จากหนังสือ วาทกรรมเสียดินแดน อาจารย์ ธำรงค์ศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์การเสียดินแดนของประเทศไทยเป็นเรื่องที่คนไทยในปัจจุบันได้ยินได้ฟังกันอย่างปกติ ด้วยเหตุนี้ บทสรุปที่ว่าทำไมไทยจึงมีรูปร่างเหมือน”ขวาน” นั้น คำตอบที่ปรากฏขึ้นในใจทันทีคือ เพราะไทยเสียดินแดนจำนวนมากไป ทำให้ดินแดนจึงเหลือเพียงเท่านี้ ส่วนจะเสียกี่ครั้ง? จะเสียให้ใคร? และเสียดินแดนบริเวณใดในประเทศใดปัจจุบัน? ดูจะถูกทำให้เป็นเรื่องรายละเอียดที่ไทยโดยทั่วไปอาจไม่ต้องจดจำหรือทำความกระจ่างให้มากนัก เช่น การอธิบายว่าเสียสิบสองจุไทย หากถามต่อว่า สิบสองจุไทยมีอาณาบริเวณอยู่ตรงไหน อยู่ในประเทศใดในปัจจุบัน ไทยเข้าไปครอบครองเมื่อใด และเสียให้ใครไป เมื่อใดอย่างไร และทราบได้อย่างไรว่ามีอาณาเขตขนาดนั้น คำถามอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ดูจะถูกตัดตอนและไม่จดจำ เพราะการตั้งคำถาม ถามและถามอย่างต่อเนื่อง ย่อมเสมือนเป็นการบ่อนทำลายวาทกรรมการเสียดินแดนที่ได้สถาปนามาเมื่อราว ๘-๙ ทศวรรษที่แล้ว และตอกย้ำอย่างมั่นคงในยุคสงครามเย็น หรือสงครามต่อต้านปราบปรามภัยคอมมิวนิสต์ในช่วงทศวรรษ ๒๔๙๐-๒๕๒๐/ ๑๙๕๐-๘๐ ภายใต้รัฐบาลทหารไทยอย่างยาวนาน.
บทความนี้จึงมุ่งสรุปโดยนำเสนอ ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่งคือกระบวนการสร้างเส้นเขตแดนของประเทศไทยที่ทำให้มีรูปร่างเป็น”ขวาน” ผ่านสำนึกเรื่องเขตแดนดินของชนชั้นนำไทยในยุคเผชิญหน้ากับลัทธิล่าอาณานิคม ประเด็นที่สองคือการสืบค้นการสร้างชุดคำอธิบายการเสียดินแดนที่พัฒนามาเป็นความทรงจำในปัจจุบันของคนไทยทั่วไป
ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ของชาติตะวันตกที่เข้ามายังดินแดนเอเชียในช่วงครึ่งแรกของสมัยรัตนโกสินทร์นั้น ได้นำแนวคิดเกี่ยวกับรัฐยุคใหม่เข้ามาด้วยนั่นคือการที่รัฐประเทศต้องมีเส้นเขตแดนที่แน่นอนมีประชากรที่แน่นอน ต่างจากรัฐแบบโบราณในดินแดนแถบนี้ที่ความไม่แน่นอนของเขตแดนดินแดนและประชากรมีอยู่สูงยิ่ง หรืออาจกล่าวได้ว่ารัฐอาณาจักรแบบเดิม เช่น กรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์ ถูกเข้าแทนที่ด้วย ประเทศสยามหรือประเทศไทย หรือรัฐอาณาจักรของมหาราชาต่างๆในอินเดีย ถูกผนวกเข้าเป็นอาณาบริเวณเดียวกันภายใต้การปกครองของ(บริษัท และรัฐบาล ) อังกฤษ ที่เรียกว่า บริติชอินเดีย อันเป็นรากฐานของประเทศอินเดีย (ปากีสถาน บังกลาเทศ) ในปัจจุบัน
ในแง่นี้ ลักธิล่าอาณานิคมของชาติตะวันตกก็ได้ช่วยสร้าง”ประเทศ” ต่างๆ ในดินแดนเอเชียขึ้นมา ทั้งโดยการรวมดินแดนบ้านเล็กเมืองนัอยต่างๆ ให้ก่อเกิดเป็นประเทศแบบใหม่ที่มีอาณาเขตและประชากรที่แน่นอน มีเมืองหลวงศูนย์กลางการบริหารของอาณานิคม เช่นพม่า มาเลเซีย อินโดนิเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว กัมพูชา เวียดนาม ขณะเดียวกันประเทศมหาอำนาจตะวันตกก็ได้ยอมรับรัฐอาณาจักรแบบเดิมที่มีอำนาจเหนือบ้านเล็กเมืองน้อยบางแห่งนั้นให้กลายเป็นศูนย์กลางของรัฐประเทศแบบใหม่ด้วยเช่นกัน
ในกรณีของไทย อธิบายกันว่า ไทยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมทางดินแดนของชาติตะวันตก แต่ไทยก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคงอยู่ในสภาพประเทศ”กึ่งอาณานิคม” จากการเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตด้านการศาลและการศุลกากรกับอีก ๑๕ ประเทศตะวันตกและญี่ปุ่น ในช่วงยุคสมัยนี้กล่าวได้ว่ากรุงเทพฯ ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในศูนย์อำนาจทางการเมืองที่สำคัญในภูมิภาค ขณะเดียวกัน ผู้ปกครองกรุงเทพฯ ได้ประโยชน์อย่างสำคัญจากลัทธิล่าอาณานิคม และใช้ประโยชน์จากลัทธินี้สร้างประเทศให้เป็นรูป”ขวาน”ขึ้นมา โดยใช้ระยะเวลาถึง ๘ ทศวรรษด้วยกัน นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๓ จนถึงสิ้นสมัยรัชกาลที่ ๕
ภูมิรัฐศาสตร์ของกรุงเทพฯ ศูนย์กลางอำนาจไทยที่ตั้งอยู่ตอนในและนอกเส้นทางเดินเรือหลักของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เป็นปัจจัยสำคัญของการช่วยให้ไทยรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมของประเทศตะวันตก (อังกฤษและฝรั่งเศษ) กล่าวคือ การเคลื่อนไหวทางการค้าและจัดตั้งเมืองท่าคลังสินค้าของเจ้าอาณานิคมนั้นเกิดขึ้นบนชายฝั่งทะเลบนเส้นทางเดินเรือจากยุโรป เลาะเรื่อยมาผ่านชายฝั่งด้านแอฟริกา ตะวันออกกลาง เอเชียใต้ เพื่อมุ่งสู่จีนแผ่นดินใหญ่นั้น ช่องแคบมะละกา(ระหว่างมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย) และช่องแคบซุนดา (ระหว่าเกาะสุมาตรากับเกาะชวา อินโดนีเซีย ) เป็นสองช่องแคบสำคัญในยุคนั้นที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรอินเดียและมหาสมุทรแปซิฟิกเป้าหมายปลายทางด้านการค้าของโลกตะวันตกในหลายศตวรรษ ที่พัฒนาจากเรื่องของหมู่เกาะเครื่องเทศมาเป็นตลาดการค้าและความมั่งคั่งที่เมืองจีนแผ่นดินใหญ่นั้น ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ศุนย์กลางอำนาจของไทย ทั้งกรุ่งศรีอยุธยา และกรุงเทพฯ อยู่นอกเส้นทางผลประโยชน์หลักทางการค้า และความมั่งคั่งในยุคล่าอาณานิคม
ภัยคุกคามด้ายการล่าอาณานิคม ( ช่วงศตวรรษแรกของรัตนโกสินทร์ ที่ชาติมหาอำนาจตะวันตกต้องการดินแดนและรงงานราคาถูกเพื่อผลิตวัตถุดิบด้านสินค้าเพื่อขายในตลาดโลก เช่น ฝ้าย ชา กาแฟ ฝิ่น อ้อยนำ้ตาล ยาสูบ ข้าว ดีบุก ฯลฯ ) ที่มีต่อไทยนั้นมาถึงช้ากว่าอาณาจักรเพื่อนบ้านโดยรอบราวเกือบศตวรรษ คือนับแต่สิ้นสงครามอังกฤษ-พม่าครั้งแรก โดยพม่าถูกยึดครองดินแดนยะไข่ และตะนาวศรีใน พ.ศ. ๒๓๖๙ (ค.ศ.๑๘๒๖) อันทำให้อังกฤษส่งฑูตมาทำ”สนธิสัญญาเบอร์นี” กับไทยในปีเดียวกัน (หรือปีที่ ๒ ของกานครองราชของรัชกาลที่๓ ) ที่สาระสำคัญด้านเส้นเขตแดนคือการยอมรับว่า อังกฤษ-ไทยมีเส้นเขตแดนที่ชัดเจน คือตะนาวศรีของพม่ากับภาคตะวันตกของไทย (จากตากถึงระนอง) และจะทำให้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยคณะกรรมการเขตแดนของสองฝ่ายที่จะ “ชี้ที่แดนต่อกัน “ กระทั่งอีก ๗ ทศวรรษต่อมาที่มกาอำนาจอังกฤษและฝรั่งเศสหลีกเลี่ยงการเกิดสงครามระหว่างกันในภูมิภาคนี้ด้วยการทำ”ปฏิญญาอังกฤษ-ฝรั่งเศส” (the Anglo-French Declaration of 15 January 1896 ) ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘/ ๓๙ ( ค.ศ. ๑๘๙๖ ) “ต้องรักษาความเป็นอิสรภาพของกรุงสยามไว้”
“สนธิสัญญาเบอร์นี” (๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๖๙/ ค.ศ. ๑๘๒๖ ) มี ข้อสัญญา ๑๔ ข้อ ใจความสำคัญคือการตกลงความสัมพันธ์ด้านเขตแดนการค้า และอำนาจทางการเมืองของสองฝ่ายในอาณาเขตของ “หัวเมืองใหญ่น้อยซึ่งขึ้นแก่กรุง” ทั้งสองฝ่าย สนธิสัญญา ๓ ข้อแรกเป็นเรื่องเขตแดนที่ห้ามไม่ให้ทั้งสองฝ่าย “ไปเบียดเบียนรบพุ่งชิงเอาบ้านเมืองเขตรแดน “ ของกันและกัน (ข้อ ๑ ) และหากมีข้อสงสัยถึงความแน่ชัดของเขตแดน ก็ให้มีการไต่ถามกันและแต่งตั้งผู้แทนให้”ไปกำหนดชึ้ที่แดนต่อกัน ให้รู้เปนแน่ทั้งสองข้างโดยทางไมตรี”(ข้อ ๓ ) และห้ามทั้งสองฝ่ายเข้าล่วงเกินอำนาจเหนือดินแดนของอีกฝ่าย คือ ไม่ส่งกำลังเข้าไปจับกุมคนในดินแดนของอีกฝ่ายหนึ่ง (ข้อ ๔ ) ในสนธิสัญญานี้ได้ระบุว่าเมืองขึ้นของอังกฤษ คือ” เมืองเกาะหมาก เมืองมลากา เมืองสิงหะโปรา เมืองมฤท เมืองทวาย เมืองตนาว เมืองเย” โดยสนธิสัญญาข้อ ๑๒- ๑๓ แสดงให้เห็นถึงความกำกวมของอำนาจทางการเมืองของสองฝ่ายเหนือดินแดน “เมืองไทร เมืองตรังกะนู เมืองกลันตัน เมืองเปหระ เมืองสลาหงอ “ โดยข้อ ๑๔ ระบุว่าทำสัญญาเป็น ๓ ภาษา คือไทย อังกฤษ และมาลายู สนธิสัญญาเบอร์นีสะท้อนให้เห็นว่าเขตแดนหรืออาณาเขตของอังกฟษด้านพม่ากับไทยนั้นได้ตกลงกันอย่างชัดเจนแล้ว แต่สำหรับด้านแหลมมลายู ยังมีปัญหาที่กำกวม
สาระสำคัญของ”ปฏิญญาอังกฤษ- ฝรั่งเศส “ พ.ศ. ๒๔๓๘ / ๓๙ (ค.ศ. ๑๘๙๖ ) ฉบับนี้เท่ากับว่า ไทยจะไม่ตกเป็นอาณานิคมของทั้งสองประเทศตะวันตกนี้อย่างค่อนข้างแน่นอน อันแตกต่างจากรัฐอาณาจักรเพื่อนบ้านทั้งใหญ่และเล็ก ที่ปฏิญญาอังกฤษ ฝรั่งเศสฉบับนี้ได้ตกลงไว้แล้วว่าดินแดนข้างตะวันตกของไทยเป็นของอังกฤษ ส่วนดินแดนด้านตะวันออกของไทยเป็นเขตของฝรั่งเศส ทั้งยังระบุให้เห็นอย่างชัดเจนด้วยว่า ดินแดนตั้งแต่แม่นำ้รวก(ฮวก) ที่จังหวัดเชียงราย บรรจบกับแม่นำ้โขงที่สามเหลี่ยมทองคำ ไล่ลงมาเป็นภาคเหนือ ภาคกลาง จนถึงแถบประจวบคีรีขันธ์ในปัจจุบันนั้น เป็นดินแดนของศูนย์อำนาจที่กรุงเทพฯ(ซึ่งไทยกับอังกฤษได้ทำปฏิญญาและแผนที่เขตแดนไทยพม่าของอังกฤษ จากเขตอำเภอแม่สะเรียง แม่ฮองสอน ไล่ขึ้นมาจนถึงสบรวก เชียงราย เมื่อปี ๒๔๓๗/๑๘๙๔
ปฏิญญาอังกฤษ ฝรั่งเศสฉบับนี้ ยังมุ่งเน้นการได้ประโยชน์อย่างเท่าเทียมกันของทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสในดินแดนทุกที่ที่กล่าวถึง ดังระบุถึงผลประโยชน์ทางการค้าในมณฑลยูนนานและเสฉวนของจีน (ข้อที่๔ ) การปักปันเขตแดนของอาณานิคมของสองฝ่ายในแอฟริกา (ข้อ ๕-๖) และการใช้แม่น้ำโขงจากเหนือสบรวกตรงสามเหลี่ยมทองคำจนถึงเขตแดนจีน ให้เป็นเส้นแบ่งเขตแดนพม่าของอังกฤษและลาวของฝรั่งเศส โดยอังกฤษยอมยกเมืองสิงห์ที่อยูด้านตะวันออกของแม่นำ้โขงให้กับฝรั่งเศสด้วย (ข้อ ๓ )
ทว่าในกรณีของไทย แม้อังกฤษและฝรั่งเศสจะตกลง”รักษาความเป็นอิสรภาพของกรุงสยามไว้ “ (ข้อ ๒ ) แต่โดยนัยของปฏิญญา ข้อที่๑ นั้น ฝรั่งเศสได้บอกให้อังกฤษได้รับทราบว่า สนธิสัญญาฝรั่งเศสกับไทยเมือ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๓๖ (ค.ศ.๑๘๙๓ ) นั้น อังกฤษต้องละเว้นการขอประโยชน์อย่างเท่าเทียม เพราะนี้คือเขตอิทธิพลของฝรั่งเศสและยังไม่สรุปถึงเส้นเขตแดนที่แน่นอนระหว่างอาณานิคมฝรั่งเศสด้านลาวและกัมพูชากับฝ่ายไทย ในทางกลับกัน ปฏิญญาฉบับนี้ก็ข้ามที่จะกล่าวระบุถึงเขตแดนที่แน่ชัดของฝ่ายอังกฤษด้านมาเลเซียกับภาคใต้ของไทย อันแปลความได้ว่า ทั้งสองฝ่ายนั้นต่างยอมรับกันว่า ด้านตะวันออกของไทยตามแนวของแม่นำ้โขงยังเป็นเขตขยายอิทธิพลของฝรั้งเศส ส่วนด้านแหลมมลายูเป็นเขตขยายอิทธิพลของอังกฤษ
ช่วง ๗ ทศวรรษจากสนธิสัญญาเบอร์นีถึงปฏิญญาอังกฤษ-ฝรั่งเศส สำหรับอังกฤษแล้วได้แสดงให้เห็นถึงยุทธศาสตร์การควบคุมเส้นทางการเดินเรือและการค้าจากตะวันตกสู่ตะวันออกปลายทางประเทศจีน โดยเน้นการควบคุมเส้นทางในมหาสมุทรอินเดีย อ่าวเบงกอล และช่องแคบมะละกา มีกัลกัตตาเป็นศูนย์กลางบริหารอาณานิคมบริติชอินเดียของบริษัทอิสต์อินเดียของอังกฤษ ( The British East Indian Company ) ในอินเดีย มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๑๕ (ค.ศ. ๑๗๗๒ ) (หรือหลังจากพระเจ้าตากสถาปนากรุงธนบุรีเพียง ๓-๔ ปีเท่านั้น ) และกระชับอำนาจเป็นศูนย์กลางการบริหารการปกครองของรัฐบาลอังกฤษ ที่เรียกว่า บริติชราช ( the British Raj ) มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๐๑ ( ค.ศ. ๑๘๕๘ ) หรือกลางสมัยรัชการที่ ๔ แห่งกรุงเทพฯ ส่วนด้านแหลมมลายูอังกฤษได้เช่าปีนังจากสุลต่านรัฐเคดาห์ / ไทรบุรี มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๓๒๙ (ค.ศ. ๑๗๘๖ ) และอีก ๔๐ ปีต่อมา ใน พ.ศ. ๒๓๖๙ (ค.ศ. ๑๘๒๖ ) ที่อังกฤษชนะพม่าในสงครามครั้งแรกและในปีที่ทำสนธิสัญญาเบอร์นี่กับไทย อังกฤษก็สถาปนาสิงคโปร์ให้เป็นศูนย์กลางการบริหารอีกแห่งของตนบนช่องแคบมะละกา ( The British Settlements ) ดังนั้น ดินแดนในอ่าวเบงกอล (อ่าวเมาะตะมะ ทะเลอันดามัน ) และพื้นที่บนคาบสมุทรมลายูจีงเป็นเขตอิทธิพลที่อังกฤษแสดงตนเสมอมากว่าครึ่งศตวรรษ แล้วก่อนการทำสนธิสัญญาเบอร์นี่
สำหรับฝรั่งเศส ภายใต้ความปั่นป่วนทางการเมืออันยาวนาน ของการต่อสู้ภายในระหว่างกลุ่มการเมืองฝ่ายระบอบจักรพรรดิและฝ่ายสาธารณรัฐ ( การปฏิวัติฝรั่งเศสเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ ค.ศ. ๑๗๘๙ ) บวกกับการแสดงตนเป็นรัฐผู้คุ้มครองการแผ่ขยายคริสต์ศาสนา (แบบฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยพระนารายณ์แห่งอยุธยา ) มากกว่าการมุ่งค้าขายแบบอังกฤษ ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ฝรั่งเศสปรากฎตัวในภูมิภาคที่สัมพันธ์กับศูนย์อำนาจไทยกรุงเทพ ฯ นี้ล่าช้ากว่าอังกฤษถึง ๓ ทศวรรษและมีลักษณะที่แตกต่างจากอังกฤษที่ดูจะค่อยๆ เจรจาประนีประนอบเพื่อเช่าและยึดครอบครองดินแดน ส่วนฝรั่งเศสนั้นปฏิบัติการแบบรุนแรงรวดเร็ว หรือเมื่อมองจากจายตาไทยอาจเรียกได้ว่าเป็นแบบ “การะโชกโฮกฮาก “
ดังจะเห็นได้ว่า ฝ่ายฝรั่งเศสเข้ามาทำสนธิสัญญาการค้ากับไทยในปีถัดมาจากที่ไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริงกับอังกฤษ (พ.ศ. ๒๓๙๘ ค.ศ. ๑๘๕๕ สมัยรัชกาลที่ ๔ ฝรั่งเศสเข้ามาทำสัญญา พ.ศ. ๒๓๙๙ ค.ศ. ๑๘๕๖ )โดยเนื้อหาต่างๆ นั้นเหมือนกับสนธิสัญญษเบาร์ริงของอังกฤษ (แต่ฝรั่งเศสก็แทบไม่สนใจในการพัฒนาเพิ่มพูนการค้ากับไทยเลย ) แถมฑูตฝรั่งเศสที่เข้ามาในครั้งนั้นยังมีภารกิจต่อเนื่อง คือเพื่อเดินทางไปทำสนธิสัญญากับกษัตริย์แห่งกัมพูชา และพากองทัพเรือเดินทางไปสั่งสอนจักรพรรดิเวียดนามในปัญหาการคุกคามคริสต์ศาสนิกชนชาวเวียดโดยการยิงถล่มป้อมเมืองตูราน นับจากปีนี้เป็นต้นมา ฝรั่งเศสก็แสดงตนว่าคือผู้มีอิทธิพล ในดินแดนอินโดจีน โดยเริ่มยึดครองนามโบะ อาณาบริเวณที่ราบลุ่มปากแม่นำ้โขง สถาปนาไซ่ง่อนเป็นศูนย์กลางการปกครอง และขยับเข้าไปเป็นผู้อารักขารัฐกัมพูชา ทั้งแนวคิดว่าด้วยการมุ่งแข่งขันกับอังกฤษเพื่อเข้าสู่”ประตูหลัง “ ไปทำการค้ากับจีนก็ทำให้แม่นำ้โขงกลายเป็นเสมือนเส้นทางสืบค้นดินแดนและยึดครองอาณานิคมของฝรั่งเศส (กรณีอังกฤษคือ แม่น้ำสาละวินและอิระวดี) อันเผชิญหน้าและทำให้ศูนย์อำนาจไทยที่กรุงเทพฯ มีความ “ทรงจำ”ที่ “เจ็บปวด “ และยังต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาดินแดน “ประเทศไทยแท้” ไว้ให้ได้ต่อเนื่องมาอีกหลายทศวรรษ
ในแง่นี้ นับจากปฏิญญาอังกฤษ ฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๓๘ / ๓๙ (ค.ศ. ๑๘๙๖ ) รูปร่างของประเทศไทยนั้นชัดเจนในด้านภาคเหนือและตะวันตกที่ติดกับพม่าของอังกฤษ อันหมายความว่าภาคเหนือหรืออาณาจักรล้านนา มหาอำนาจตะวันตกทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศสได้ยกมอบให้เป็นเขตอำนาจของกรุงเทพ แล้วอย่างแน่ชัด ส่วนด้านอื่นๆ นั้นพอจะมองเห็นคราวๆ ว่าครอบคลุมพื้นที่ภาคอีสาน และภาคใต้แหลมมลายู ส่วนจะมีเส้นแบ่งเขตแดนแค่ไหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับการดำเนินนโยบายและปฏิบัติแารของ ๓ ฝ่ายในอีกกว่าทศวรรษต่อมา คือ อังกฤษ ฝรั่งเศส และไทย ซึ่งไทยจะบรรลุการจัดสรรเส้นเขตแดนกับฝรั่งเศสด้านกัมพูชาและลาวก็เมื่อทำหนังสือสัญญาระหว่างกันใน พ.ศ. ๒๔๔๖ /๔๗ ค.ศ. ๑๙๐๔ (๑๓ กุมภาพันธ์ ร.ศ. ๑๒๒ ) และ พ.ศ. ๒๔๔๙/๕๐ (ค.ศ. ๑๙๐๗)(๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕ ) ทั้งนี้ไทยบรรลุการสร้างเส้นเขตแดนเส้นสุดท้ายให้เป็น”ขวาน” กับอังกฤษด้านภาคใต้สนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๕๑ / ๕๒ (ค.ศ. ๑๙๐๙ ) (๑๐ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๗ ) กล่าวโดยสรุป ประเทศไทยมีเส้นเขตแดนรูป “ขวาน” นั้น เริ่มต้นเส้นเขตแดนเส้นแรกด้านตะวันตกกับพม่าตอนล่างตามสนธิสัญญาเบอร์นี่กับอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๓๖๙ (ค.ศ. ๑๘๒๖) โดยไทยมีพิ้นที่ของประเทศอย่างค่อนข้างชัดเจนจากปฏิญญาอังกฤษ ฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๓๘ (ค.ศ. ๑๘๙๖) และมีเส้นเขตแดนเส้นสุดท้ายด้านภาคใต้กับมาเลเซียของอังกฤษเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๑ / ๕๒ (ค.ศ. ๑๙๐๗ ) รวมระยะเวลาในการสร้างเส้นเขตแดนประเทศไทยรูป “ขวาน”นี้ ๘๓ ปีด้วยกัน ราชอาณาจักรสยาม หรือ “ประเทศไทยแท้” ชนชั้นนำไทยในช่วงกว่าศตวรรษแรกของรัตนโกสินทร์นั้น สำนึกทราบว่าอาณาบริเวณแห่งอำนาจที่แท้จริงของอาณาจักรที่มีกรุงเทพฯเป็นศูนย์อำนาจนั้นมีอาณาบริเวณอยูในเขตที่ราบภาคกลางและภาคใต้เป็นสำคัญ ดังการบันทึกไว้ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระโอรสของพระจอมเกล้าฯ (พ.ศ. ๒๔๐๓-๖๒ ค.ศ. ๑๘๖๐ ๑๙๑๙ พระและปัญญาชนสำคัญของราชวงศ์สมัยรัชกาลที่ ๕ ๖ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการปฏิรูปการปกครองคณะสงฆ์ที่ดึงอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง ที่นิพนธ์ “ตำนานประเทศไทย” ในราวช่วง พ.ศ. ๒๔๔๑ -๔๒ (ค.ศ. ๑๘๙๘ - ๙๙ ) โดยอธิบายอาณาบริเวณที่เป็น “ประเทศไทยแท้” ไว้ว่า ประเทศไทยแท้... อยู่ที่แถวแม่นำ้เจ้าพระยาทุกสาย ฝ่ายเหนือเพียงมณฑลสุโขทัย ฝ่ายใต้เพียงมณฑลละโว้ และฝ่ายตะวันตก ตลอดลำนำ้สุพรรณ ลำนำ้ราชบุรี ลำนำ้เพชรบุรี แผ่ลงไปจนถึงมณฑลนครศรีธรรมราชเป็นที่สุด แต่ฝ่ายตะวันออกไม่ปรากฏว่าแผ่ไปถึงไหน... ดินแดน “ประเทศไทยแท้” ในสำนึกของชนชั้นปกครองไทยตามบันทึกของสมเด็จฯ กรมพระยาวชิรญาณวโรรสนี้แต่งขึ้นหลังสนธิสัญญา อังกฤษ ฝรั่งเศสในการทำให้ไทยสามารถ “รักษาความเป็นอิสรภาพของกรุงสยามไว้” และแต่งขึ้นในช่วงที่ได้มีการกระชับอำนาจทางการเมืองหรือรวมศูนย์อำนาจเข้าสู่กรุงเทพฯ และ พระมหากษัตริย์ โดยมี การจัดตั้งการปกครองท้องที่หัวเมืองในระบบเทศาภิบาล หรือที่เรียกว่า”มณฑล” แล้ว
“ประเทศไทยแท้” ตามที่ระบุนนี้ เหนือสุดคือจังหวัดอุตรดิตถ์ สุโขทัย ตาก เรื่อยลงมาตามกรอบของเทือกเขาเพชรบูรณ์และดงพญาไฟฝากตะวันออก และเทือกเขาตะนาวศรีด้านฟากตะวันตก ครอบคลุมทุกจังหวัดของภาคกลางลงไปยังภาคใต้ถึงมณฑลนครศรีธรรมราช อันหมายถึงพื้นที่ของจังหวัดนครศรีธรรมราช สงขลาและพัทลุง (ส่วนฝั่งทะเลอันดามันนั้นรวมถึงจังหวัดกระบึ่และตรัง ที่ต่อมาจะจัดตั้งเป็นมณฑลภูเก็ต) แต่ที่น่าสนใจยิ่งคือ การระบุว่า “ฝ่ายตะวันออกไม่ปรากฎว่าแผ่ไปถึงไหน...”นั้น ย่อมสะท้อนให้เห็นสำนึกของผู้ปกครองกรุงเทพฯเหนือดินแดนที่เรียกว่า “อีสาน “และลาว และดินแดนในกัมพูชา ว่าไม่อาจหาญที่จะนับรวมว่าคือ “ประเทศไทยแท้ “ อันเป็นเช่นเดียวกับสำนึกทางประวัติศาสตร์ที่ยังไม่อาจนับรวมดินแดนอาณาจักรล้านนาและกลุ่มหัวเมืองแขกที่เรียกว่าจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล ในปัจจุบัน สำนึกอาณาบริเวณ “ประเทศไทยแท้ “ ที่ระบุไว้ในช่วงต้นทศวรรษ ๒๔๔๐/ ปลายทศวรรษ ๑๘๙๐ นี้ สอดคล้องกับสำนึกอาณาบริเวณ “ประเทศไทยแท้ “ ในช่วงต้นสมัยพระจอมเกล้า ฯ รัชกาลที่๔ ตามที่ระบุไว้โดย เซอร์ จอห์น เบาว์ริงเจ้าเมืองฮ่องกง ผู้เป็นฑูตอังกฤษที่เข้ามาทำสนธิสัญญาการค้ากับไทยเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๘ ค.ศ. ๑๘๕๕ ได้ระบุถึงขอบเขตอำนาจของกรุงเทพฯ หรือราชอาณาจักรสยามตั้งแต่ย่อหน้าแรกของหนังสือ “ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม” (The Kingdom and People of Siam พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๐๐ ค.ศ. ๑๘๕๗ ที่ ลอนดอน ไว้ว่า “ประเทศไทยแท้ หรือ ราชอาณาจักรสยาม นี้มีพื้นที่จากเหนือลงใต้ในแบบเดียวกับบันทึกในงานนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึง ๔ ทศวรรษ และหากเมื่อพิจารณารายชื่อหัวเมืองที่ระบุไว้ใน “ราชอาณาจักรสยาม” ของหนังสือเบาวริง พบว่า เมืองด้านตะวันออกนั้น จากเหนือลงใต้ก็คือ จากเพชรบูรณ์ สระบุรี ลงมายังปราจีนบุรี (สระแก้ว ) จันทบุรีและตราด บันทึกอาณาบริเวณ “ราชอาณาจักรสยาม หรือประเทศไทยแท้” ในหนังสือ The Kingdom and People of Siam ของเซอร์ จอห์น เบาว์ริงนี้ มีความสำคัญยิ่งกับสนธิสัญญาเบาว์ริงที่ไทยทำกับอังกฤษเพราะแม้ในตัวสัญญาจะกล่าวถึงประเด็นเกี่ยวกับ คน ที่ดิน คริสต์ศาสนา การค้า สินค้า การเก็บภาษี เรือกำปั่น และปืนใหญดินดำ แต่ทั้งหมดนั้นนอกเหนือจากสัมพันธ์กับกรุงเทพฯ และเมืองใกล้เคียงแล้วยังขึ้นอยู่กับการกำหนดว่าแค่ไหนคืออาณาเขตของกรุงสยามที่คนอังกฤษและคนในบังคับอังกฤษจะอยู่ภายใต้อำนาจทางกฏหมายของไทย นอกจากนั้น ในข้อสนธิสัญญานี้จะสอดคล้องกับการตระหนักถึงประเด็นการได้รับที่”เท่ากัน” ดังในปฏิญญาอังกฤษ ฝรั่งเศส พ.ศ. ๒๔๓๘ / ๓๙ ค.ศ. ๑๘๙๖ ข้อ ๑ ที่ฝรั่งเศสระบุว่าไม่ให้อังกฤษขอความเท่ากันในกรณีที่ฝรั่งเศสได้ “ข้อวิเศษทั้งหลาย “ หรืออิทธิพลและสิทธิพิเศษในกรณีดินแดนด้านแม่น้ำโขงตามสัญญาที่ฝรั่งเศสทำกับไทยเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ค.ศ. ๑๘๙๓
อาณาบริเวณ “ประเทศไทยแท้” นี้ สอดคล้องกับประวัติการเสด็จประพาสเยือนหัวเมืองของพระจอมเกล้า ฯรัชกาลที่ ๔ ทั้งในสมัยที่ยังเป็นพระสงฆ์ที่จาริกไปยังพิษณุโลก สุโขทัย จนได้จารึกหลังพ่อขุนรามฯ กลับมา และในสมัยที่เป็นกษัตริย์แล้ว พ.ศ. ๒๔๐๐ ค.ศ. ๑๘๕๗ เสด็จประพาสไปยังหัวเมืองตะวันออกคือ จันทบุรี ตราด เกาะช้าง พ.ศ. ๒๔๐๒ ค.ศ. ๑๘๕๙ ประพาสปราจีนบุรี ประพาสภาคใต้หัวเมืองด้านอ่าวไทยทางเรือเป็นเวลาราว ๑ เดือน ลงไปประทับแรมไกลสุดถึงสงขลา ปีเดียวกันนี้ประพาสปราจีนบุรี พ.ศ. ๒๔๐๓ ค.ศ. ๑๘๖๐ พระปิ่นเกล้าฯ ก็เสด็จประพาสภาคใต้ทางเรือเป็นเวลาเดือนกว่าเช่นกันโดยเสด็จประทับไกลสุดคือสงขลา พ.ศ. ๒๔๐๖ ค.ศ. ๑๘๖๓ พระจอมเกล้า ฯ เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้อีกครั้งเป็นเวลาราวครึ่งเดือนโดยกองเรือ ๗ ลำในช่วงต้นเดือนกันยายน ประทับที่เมืองนครศรีธรรมราชและสงขลา ต่อมาเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๐๗ ค.ศ. ๑๘๖๔ ประพาสเมืองเพชรบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี ด้วย รู้ว่าลัตติจูต ลองติจูดเท่าไร “ เห็นได้ว่า พระจอมเกล้าฯ เสด็จประพาสทั่ว “พระราชอาณาจักรสยาม” อาณาบริเวณแห่งอำนาจทางการเมืองของพระองค์
กล่าวโดยสรุป อาณาบริเวณที่ระบุไว้ว่าคื “ราชอาณาจักรสยาม” ในหนังสือเซอร์ จอห์น เบาว์ริง ก็คืออาณาบริเวณที่พระจอมเกล้าฯ กษัตริย์แห่งกรุงเทพฯ และเสนาบดีไทยผู้ทำการเจรจาตกลงทำสนธิสัญญาเบาว์ริงนี้อธิบายว่า คืออาณาเขตแห่งอำนาจของกรุงเทพฯ หรือ “ประเทศไทยแท้” นั้นเอง
ดังนั้น ขนาดของ “ประเทศไทยแท้” ในช่วงกว่าศตวรราแรกของชนชั้นปกครองที่กรุงเทพฯ ก็คือดินแดนที่ครอบคลุมพิ้นที่ภาคเหนือตอนล่าง (ตาก สุโขทัย อุตรดิตถ์ ) พื้นที่ทั้งหมดของภาคกลาง ภาคตะวันออก (สระแก้ว จันทบุรี ตราด ) และภาคใต้ (สงขลา ตรัง เท่านั้น อันมีรูปร่างที่จินตนาการได้ว่าเหมือน “สาก “ ตำข้าวโบราณ หรือ “กระบอง “ เป็นสำคัญ จาก “ประเทศไทยแท้” สู่ “ ประเทศไทย “
หากใช้วิธีรวบรัดในการคิดแบบคณิตศาสตร์ นั่นคือ เอา “ประเทศไทยแท้” ตั้งแล้วเอา “ประเทศไทย” ในปัจจับันมาลบ ก็จะได้ผลลัพธ์ว่า มี ส่วนเกินที่ออกมาจาก “ประเทศไทยแท้” (ทั้งในส่วนภาคเหนือ ภาคอีสาน และปลายๆของภาคใต้ ) ดังนั้น ข้อสรุปคือ “ประเทศไทยแท้” ได้ดินแดนที่ไม่ใช่ “ประเทศไทยแท้ “เพิ่มเข้ามา จึงเป็น “ประเทศไทย” ในปัจจุบัน กระบวนการขยายดินแดน “ประเทศไทยแท้” อย่างจริงจังในตามแบบของโลกตะวันตกที่เน้นการทำสนธิสัญญาลายลักษณ์อักษรเพื่อสร้างแนวเส้นเขตแดนที่แน่ชัดตามแบบรัฐสมัยใหม่นั้น กล่าวได้ว่าเริ่มในสมัยพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่๔ ในกรณีดินแดนในกัมพูชาที่มีปัญหากับฝรั่งเศส ที่พระจอมเกล้าฯให้กษัตริย์กัมพูชาทำ”สัญญาลับสยาม กัมพูชา “ พ.ศ. ๒๔๐๖ ค.ศ. ๑๘๖๓ และระบุว่าเมืองพระตะบองและเมืองเสียมราบที่กษัตริย์กัมพูชาเคยยกให้นั้น เป็นดินแดนที่ “ขึ้นแก่กรุงเทพ” โดยตรง (สัญญาข้อ ๘ จาก ๑๑ ข้อ ) และเมื่อพระจอมเกล้าฯ กับฝรั่งเศสเจรจากันลงตัวในเรื่องดินแดนกัมพูชา “สนธิสัญญาสยาม ฝรั่งเศส ว่าด้วยเรื่องแผ่นดินเขมร” พ.ศ. ๒๔๑๐ ค.ศ. ๑๘๖๗ ฝรั่งเศสจึงยอมรับว่าเมื่องทั้งสองคือพระตะบองและเสียมราบ “คงอยู่เปนของไทย” ขณะที่ไทยก็ยอมรับว่าดินแดนกัมพูชานั้นอยู่ใน”ป้องกัน”ของฝรั่งเศส โดยฝรั่งเศสให้ยกเลิกการอ้างสิทธิต่างๆทุกข้อของฝ่ายสยามที่ปรากฎใน”สัญญาลับ สยาม กัมพูชา”
นอกจากนั้น ในช่วงปลายรัชสมัยพระจอมเกล้าฯ การปักปันเขตแดน การสำรวจดินแดน และการทำแผนที่ก็เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองกรุงเทพฯ เรียนรู้จากตะวันตก และใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดีในการขยายดินแดนเพิ่มเติมแก่ “ประเทศไทยแท้” กล่าวคือ ในปลาย พ.ศ. ๒๔๐๙ ค.ศ. ๑๘๖๖ ผู้แทนอังกฤษกับผู้แทนกรุงเทพฯ ได้ทำการ “ตรวจดูเขตแดน “ตั้งแต่เพชรบุรีลงไปจนถึงระนอง โดยฝ่ายอังกฤษจะ “แบกถากต้นไม้” แล้ว “จารึกอักษรอังกฤษไว้” ที่ต้นไม้อันระบุเขตแดนระหว่างพม่า ของอังกฤษกับไทย น ๓๔๙ ๕๐ ขณะที่ในช่วงเวลาใกล้เคียงกันนั้น เมื่อพระจอมเกล้าฯ ทราบว่า “เดี๋ยวนี้ฝรั่งเศสได้ไปทำแผนที่สระเวย์ (survey )ลำแม่นำ้โขงแต่ฝ่ายเดียว “จึงให้หาจ้างคน “อังกฤษที่ทำแผนที่เป็น ออกไปทำแผนที่สำรวจดินแดนกับขุนนางของไทย ตั้งแต่เมืองแพร่ น่าน เชียงของ หลวงพระบาง และ”ลงมาตามลำแม่น้ำโขงถึงเมืองมุกดาหาร “ แล้วเดินบกตัดมาที่สระบุรีลงเรือกลับกรุงเทพฯ น. ๓๕๑ ในปลายปี ต่อมา คือ พ.ศ. ๒๔๑๐ ค.ศ. ๑๘๖๗ หลัง “เปลี่ยนหนังสือสัญญา” ที่ได้ทำต่อกันไว้นั้นแล้ว น. ๓๖๗ ฝ่ายไทยก็ให้ขุนนางไป “ปักเขตแดน “ ร่วมกับฝ่ายขุนนางเขมรและฝรั่งเศส เพื่อระบุเขตแดนของเมืองพระตะบองและเสียมราบ ส่วน”เขตแดนต่อขึ้นไปข้างเมืองลาวก็ได้ตกลงกันตามแผนที่ “ น. ๓๖๙ ๓๗๐ พศค. ร ๔
ประเด็นการปะทะแย่งชิงเขตแดนระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และไทย จะเริ่มต้นอีกครั้งหลังจากสงบไปเกือบสองทศวรรษ คือเมื่อฝรั่งเศสรบและชนะ ยึดครองเวียดนามได้ทั้งหมดในกลาง พ.ศ. ๒๔๒๗ ค.ศ. ๑๘๘๔ ขณะที่อังกฤษทำสงครามครั้งที่ ๓ และรบชนะเหนือกษัตริย์แห่งพม่าในปลาย พ.ศ. ๒๔๒๘ ค.ศ. ๑๘๘๕ อันทำให้สถาบันกษัตริย์ถูกยกเลิก ยึดครองดินแดนพม่าตอนบน และพม่าถูกผนวกเป็นจังหวัดหนึ่งของบริติชราช (อินเดีย) ชัยชนะของอังกฤษและฝรั่งเศสในดินแดนเพื่อนบ้างของไทย ด้านหนึ่งต้องทำการปราบปรามการกบฎและจัดระเบียบการปกครองภายในของดินแดนอาณานิคม เหล่านี้ต่อเนื่องมาอีกกว่าทศวรรา ขณะที่อีกด้านหนึ่งตามแนวคิดเรื่องเส้นเขตแดนที่แน่นอนของรัฐสมัยใหม่ ก็ทำให้ต้องจัดการความพร่าเลือนของพรมแดนในทุกด้านให้มีความชัดเจน อันนำมาสู่การเผชิญหน้ากับรัฐไทยง ในสมัยพระจุลจอมเกล้าฯ รัชกาลที่๕ ชนชั้นนำของไทยเรียน/เลียนรู้ความคิด วิธีการและเทคโนโลยีของตะวันตกอย่างมากยิ่งเนื่องจากระยะเวลายาวนานราว ๖ ทศวรรษที่รัฐเพื่อนบ้าเผชิญหนัากับลัทธิล่าอาณานิคมด้านดินแดนโดยตรง ส่วนไทยนั้นสัมพันธ์กับโลกตะวันตกส่วนใหญ่ในความสัมพันธ์ทางการค้าและกฎหมายที่ไม่เท่าเทียม ชนชั้นนำไทยจึงมีระยะเวลาในการปรับตัวและสร้างตนให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกสมัยใหม่แบบตะวันตก ในขณะเดียวกัน พร้อมๆ กับที่สามารถแก้ไขปัญหาการเมืองภายในแบบจารีตเดินไปได้กลางทศวรรษ ๒๔๓๐ เป็นต้นไป กรุงเทพฯ ก็สร้างกระบวนการกระชับอำนาจเหนือดินแดน “ประเทศไทยแท้ “ และที่ไม่ใช่ ด้วยการจัดระเบียบราชการยุคใหม่ การจัดการปกครองแลลมณฑลเทศาภิบาล การเกณฑ์ทหาร การศึกษา ภาษาพุดภาษาเขียน การจัดระเบียบพระสงฆ์ ทั้งนี้ด้วยการดำเนินงานจากวงในอาณาบริเวณ “ประเทศไทย” ก่อนขยายออกไปสู่ในเขตที่ไม่ใช้”ประเทศไทยแท้ “ นอกจากนั้น ชนชั้นนำไทยยังพัฒนาการเจรจาทางการฑูตกับประเทศมหาอำนาจ การทำแผนที่การปักปันเขตแดน การเยือนยุโรป ฯลฯ กระทั่งกลายเป็นเส้นเขตแดนที่แน่ชัดเส้นสุดท้ายกับมาเลเซียของอังกฤษในปีท้ายๆแห่งรัชสมัย.
สรุป เส้นเขตแดนรูป “ขวาน “ ของประเทศไทยในปัจจุบัน มีลักษณะขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเมื่อพิจารณาจากความสำนึกถึง”ประเทศไทยแท้” ของชนชั้นนำแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยใช้ระยะเวลารวม ๘๓ปี ของพัฒนาการจากเส้นเขตแดนเส้นแรกระหว่างไทยกับพม่าของอังกฤษในสนธิสัญญาเบอร์นีใน พ.ศ. ๒๓๖๙ ค.ศ. ๑๘๒๖ กระทั่งมาถึงเส้นเขตแดนเส้นสุดท้ายระหว่างไทยกับมาเลเซียของอังกฤษในสนธิสัญญา พ.ศ. ๒๔๕๑ / ๒๔๕๒ ค.ศ. ๑๙๐๙
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง