ศาสตราจารย์พิเศษขจร สุขพานิช นักประวัติศาสตร์ผู้ค้นคว้าหาความจริง วุฒิชัย มูลศิลป์ การค้นคว้าหาความจริง นักประวัติศาสตร์คนสำคัญทั้งหลาย ไม่ว่าในโลกตะวันตก ตั้งแต่ เฮโรโดตุส (Herodotus ราว 484 -420 ปีก่อน ค.ศ. ) ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น” บิดาของประวัติศาสตร์ - Father of History “ ของโลกตะวันตก หรือ ซือหม่า เชียน ( Sima Qian ราว 145-90 ปีก่อน ค.ศ. ) ผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของประวัติศาสตร์ของโลกตะวันออก ต่างมีความปรารถนาสูงสุดร่วมกัน คือ การค้นหาและการอธิบายในประวัติศาสตรื ท่านอาจารย์ขจร ก็เช่นเดียวกัน เพราะเรื่องที่เรารู้ทั้งหลายจำนวนหนึ่ง เรียกว่า ข้อเท็จจริง (facts) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ข้อเท็จ และข้อจริง ซึ่งต่างกันกับ ความจริง (truth) คือเป็นจริงอย่างเดียวไม่มีเท็จ ดังนั้นนักประวัติศาสตร์ทั้งหลายต้องค้นคว้าหาหลักฐานด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งเอกสาร ศึกษาสถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ สัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง ฯลฯ เพื่อให้ได้ความจริง ผลงานหาความจริง ท่านอาจารย์ขจร ได้ค้นคว้าและเขียนงานทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่เป็นนิสิตในคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และทำกันต่อเนื่องกันมาเมื่อมีโอกาสและปลีกตัวจากธุรกิจได้ หลังจาก พ.ศ. ๒๕๐๒ เมื่อได้ศึกษาที่มหาวิทยาลัยลอนดอน และฮาร์วาร์ด แล้ว ก็ได้ทำการค้นคว้าและผลิตผลงานมากขึ้น ผลงานของท่านอาจารย์ขจร มีทั้งที่เขียนเป็นเล่ม และบทความรวมกันมากกว่า ๑๐๐ เรื่อง เช่น ออกญาวิไชเยนทร์ และ การต่างประเทศรัชกาลสมเด็จพระนารายณื, ฐานันดรไพร่ หรือเป็นบทความ เช่น “สอบศักราชปีรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ , พระราชพงศาวดารยุคอยุธยา พ.ศ. ๑๘๙๓ - ๒๓๑๐ “ ซึ่งพิมพ์ในวารสารต่างๆรวมทั้ง วารสารประวัติศาสตร์ ของภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร ผลงานทั้งหลายมีการรวมพิมพ์เป็นเล่ม ทั้งระหว่างที่ท่านอาจารย์ขจร ยังมีชีวิตอยู่และถึงแก่อนิจกรรมแล้ว โดยสำนักพิมพ์ก้าวหน้า ,เคล็ดไทย , สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร , องค์การค้าของคุรุสภา ฯลฯ บางเรื่องมีการขอไปพิมพ์แจกในงานศพ ผลงานที่มีการรวมเป็นเล่ม(โดยหลายเล่มผมเป็นผู้รวบรวมและบรรณาธิการ) เช่น ข้อมูลจากอดีต ข้อมูลประวัติศาสตร์ ก่อนสมัยสุโขทัย ข้อมูลประวัติศาสตร์ สมัยสุโขทัย อยุธยาคดี อยุธยาราชธานี ข้อมูลประวัติศาสตร์ สมัยบางกอก ประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ. ๑๖๐๐- ๒๓๑๐ ฯลฯ งานทั้งหลายของท่านอาจารย์ขจร ผ่านการศึกษาค้นคว้า มีหลักฐานใหม่ ความคิดใหม่ และเขียนในเชิงวิเคราะห์ บางเรื่องต้องใช้เวลานาน และมีการคิดทบทวนใหม่ เช่น “เรื่องสอบศักราชปีรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ” บางเรื่องยังทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม ไม่ใช่พอใจเพียงแค่นั้น แม้ว่ามีการพิมพ์ไปแล้ว เช่น ฐานันดรไพร่ ซึ่งถือเป็นผลงานที่เด่นมากเรื่องหนึ่งของท่าน เรื่องฐานันดรไพร่ เป็นการศึกษาที่บุกเบิกเรื่องราวของสามัญชนสมัยก่อน ที่เรียกกันว่า”ไพร่” โดยใช้หลักฐานของไทยจากพระราชพงศาวดาร กฎกมายตราสามดวง กฎหมายรัชกาลที่๕ หลักฐานต่างชาติที่เกี่ยวกับไทย เป็นต้น และวิเคราะห์ในบริบทของสังคมไทย ไม่เหมือนงานของ จิตร ภูมิศักดิ์ เรื่อง โฉมหน้าศักดินาไทย ที่ใช้ทฤษฎีของมาร์กซ์มาวิเคราะห์ซึ่งทำให้ดูแปลกๆ อาจกล่าวได้ว่า เรื่อง ฐานันดรไพร่ ทำให้เกิดแรงบันดาลใจให้มีการศึกษาต่อเป็นวิทยานิพนธ์หลายเล่ม เช่นของ ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์ เรื่อง “สังคมไทยในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. ๒๓๒๕ - ๒๔๑๖ ) (ชื่อตามฉบับแปล) ,ปิยฉัตร ปิตะวรรณ “ระบบไพร่ในสังคมไทย พ.ศ.๒๔๑๑- ๒๔๕๓ “ อัญชลี สุสายัณห์ “ไพร๋สมัย ร.๕ ความเปลี่ยนแปลงของระบบไพร่และผลกระทบต่อสังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” (ชื่อตามฉบับพิมพ์) รวมทั้งบทความของผู้เขียงเอง เรื่อง “จากไพร่ฟ้าสู่สามัญชน” และ ล่าสุดคือ “ไพร่เลือกนาย- ตามใจไพร่สมัคร พ.ศ. ๒๔๑๑- ๒๔๔๒ “ซึ่งล้วนเป็นการต่อยอดหรือขยายฐานความรู้จากฐานันครไพร่ ก็ว่าได้ เรื่อง ฐานันดรไพร่ เป็นงานที่ท่านอาจารย์ขจรใช้เวลาค้นคว้าต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๒ และ “ได้ติดตามแก้ไข ซ่อมเติม แสดงหลังฐานจวบจน พ.ศ. ๒๕๑๘ จึงยุติ” เป็น “Labor of Love “ โดยใน พ.ศ. ๒๕๑๘ ท่านได้เขียน “ฐานันดรไพร่(ข้อมูลเพิ่มเติม) “ขยายความสำคัญว่า แม้ใน พ.ศ. ๒๔๔๘ มีการประกาศพระราชบัญญัติลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ. ๑๒๔ ซึ่งเป็นเสมือนการยกเลิกระบบไพร่ แต่การบังคับใชัยังไม่ทั่วถึงในพระราชอาณาจักรจน พ.ศ. ๒๔๕๙ มีข้อมูลสำคัญหลายประการที่ท่านอาจารย์ขจรเสนอไว้ใน ฐานันดรไพร่ ที่สำคัญมากๆ คือ การให้ความหมายของคำว่า “ไพร่หลวง”” ไพร่สม” แตกต่างจากที่เคยเล่าเรียนกันมารวมทั้งปรากฎใน พจนานุกรม ฉบับราชบัฯฑิตยสถาน เป็นเวลานาน โดยแต่เดิมอธิบายว่าไพร่สม คือ “ชายฉกรรจ์ อายุครบ ๑๘ ปี เข้ารับราชการทหารฝึกหัดอยู่ ๒ ปีแล้วย้ายมาเป็นไพร่หลวง ไพร่หลวง คือพลที่เข้าประจำการแล้ว” แต่ท่านแาจารย์ขจร ได้เสนอใหม่โดยทีหลักฐานสนับสนุนว่า ไพร่สม คือ คนของมูลนาย เจ้านาย ที่พระมกากษัตริย์แบ่งปันให้ ส่วน ไพร่หลวง เป็นคนของหลวง หรือของทางราชการ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอายุ ข้อเสนอนี้เป็นที่ยอมรับกันในปัจจุบัน เรื่อง ฐานันดรไพร่ มีการพิมพ์เผยแพร่หลายครั้ง และมีการอ้างอิงกันมาก ผู้สนใจสามารถหาอ่านได้ไม่ยากนัก จึงขอไม่กล่าวถึงรายละเอียดในที่นี้ ผลงานที่สำคัญอีกเล่มหนึ่งที่ผมอยากกล่าวถึงในที่นี้คือ ประวัติศาสตร์ไทย พ.ศ.๑๖๐๐- ๒๓๑๐ ซึ่งปรับปรุงจากคำบรรยายของท่านอาจารย์ขจร แก่นักศึกษาคระมนุษยศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๙ และได้ตรวจแก้โดยตัวท่านเอง ก่อน จะถึงอนิจกรรมเพียงไม่กี่เดือน อาจกล่าวได้ว่า นี่เป็นการตกผลึกความรู้ที่ท่านศึกษาคันคว้าสั่งสมจนวาระสุดท้าย และท่านหวังว่าหนังสือเล่มนี้ จะเป็นหยดนำ้ที่”ไหลหยดโดยไม่หยุดยั้ง “ในความก้าวหน้าทางวิชาการ ดังที่ท่านเขียนไว้คำนำ หรือเป็นหนดนำ้ที่มีพลังมหาศาล “กระแสนำ้แห่งความก้าวหน้าทางวิชาการ “ดังที่ รศ. สาคร ช่วยประสิทธิ์ หัวหน้าภาควิชาประวัติศาสต์ มศว ในเวลานั้น กล่าวไว้ใน “ประกาศขอบคุณ” เมื่อมีการพิมพ์หนังสือดังกล่าวใน พ.ศ. ๒๕๒๑ เบื้องต้นที่น่าสนใจสำหรับหนังสือเล่มนี้คือ การกำหนดการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ไทยที่ พ.ศ. ๑๖๐๐ สมัยอาณาจักรหริภุญชัย หรือลำพูนไชย แทนที่จะเป็น พ.ศ. ๑๗๙๒ เมื่อเริ่มต้นสมัยสุโขทัย ซึ่งถือได้ว่า เป็นการขยายพรมแดนของประวัติศาสตร์ไทยให้ไหลออกไป แม้จะยังไม่ถึง ๑๐๐๐ ปี ตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้งความหวังไว้ เมือมีพระบรมราโชวาทก่อตั้งโบราณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๐ (กล่าวได้ว่าโบราณคดีสโมสร คือสมาคมประวัติศาสตร์ และสมาคมโบราณคดี ตามความหมายปัจจุบัน) ความสำคัญประการต่อมา คือ เมื่อเริ่มต้นบรรยายครั้งที่ ๑ ได้กล่าวถึงประวัติศาสตร์และวิธีศึกษาว่า ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวของคนที่มีการจดบันทึกไว้ แต่บันทึกที่มีอยู่ก็เพียงนิดเดียว ต้องใช้อย่างอื่นมาช่วยศึกษาค้นคว้า ประวัติศาสตร์ไทยก็เช่นเดียวกัน และที่มีนิดเดียวก็ต้องศึกษา ดดยใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องที่เด็กนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถม มัธยม เรียนกันในสมัยนี้ แต่ใน พ.ศ. ๒๕๐๙ ต้องถือว่าก้าวหน้ามากทีเดียว ในตอนท้ายของคำบรรยายครั้งแรกนี้ ท่านได้อ้างงานเขียนของพระยาอนุมานราชะน (ยง เสถียรโกเศศ ) ว่า”การอ่านประวัติศาสตร์ ไม่ใช่อยู่แค่ที่จำได้ แต่อยู่ที่การใช้ปัญญาตรึกตรองด้วยเหตุผล เมื่อเป็นจริงแล้วจึงเชื่อ สมดังที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ในกาลามสูตร” ซึ่งแม้จะเก่าโบราณ แต่ก็อาจนำมาเทียบเคียงกับวิธิการทางประวัติศาสตร์ได้บ้าง การบรรยายครั้งต่อๆ มา ท่านได้อธิบายเหตุผลการเริ่มต้นประวัติศาสตร์ไทยที่ พ.ศ.๑๖๐๐ (โดยประมาณ) ซึ่งเรียกว่า”ไทยสยาม” เพราะคนไทยผสมผสานกันหลายพวกหลายเผ่า โดยหลักฐานที่ชัดเจนคือ จารึกจามปา พ.ศ. ๑๕๙๓ ที่เมืองเว้ กล่าวถึงเชลยศึกชาวสยามและต่อมาคือ ภาพสลักนูนตำ่ที่ระเบียงนครวัด เป็นภาพ (และข้อความ) ขบวนทหารสยามสวนสนาม ในเวลานั้น ลำพูน หรือ หริภุญชัย มีอยู่แล้ว หลักฐานจามปาและเขมร ที่กล่าวถึงสยามก็น่าจะไปจากลำพูนนี่เอง ทั้งนี้โดยวิเคราะห์จากหลักฐานที่มีอยู่ หลักฐานที่พบใหม่ และหลักฐานต่างชาติที่เกี่ยวข้อง ท่านอาจารย์ขจรได้ใช้วิธิการเช่นนี้ และการวิเคราะห์หลักฐานต่างๆ พร้อมให้แนวคิดว่าเรื่องใดที่ควรเชื่อถือหรือน่าจะเป็นความจริง ในการบรรยายครั้งต่อมา จนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 พ.ศ. ๒๓๑๐ ก็ดำเนินไปในลักษณะนี้และในการบรรยายครั้งที่ ๑๔ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ท่านได้กล่าวถึงหลักเกณฑ์ในการแสวงหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทย คือ ต้องรู้หลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่า หลักฐานใดเป็น Primary Sources , Secondary Sources ประชุมพงศาวดารภาคใด “ที่ควรจะยึดถืออย่างมั่นเหมาะภาคใดที่ยึดถือได้บ้าง แต่ว่าอย่าแน่นัก ภาคใดควรอ่านผ่าน” (หน้า ๒๒๓ ) “ถ้าเราจะเกิดเชื่อมั่นอะไรบางอย่าง เาต้องทดสอบ ต้องหาเอกสารอื่นๆ มาตรวจดูว่าตรงกันไหม (ทั้ง) เรื่องราว ศํกราช เหตุการณ์” (หน้า ๒๒๔) โดยยกตัวอย่างหนังสือชุดประชุมพงศาวดารเล่ม ๑-๑๐ ของสำนักพิมพ์ก้าวหน้า ซึ่งในเวลานั้นเพิ่งพิมพ์เสร็จเท่านี้เป็นตัวอย่าง และท่านอาจารย์ขจร ได้สั่งซื้อและมอบให้เป็นสมบัติของคณะมนุษย์ศาสตร์ ก่อนจบการบรรยายท่านกล่าวว่า “เราอ่านอะไรของใครจะวิเศษแค่ไหน อย่าไปเชื่อทั้งหมดต้องทดสอบดูก่อนซึ่งถือได้ว่า เป็นหลักเกณฑ์สำคัญในการแสวงหาความรู้ทางประวัติศาสาตร์ที่สำคัญ งานค้นคว้าเพื่อหาความจริงในประวัติศาสตร์ไทยของท่านอาจารย์ขจรทุกเรื่องได้ให้หลักฐานใหม่ ความรู้ ความคิดใหม่ หลายๆ เรื่องได้ใช้เป็นความรู้ใหม่ในปัจจุบัน เช่นเรื่องสอบศักราชพระเอกาทศรถ, อายุการครองราชย์ของกษัตริย์อยุธยาตั้งแต่สมัยพระเอกาทศรถเป็นต้นมา จนเสียกรุง พ.ศ. ๒๓๑๐ เพราะพงศาวดารฉบับต่างๆ มีข้อมูลขัดแย้งกันมาก หรือข้อเสนอเกี่ยวกับจำนวนกษัตริย์สุโขทัย ซึ่งแต่เดิมเชื่อว่ามี ๘ พระองค์ แต่ท่านอาจารย์ขจรเสนอว่ามี ๑๐ พระองค์ โดยใช้หลักฐานใหม่คือ จารึกหลักที่ ๔๕ พบเมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๙ จึงเสนอเพิ่มปู่ไส...สงคราม และปู่พระยางั่วนำถม ข้อเสนอนี้มีทั้งรับและคัดค้าน โดยเฉพาะจาก ศาสตราจารย์ ดร. ประเสริฐ ณ นคร ว่าควรรับพระยางั่วนำถม เป็นกษัตริย์ แต่ไม่รับ ปู่ไส...สงคราม พระหลักฐานเรียกปู่เฉยๆ ไม่เรียก ปู่พระยา เหมือนอีกหลายพระองค์ที่เป็นกษัตริย์ดังนั้น กษัตริย์สุโขทัยจึงมี ๙ พระองค์ ข้อเสนอเช้นนี้ของท่านอาจารย์ขจร เป็นการบุกเบิกทางให้นักศึกษาได้ค้นคว้าหาข้อสนับสนุนหรือหักล้าง ซึ่งล้วนแต่เพิ่มพูนวิทยาการให้ก้าวหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ขอกล่าวถึงผลงานของท่านอาจารย์ขจร อีกสักเรื่อง สองเรื่อง เพื่อยืนยันว่าท่านไม่ได้”ว่าความไปตามไท้” คือ ว่าตามที่เคยมีผู้ว่า หรือแต่งกันแต่เดิมมา เช่น ๑ เรื่อง”การสอบศักราชปีรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ” ปัญหาของเรื่องนี้ เพราะพระราชพงศาวดารฉบับต่างๆ ให้เวลาในการครองราชย์ของสมเด็จพระเอการทศรถไว้ไม่ตรงกัน ส่วน ฉบับหลวงประเสริฐ ที่ใช้เป็นหลักยึดถือและยอมรับกันว่าศักราชทั้งหลายถูกต้อง ก็หมดฉบับเพียงปลายสมเด็จพระนเรศาวร ปัญหาจึงเกิดขึ้น สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเสนอไว้ว่า ครองราชย์เป็นเวลา ๑๕ ปี แต่ท่านอาจารย์ขจรซึ่งได้ใช้หลักฐานชาติตะวันตกที่อยู๋ในอยุธยาสมัยนั้น เสนอว่าครองราชย์ ๕ ปีเศษ (ต่อมาปรับเป็น ๖ปี ) และในบทความนี้ได้เสนอปีครองราชย์ของพระศรีเสาวภาคย์ ถึง พรศรีสุธรรมราชาด้วย ต่อมาคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ได้มอบหมายให้ท่านอาจารย์ขจร ตรวจสอบปีครองราชย์ของกษัตริย์ที่ครองต่อมาจนสิ้นสมัยอยุธยา ซึงเป็นที่ยอมรับและใช้กันในปัจจุบัน นับเป็นความก้าวหน้าต่อจากสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเสนอไว้ ๒ เรื่อง”การเสียดินแดนใน ร.ศ. ๑๑๑ “ เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏในหนังสือประวัติการเสียดินแดนมาก่อน แต่บทความของท่านอาจารย์ขจร ได้กล่าวถึงการเสียดินแดนแก่อังกฤษ ใน ร.ศ. ๑๑๑ หรือ พ.ศ. ๒๔๓๕ ที่เรื่ยกกันว่า ๑๓ หัวเมืองทางทิศเหนือของอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบันมีการยอมรับและปรากฎในเรื่องการเสียดินแดนแล้วจดหมายของท่านอาจารย์ขจรถึงวุฒิชัย ในจดหมายถึงผม ให้ทั้งความรู้ ความคิด หลักฐานการค้นคว้าหาความจริงในประวัติศาสตร์ไทย ข้อความในตอนท้ายจดหมายตัวอย่างนี้สำคัญมาก ท่านมีความเห็นเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของเผ่าไทยว่า “เผ่าไทยโผล่ในประวัติศาสตร์ บริเวณต้นแม่นำ้เหลืองหลักฐานก็คือ พจนานุกรม Er-yah อันเก่าแก่ของจีน เก็บถ้อยคำในสมัย Chou มีคำว่าหนอน , ผีเสื้อ ปรากฎอยู่ในพจนานุกรมนั้น ซึ่งจีนแปลไม่ได้และไม่รู้” แต่คนไทยรู้ เพราะเป็นคำธรรมดาสำหรับคนไทยเราๆ นี่เอง ผมขอฝากต่อให้ผู้สนใจเรื่องนี้ศึกษาต่อด้วย นอกจากให้ความรู้ ความคิดทางประวัติศาสตร์ ท่านอาจารย์ขจร ยังให้ข้อคิดเกี่ยวกับชีวิตด้วย ดังจดหมายที่เขียนถึงคุณสุรัตน์ ที่ว่า “จากไม่มีอะไร และไม่ช้าก็จะจากไปโดยไม่มีอะไร อ้ายที่เหลือไว้ in your life จะเป็นประโยชน์กับใครนั้นสิสำคัญ “ ข้อความนี้ผมอยากให้เป็นคติเตือนใจ ไม่เพียงแต่คุณสุรัตน์ แต่กับคนไทยหรือคนทั้งโลกด้วย ได้คิดว่า จะฝากอะไรไว้กับโลกให้คนกล่าวถึง รำลึกถึงด้านใด อนุสรณ์แห่งชีวิตเป็นอย่างไร แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดก็ตาม จึงเห็นได้ว่า ท่านอาจารย์ขจร ไม่ได้เป็นเพียงนักประว้ติศาสตร์เชิงวิเคราะห์คนสำคัญของไทย แต่ท่านยังเป็นครูที่ห่วงใยลูกศิษย์ในหลายๆ เรื่องมรดก “in your life “ ที่มอบให้วงการประวัติศาสตร์เชิงวิเคราะห์ และห้อง ศ.ขจร สุขพานิช ที่เป็นขุมทรัพย์แห่งความรู้อันมหาศาล จะเป็นประโยชน์ต่อคนไทย และวงการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยตลอดไปชั่วกาลนานไม่เพียงในวาระครบ ๑๐๐ ปี แห่งปีเกิดของท่านใน พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้เท่านั้น
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง