสูงบ้างตำ่บ้าง ถนนที่มีในเมืองก็คดเคี้ยว ไปตามธรรมชาติ มีตรงอยู่สายสองสายสั้นๆ เนินเขาสูงเขาเรียกว่า “ จอม” มีจอมสัก, จอมทอง , จามใหม่ , และจอมมน แคว้นเชียงตุงนี้มีพิ้นที่มากกว่ารัฐใดๆ ในสหรัฐฉาน คือประมาณครึ่งหนึ่งของแผ่นดินไตเงี้ยว ทางฝากตะวันตกของสาละวินทั้งหมดรวมกัน ถ้ายกแคว้นละว้า (Wa State ) ซึ่งอยู่ทางเหนือออกเสีย ทางฟากตะวันออกของนำ้สาละวิน เหยียดลงมาทางใต้ ถึงเมืองสาด เมืองหางก็เป็นดินแดนของเชียงตุงทั้งหมด แบ่งการปกครองออกเป็นเมือง (อำเภอ ) ที่สำคัญนอกจากเมืองเชียงตุงก็มี เมืองยอง, เมืองเลน,เมืองโก ,เมืองขาก , เมืองเป็ง, เมืองสาด. ซึ่งส่วนมากซุกซ่อนอยู่ในป่าเขาทั้งนั้น มีทางรถยนต์สายเดียวจากพม่าข้ามแม่นำ้สาละวิน มาเมืองเป็ง-เชียงตุง- เมืองเลน เมืองโก ถึงท่าขี้เหล็ก ชายแดนติดต่อกับอำเภอแม่สายของเรา เราเรียกชาวเชียงตุงว่า “เงี้ยว” แต่เขาจะบอกว่าเขาไม่ใช่เงี้ยว เช่นเดียวกับคนไทยทางภาคกลาง เรียกคนภาคเหนือว่า “ลาว” แต่คนภาคเหนือเขาก็ว่าเขาไม่ใช่ “ลาว “ เขาเป็น “คนเมือง” ต่างหาก ความจริงคนเชียงตุงไม่ใช่ “ไทยเงี้ยว “ แต่เป็นคนไทยอีกพวกหนึ่งเรียกว่า “ไทยเขิน” หรือเรียกให้ตรงตามสำเนืยงของเขาว่า “ขืน” ตามตำนานหรือประวัติเมืองเชียงตุง ไทยเขินไปจากทางใต้ไปอยู่เมืองเชียงตุง ตั้งแต่สมัยสร้างเมืองเจ้าผู้ครองนครเชียงตุง ซึ่งภายหลังเมื่อพม่าเข้าครองเรียกว่า “เจ้าฟ้า “ นั้นก็เป็นคนเชื้อชาติ “ขืน” มาจนบัดนี้เมืองเชียงตุงจึงได้ชื่อว่าเป็นเมืองเขินเครื่องจักสานทารักจากเชียงตุงก็ได้ชื่อว่า “เครื่องเขิน “ แม่น้ำสำคัญที่ไหลผ่านเชียงตุง ไปลงแม่นำ้โขง ก็มีชื่อว่า “น้ำเขิน” ชาวเขินเขามีความภูมิอยู่เสมอว่า เขาเป็นชาติที่เจริญมีวัฒนธรรมเป็นของเขาเอง แต่ความจริงธรรมเนียมประเพณีต่างๆ เขาเอาไปจากไทยลานนาของเราเป็นส่วนมาก ภายหลังเอาไปผสมกับของไทยเงี้ยว ซึ่งได้มาจากพม่าอีกต่อหนึ่ง แต่อย่างไรก็ดี ภาษา และหนังสือของไทยเขิน ก็ยังแสดงอยู่ว่า เป็นญาติใกล้ชิดของไทยลานนา คือหนังสืออ่านกันได้ ภาษาก็พอฟังกันออก ความจริงชาวเขิน มีลักษณะพิเศษกว่าไทยเงี้ยวหลายอย่างคือ มีรูปร่างและผิวพรรณหมดจดงดงามกว่าไทยเงี้ยว หมดด๊อดผู้เเขียนเรื่อง “ The Tai Race “ กล่าวว่า ญี่ปุ่นเคยมาตู่เอาว่า คนชาติเขินสืบเชื้อสายมาจากพวกเขา และเมื่อสงครามญี่ปุ่นคราวที่แล้ว นายทหารญี่ปุ่นก็เคยไปถามพวกเชียงตุงว่า รู้หรือไม่ว่าชาวเขินกับญี่ปุ่นเป็นสายเลือดอันเดียวกัน ซึ่งเท่ากับว่านำความฝันไปเล่าให้ฟัง ใครจะหลงเชื่อไปได้ ในเมื่อชาวเขินส่วนมากมีร่างสูง ตาใหญ่ ปากกว้าง และอยู่ห่างไกลจากดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัยหลายพันโยชน์ ชาวเชียงตุง นิยมการแต่งกาย ตามประเพณีของเขาคือ ผู้ชายนุ่งกางเกงขากว้าง สวมเสื้อแขนยาวตัวสั้นแบบเสื้อพม่าโพกศีรษะด้วยผ้าทิ้งชายตั้งขึ้นบน ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงยาวถึงตาตุ่ม สวมเสื้อแขนกระบอกเกล้าผมตั้งสูงไว้กลางศีรษะ แต่เวลานี้ หันไปนิยามขอดผมไว้ ข้างหลังบ้างแล้ว ผู้หญิงชอบเคียนกัวด้วยผ้าขนหนู เขาว่าใช้ประโยชน์ ได้หลายอย่าง รัอนก็เคียนหัว หนาวก็ห่มได้ อาบนำ้หรือล้างหน้าก็ใช้เช็ดตัวเช็ดหน้า ง อาหารของชาวเชียงตุงเขาใช้ถั่เน่า (ถั่วเหลือง หมักแล้วทำเป็นแผ่นตากแห้ง ) เป็นเครื่องปรุงแทนกะปิ ปลาร้า นิยมอาหารมันกันมาก ซึ่งก็นับว่าเหมาะกับเมืองที่มำอากาศหนาว อาหารพิเศษที่ชาวบ้านชอบกินคือ ขนมจีน ที่เราเรียกกันทางภาคเหนือว่า “ขนมเส้นนำ้เงี้ยว” กินกับหนังทอดเรียกว่า “หนังปอง “ คือหนังควายหรือหนังวัวแห้งแช่นำ้มันตากไว้ แล้วเอามาทอดกินกับขนมเส้นตอนเช้าแทนกาแฟ ชาวเชียงตุงไม่นิยมกินหมาก แต่ชอบบุหรี่กันแทบทุกคน “ยาไชโย “ แบบพม่าเป็นที่นิยมกันทั่วไปทั้งชายและหญิง บ้านเรือนในเชียงตุงหาเรือนไม้ ดีๆ ได้ยาก เพราะไม้ห่างไกลเมืองอยู่บนเขาสูงๆ คนจึงนิยมก่อตึกอยู่ แต่ก็เป็นตึกอัฐดิบเสียมาก เพราะกันดารฟืน เรือนราษฎรมักทำฝาเตื้ยๆ กันความหนาว มีเตาไฟอยู่กลางเรือน สำหรับนอนผิงหน้าหนาว คล้ายฝรั่งมีเตาผิงในบ้าน ชาวเชียงตุงทั่วไปนิยมการค้าขายมาก ก็คงจะเป็นเพราะอาศัยการทำนาได้น้อย เพราะที่ราบหายาก การค้าขายติดต่อกับชาวดอยและพ่อค้าต่างถิ่น วันตลาดในเชียงตุงเขากำหนดให้มี ๕ วัน ถึงตลาดใหญ่ครั้งหนึ่ง เรียกว่า “วันกาดหลวง” เขานับดังนี้ กาดหลวง-วายกาดหลวง-กาดลี-วายกาดลี-กาดข่วง (คำว่ากาดแปลว่า ตลาดนั้นเอง ทางภาคเหนือก็เรียกกาดเหมือนกัน ) ในวันกาดหลวง มีคนจากที่ไกลๆ นำของมาขาย พวกชาวดอยก็นำของมาขายในวันนั้น มีสินค้าทุกชนิดนำมาวางขายในตลาด วัด “วายกาดไ คือวันที่เว้นไม่มีตลาด แต่ก็มืของมาขายบ้างเล็กๆ น้อยๆ วัน “กาดลี” รองจากกาดหลวง คนในเมืองและบ้านใกล้เคียง มาตลาดในวันนั้นส่วน “กาดข่วง “ รองจากกาดลีลงไปอีก มีคนน้อย โดยมากเป็นการขายอาหารและของใช้ประจำวัน การมีตลาดใหญ่ ๕ วันครั้งนี้เป็นที่นิยมทั่วไปในสหรัฐฉาน ทั้งนี้คงจะเนื่องจากคนชาวดอยซึ่งอยู่ห่างไกลจะมาบ่อยไม่ได้ นอกจากนี้ในวันวายกาดเขาก็มีตลาดตามตำบลนอกออกไปเป็นกำหนดแน่นอนเช่นเดียวกัน ผู้ไปเทียวเชียงตุงหรือแคว้นอื่นในสหรัฐฉานจึงจำเป็นต้องรู้กำหนดวัดตลาดของเมืองนั้นๆ และควรเลือกไปเที่ยวในวัน “กาดหลวง” จึงจะได้เห็นของดี เครื่องชั่งนำ้หนักที่ชาวเชียงตุงใช้ในตลาดเขาใช้โลหะหล่อเป็นรูปสัตว์ต่างๆ เป็นลูกตุ้มบอกนำ้หนัก เป็นมาตราฐาน เช่น รูปไก่ ,นกเสือ , เป็นต้น คนที่ไม่มีก็เอาก้อนอิฐก้อนหินมาชั่งเทียบกับตัวสัตว์เหล่านั้นว่าก้อนไหนหนักเท่าไร แล้วเอาไปวางในตาเต็งชั่งของมาตราชั่งน้ำหนักของเขามีดังนี้ ๑๐ จั้บเป็น ๑ ขัน , ๑๐ ขันเป็น ๑ จ๊อย, จั้บเทียบได้ประมาณ ๑๖.๒๕ กรัม ๑ จ๊อย (อังกฤษว่า Viss ) ประมาณ ๑๖๒๕ กรัม ส่วนการวัดทางยาวเขานิยมใช้วาและศอก เช่นการซื้อขายผ้าเขาคิดกันเป็นศอก การศาสนา ชาวเชียงตุงนับถือพระพุทธศาสนา ศาสนาคริสเตียนที่พวกโรมันคาทอลิก และ เพรสไบเทเรียนมิสชั่นนำเข้าไปเผยแพร่ในเชียงตุงไม่ได้ผลสำหรับชาวเมือง เขาจึงหันเข็มไปบนดอยกันหมด ในเมืองเชียงตุงมีวัดมาก บริเวณเมืองเดินราวชั่วโมงกว่าก็รอบ แต่มีวัดกว่า ๒๐ วัด บางวัดสร้างมาแต่สมัยโบราณ ๕๐๐- ๖๐๐ ปีมาแล้ว เช่นวัดหัวข่วง วัดพระแก้วและวัดจอมทอง สร้างเมื่อท้าวผายูส่งโอรสไปครองเมืองเชียงตุงเมือง ๖๐๐ ปีมาแล้ว วัดป่าแดงตามตำนานเมืองก็ว่าสร้างมาได้ ๕๐๐ ปีเศษมาแล้ววัดเหล่านี้ได้รับการปฏิสังขรณ์กันต่อๆมาจนปัจจุบันนี้ การทนุบำรุงพระพุทธศาสนายังไม่ปรากฎว่าได้จัดทำกันอย่างจริงจัง เคยปฏิบัติอย่างใดก็คงไว้อย่างนั้นประเพณีบวชเณรที่เรียกว่า “บวชลูกแก้ว” อย่างที่ทางภาคเหนือของเรานิยมกันนั้น ทางเชียงตุงถือปฏิบัติกันเคร่งครัดมาก ในพม่าก็เช่นเดียวกันเขาถือว่าการบวชลูกแก้วนั้นได้บุญมาก เด็กผู้ชายอายุย่างเข้า ๑๑-๑๒ ปี พ่อแม่พี่น้องก็จะต้องจับบวชเณรกันหมด ก่อนเข้าพรรษาราวเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน เราจะได้ยินเสียงแต่เสียงกลองสนั่นหวั่นไหวทั้งกลางวันกลางคืน เป็นพิธีฉลองลูกแก้ว ผู้ที่ไม่มีลูกชายหลายชายก็จะต้องพยายามหาลูกของมิตรสหาย หรือเด็กกำพร้ามาบวชเป็นลูกแก้วของตน ในกรณีเช่นนี้ เด็กที่เป็นลูกแก้วจะต้องเคารพนับถือ ผู้ที่เอาตนมาบวชเป็นบิดามารดา สึกออกมาอาจจะต้องมาอยู่ในครอบครัวนั้นจนกระทั่งแต่งงานไป การนิยมบวชเณรหรือบวชลูกแก้วนี้เขาให้เหตุผลว่า เด็กอายุ ๑๑- ๑๒ ปีนั้นมีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เกี่ยวข้องในทางโลกีย์ เปรียบได้กับดวงรัตนมณีอันไม่มีรอยแตกร้าว เมื่อนำไปบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมได้กุศลแรง ดังนี้ประเพณีบวชลูกแก้วของเขา (รวมทั้งภาคเหนือของเราและพม่าด้วย) จึงยังคงถือปฏิบัติกนอย่างเคร่งครัดตลอดมา ด้วยเหตุนี้ในวัดหนึ่งๆ จึงมีพระภิกษุเพียงรูปสองรูป ส่วนสามเณรมีมาก วิ่งเล่นเกรียวกราวราวกับว่าเป็นโรงเรียนโรงหนึ่งทีเดียวซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้นเพราะในระหว่างบวชเณรนั้นพระท่านก็สอนหนังสือให้ด้วย (ทางภาคเหนือของเราเมื่อบวชเณรอยู่สักหนึ่งปีสองปีก็สึกออกมาและได้คำนำหน้าชื่อว่า “น้อย “ ถ้าบวชเป็นพระสึกออกมาเขาเรียกว่า “หนาน” ถ้าพี่น้อยกับพี่หนานไปแอ่วสาวด้วยกัน พี่หนานจึงเสียเปรียบพี่น้อยเสมอ) เมื่อสึกออกจากสามเณรมาแล้วมาอยู่กับพ่อแม่ได้สักปีสองปีก็พอดีแตกเนื้อหนุ่ม ตาสอดส่ายหาสาวที่จะเอามาเป็นคู่ครองต่อไป ถ้าเป็นลูกผู้ดีมีเงินพ่อแม่ก็จะช่วยจัดการสู่ขอและแต่งงานให้ตามประเพณี พิธีสู่ขอและแต่งงานของชาวเชียงตุงคล้ายกับของชาวเหนือของเราคือมีการ”สู่ขวัญ” และมัดมือ โดยเฒ่าแก่ผู้ประกอบพิธีทั้งผ่ายหญิงผ่ายชายกล่าวถ้อยคำโต้ตอบกันดังจะได้ตัดตอนมาเขียนไว้พอเป็นตัวอย่างต่อไปนี้ เมื่อนำพานใส่เครื่องขันหมากซึ่งมี กล้วย อ้อย ไข่ และหมากพลูบุหรี่มาตั้งเป็นพิธีแล้าเฒ่าแก่ผ่ายหญิงก็จะกล่าวคำต้อนรับดังนี้ “หมู่รุมชุมตา หมู่เฒ่าชุมขุน หมู่พี่ชุมน้อง หมู่ป้าน้าอา หมู่ญาติหลายมวลหมู่ ก็มาอยู่ที่นี่แต่เช้าก็ยังวัน อยู่ละมองกองท่า กองหันหน้าลูกหลานทั้งสอง แต่เช้ายังวันดังว่าแหล่ ฯลฯ ดีแลลูกหลานทั้งสอง มาหาสังและมาฮอด มาแผวจอดลุงตา จุ่งค่อยกินพลูยาและนำ้ ลุงตาพรำ่เอาธรรม การคำมีถาวข่าว อยู่ด่านด้าวเมืองใด อยู่ไกลหรือว่าใกล้ หลงได่เต้าเตียวมา อยู่วันตกหรือวันออก อยู่ซอกใต้หรือหนเหนือ จักเมืองไหนมาฮอดนี้ ใครฮู้ที่อันมา ฮู้ว่าเป็นพานิชาพ่อค้า มาแอ่วหล้าหาสัง ลูกหลานยังประโยชน์ เขื่อจุงโอษฐ์มาพลัน เป็นฉันใด บอกเหตุ ตามด้วยเพศอันมา จักว่ามาหาม้า ก็บ่หันพาแค จักว่ามาหาวัวแห ก็บ่หันพาเชือก ฮู้ว่าใคร่ได้ของ ดโภเทิก ใคร่ได้แก้วได้แสง อันแปงเมืองค่าล้าน ลุงตาจักผ่านหื้อแทนปัน คือมณ๊จันทร์สุกใสส่อง รัศมีปล่องหกประการ ผิลูกหลานยังใคร่ได้ จุ่งไขเงื่อนคำ เคืองเยื่ยงฉันใด พอหื้อขีดไขไหว้สา กับลุงตาพ่อแม่ อันแผ่ถ้อยตามไปหนึ่งรา ฯลฯ แล้วเฒ่าแก่ผ่ายชายก็จะกล่าวตอบดังนี้ “ดีแลฮู้ แจังถี่ดีหลี บัดนี้ลูกหลานทั้งสอง อยู่เชียงของฝ่ายหน้า มาต้านว่าคำเคือง เคีองใจด้วยพี่ข้า ลุงข้าแต่งใช้มาขอไกว่แก้วไกว่แสง ขอฮักขอแปง ขอเอาหน่วยตาหัวใจกับลุงตาพ่อแม่ ดีนักแหล่ลลูกหลาน ค่อยจาหวานโอษฐ์ฟั่ว ตามด้วยหลัวเครือมาบ่อฮื้อราคาเสียเปล่า ดังว่าแหล่ อันว่าไกว่แก้วและไกว่แสงนั้นนา ก็หากดีแท้แลเจ้า แสงลูกนี้บ่อเหมือนเผ่าแก้วเปิ้นทั้งหลาย อันเปิ้นทำขายในภาค ลูกนี้เมฆชาติแก้วลอดฟ้าแสงดี บ่มีเหมือนสักที ลูกนี้แก้วแสงปี่ (มรกต ) ผิวขาว รัศมีพราวสอาด เป็นดั่งชาติเงินขา อันช่างทำมาหลอมหล่อ ย้อมแล้วผ่อดูงาม นั่นแหล่ ผิลูกหลานยังใคร่ได้ กดค่าไว้ดูหลายช้างพลายสารอ่านฮ้อย ข้าใหญ่น้อยหญิงชาย วัวควายหลายม้าเครื่อง พอฮ้อยเยื่องเสมอกัน คำแดงฮ้อยนิกพรรณค่าใหญ่จึงจักได้สมควร ชาแหล่ ผิลูกหลานบ่มาหาฮื้อได้ ข้าช่วยให้หญิงชาย ก็จักได้คืนตายเสียเปล่า จักเสียประโยชน์เจ้าเขือมาดังว่าแหล่ “ “ดีแลลูกหลานทั้งสอง คำปากวอนจวม่อ มาขอต่อลุงตา ว่าลูกคนผานหลานคนทุกข์ ปั้นน้ำหินก็บ่มา ปั้นน้ำผาก็บ่ออกยอกบ่ได้บ่แขวน แปนมือซ้อยบ่ได้เงินแสน แปนมือขวาบ่อได้คำหมื่น แม้นจักตื่นคืนตาย ก็ดีอายเพื่อนบ้าน..ที่แปดฮ้อยหากสมควรราคา...” ต่อจากนี้ก็เป็นเรื่องพูดจาต่อรองกัน จนในที่สุดก็ตกลงนัดวันแต่งงาน ในพิธีแต่งงาน เขาก็มีคำกล่าวของผู้เฒ่าที่เขาเรียกว่าอาจารย์ผู้ทำพิธิดังนี้ “อัจจะสุ อัจจะชัยโย อัจจะมังคโล อัจจะวาโห วิวาโห อัจจะทาโน อัจจะเตโช อัจจะลาโภ อัจจะอุตตโม ดีหลีแล” อัจจะในวันนี้ผู้ข้ามีคำปากหลานสมาต่อเฒ่าแก่พ่อแม่พี่น้องทั้งหลายก่อนข้า บัดนี้ยังมีลูกตาอาวอาทั้งสองผัวเมืย มีลูกหญิงคิงขาว เลื้ยงแต่เมื่อฝ่ามือยังค่า (เท่า ) เกล็ดหอย ฮอยตีนยังค่าสองนิ้ว เลื้ยงด้วยข้าวแม่อม เลี้ยงด้วยนมแม่ย่า เลี้ยงด้วยอ้อยเล่มหวาน เลี้ยงด้วยตาลลูกใหญ่ เลื้ยงด้วยไข่ลูกขาว ก็จึงใหญ่มาพอเป็นสาว ยาวมาพอเป็นชู้บ่าว ที่ไกลก็บ่สู้ ชู้ที่ใกล้ก็บ่มาหาแท้แหล่ “ แล้วต่อจากนี้ก็กล่าวถึงผู้ชาย มีถ้อยคำคล้ายๆ กันที่ต่างกันบ้าง คือ. “ …เลี้ยงด้วยนมแม่ย่า เลี้ยงด้วยแสนตัวปลา เลี้ยงด้วยแสนขาไก่ อุ้มไปนาพาไปไฮ่ ก็จึงใหญ่มาพอดี ไปสูตรเฮียนเขียนอ่าน แล้วจึงสึกรามตามผ้า มาเป็นบ่าเพียงเลียว ไปแอ่วสาวบ้าวไต้เปิ้นก็บ่เอื้อ ไปแอ่วสาวบ้านเหนือเปิ้นก็บ่ต้าน ไฝแอ่วสาวนอกบ้านเปิ้นก็บ่เอา...” ต่อจากนี้ว่าถึงคนไปเที่ยวเสาะแสวงหาผู้หญิง และได้พบพูดจารักใคร่กัน จนให้พ่อแม่มาสู่ขอหญิงจนได้ทำพิธิแต่งงานกัน ตอนท้ายว่า “บัดนี้ยังมีไก่ต้มตั้งเงินปันลำเทียนตั้งเงินฮ้อย กิ่งก้อยตั้งเงินปัน มาวันจนต่อพ่อแม่...ให้เป็นผัวรักเมืยแปง ผัวแสงให้เมียหวาด ผัวขาอให้เมืยคม...” ตามนี้เราจะพบคำที่เป็นภาษา ทางถาคพายัพบ้าง ทางภาคอิสานบ้าง และบางคำก็เป็นคำไทยเงี้ยวฟากตะวันตกสาละวินปนกันอยู่ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ภาษาไทยเขินนี้ส่วนมาก เหมือนภาษาไทยภาคพายัพมาแต่เดิม ครั้งภายหลังได้นิยมคำไทยเงี้ยว มาเป็นภาษาพูดมากขึ้นทุกที เพื่อเป็นความรู้เกี่ยวกับภาษาและสำเนียงของชาวเชียงตุง จะขอนำหลักของคำเชียงตุงมากล่าวไว้สักเล็กน้อย ชาวเชียงตุงทุกพวก เช่นเดียวกับชาวไทยตะวันตกสาละวิน ออกเสียงพยัญชนะ และสระบางตัวไม่ชัด พวกพยัญชนะมี จ. เป็น ส. หรือ ซ. เช่นเรียกเจ้าว่า เส้า (อังกฤษเลยเขียนตามเสียงนี้เป็น Sao เช่นเจ้ากองไต เขียนเป็น Sao Kongiai เจ้าฟ้า เป็น Sawbwa ตามเสียงพม่าอีกทอดหนึ่ง ฉ.ช. ไม่ค่อยชัด มักเป็นเสียง จ. บ้าง ส. หรือ ซ. บ้าง ด. เป็นเสียง ล. เช่น ได้ว่าไล่ ดอยว่า ลอย ถ้าพยายามพูดเป็นเสียง ด. ก็มักเลยไปเป็น ต. เสียหมด บ. เป็นเสียง ว. เช่นบ้านว่า ว่าน บาทว่าหวาด ถ้าพยายามออกเป็นเสียง บ. ก็มักเลยไปเป็น ป. เสีย ฝ. เป็น ผ. เช่น ฝ้าย ว่า ผ้าย ฝิ่น ว่า ผิ่น ฟ. เป็น พ. เช่น ฟ้า ว่า พ้า ฟุต ว่า พุต สระที่ออกเสียงไม่ชัดมี เอีย เป็น เอ เช่นเมียว่า เม เทียน ว่า เทน เอีย เป็น เ-อ เช่นเสือว่า เสอ เฟืองว่า เพิ่ง (ฟาง) อัว เป็น โ- เช่นหัวว่า โห นวนว่า โนน ท่านลองอ่านประโยคต่อไปนี้ดู ถ้าท่านไม่เคยรู้มาก่อนก็จะไม่เข้าใจเลย วันไน้เส้าพ้ากว่าไหล เปิ้นเมอเมิงม่าน เลินออกใหม่จักป้อก กะไน้มีโคหนำ ซิ้อเส้ง ชาวหวาด ในประโยคเหล่านี้ มีคำไทยเงี้ยวปนอยู่หลายคำ เช่น ไน้ (นี้) กว่า (ไป) หนำ (มาก) คำแปลคือ วันนี้เจ้าฟ้าไปไหน ท่านไปเมืองพม่า เดือนหน้าข้างขึ้นจึงจะกลับ ที่นี่มีของมาก ซื้อหมดยี่สิบบาท คนเชียงตุงมีอยู่ ๓ พวก คือ เขิน ไทยเหนือ และเงี้ยว พวกเขินเป็นเจ้าของถิ่นเดิม มีอยู่ทั่วไปทั้งในเมืองและนอกเมือง เจ้าฟ้าเป็นไทยเขิน พวกไทยเหนือเป็นพวกที่มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในยูนาน ที่เชียงตุงไทยเหนือ ตั้งบ้านเรือนรวมกันอยู่นอกเมือง คือ บ้านชาวแปด บ่อเรือหนองคำ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และตะวันออกของเมือง ไทยเงี้ยวหรือที่เรียกกันว่า ไต อยู่ที่บ้านจอมบนหรือจอมมน ทางทิศใต้ของเมือง ทั้งสามพวกนี้เราดุกันไม่ออกว่าใครเป็นพวกไหน เพราะรูปร่างหน้าตาและการแต่งกายไม่ค่อยผิดกันเสียแล้ว. ในเมืองเชียงตุงมีที่เที่ยวน้อย เพราะเป็นเมืองเล็กเดินราวๆ สองชั่วโมงก็รอบเมือง แต่ที่ควรไปดูก็มีวัดเก่าๆ และหอหลวง ซึ่งเป็นสิ่งปลูกสร้างแบบอินเดีย นับเป็นของแปลกในเมืองเชียงตุง เจ้าฟ้า เฒ่า (เจ้าก้อนแก้วอินแถลง) ได้สร้างขึ้นหลังจากที่ไปประชุมที่ประเทศอินเดียมาแล้ว ดอยเหมย อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงไต้ของเมือง ระยะทางประมาณ ๓๐ กว่ากิโลเมตรเป็นดอยสูง มีอากาศเย็นตลอดปี บนเขาลูกนี้เป็นที่ราบกว้างขวาง อังกฤษได้เอากองทหารไปตั้งจึงกลายเป็นบ้านเมืองขี้น การเที่ยวเชี่ยงตุง ควรจะเป็นฤดูที่เขามีงานปอย (Pwe) คือตั้งแต่ฤดูหนาว เป็นต้นไป ชาวเชียงตุงนิยมมีงานกันมากและทุกงานเขาขออนุญาติเล่นการพนันกันอย่างสนุกสนาน โดยมากเป็นงานในเวลาพระอยู่ปางวาส (ปริวาส) ในเวลาเปิดงานเจ้าหน้าที่ผู้คุมงานจะให้คนตีฆ้องประกาศว่า ถ้าใครหวงลูกหวงเมืยก็อย่าให้ไปเที่ยวในงานนั้น เมื่อประกาศแล้วหนุ่มสาวจะเล่นหัวหยอกเย้ากันอย่างไรจะถือกันไม่ได้ แม้จะถึงล่วงเกินจับต้องลูกใครเมืยใครก็ห้ามนำไปฟ้องร้องว่ากล่าว แต่ความจริงก็ไม่มีใครกล้าล่วงเกินผิดศีลธรรมจนเกินสมควรไป งานออกพรรษา ชาวเชียงตุงถือว่าเป็นงานสำคัญมาก ในวันนั้นหนุ่มสาวจะนำดอกไม้ธูปเทียนไปบูชาพระตามวัดต่างๆ แต่งตัวอย่างสวยงามไปกันเป็นหมู่ๆ และไปทุกๆ วัดที่อยู่ในเมือง ในเวลากลางคืนจะมีการจุดประทีปโคมไฟ (โดยมากใช้ไม้สนจุดแทนโคมไฟ ) มีกันทุกบ้านทุกเรือน ที่หอเจ้าฟ้ามักจัดให้มีงานรื่นเริง เช่นรำโคม (ชุดไม้สน ) และมหรสพอย่างอื่นๆ ชาวเชียงตุงเป็นนักการค้ากันทั้งเมือง คนมีเงินในเชียงตุงจึงมีมาก เราจะเห็นพวกที่สพายย่าม นุ่งกางเกงขากว้างยาวคาดเข็มขัดหนังขนาดใหญ่ติดกระเป๋าหนังรอบเอว สวมหมวกสักหลาดปีกกว้างกางร่มผ้าสีดำเดินขวักไขว่ ในกระเป๋าหนังรอบเอวเขาจะบรรจุธนบัตรและทองใบในย่ามบรรจุเงินแถบ (รูปี) กับบุหรี่ไชโยมัดใหญ่ เขาเหล่านั้นเป็นพวกที่อยู่ตามตำบลรอบนอกเข้ามาหาซึ้อสินค้าในเมืองไปขาย ผู้ที่มาเดินเที่ยวเปล่าๆดูน้อยเต็มที เราเคยได้ยินว่าเชียงตุงมีม้าดี เป็นม้าพันธุ์ใหญ่ ซึ่งทางราชการทหารเคยสั่งซื้อมาผสมพันธุ์ ความจริงม้าพันธ์ุที่ว่านี้หาใช่ม้าเชียงตุงไม่ เป็นม้าพันธ์ุ แสนหวี ซึ่งพ่อค้าเชียงตุงไปซื้อมาขายอีกต่อหนึ่ง เขาจึงมีคำพังเพยพุดกันว่า ม้าดีม้าแสนหวี สาวดีสาวสีป๊อ ล้อดีล้อเมืองนาย ควายดีควายลายข้า ข้าดีข้าเมืองป๋อน หรือ ม้าหลีม้าแสนหวี สาวฮ่างหลีสาวสี่ป๊อ ล้อหลีล้อเมืองนาย จายหลีเมืองเกงตุ๋ง (หลี ภาษาเชียงตุงแปลว่า ดี) ถ้าท่านต้องการจะพิสูจน์ว่าเป็นความจริงหรือไม่ก็ขอแนะนำว่าเมื่อไปเที่ยวเชียงตุงแล้วก็ควรเลยไปเที่ยวตองกี ลีป๊อ แสนหวี และเลยไปเที่ยวในประเทศพม่าก็ได้ เพราะเขามีทางรถยนต์จากเชียงตุงข้ามแม่นำ้สาละวินที่ท่าก้อไปตองกี และเมืองอื่นๆในสหรัฐฉาน ชม “เก้าเจ้าฟ้าอาณาจักร” เสียก่อน แล้วจะเลยไปเหนือถึงคุนมิงและจุงกิง หรือล่องใต้สู่มันทะเล และแรงกูนของพม่าก็ได้ บ.บุญค้ำ(อดีตศึกษาธิการจังหวัดเชียงราย , อดีตศึกษาธิการ “สหรัฐไทยเดิม” (รัฐเชียงตุง) ขณะที่รัฐเชียงตุงขึ้นกับรัฐบาลไทยสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ )
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง