ประวัติ หม่อมศรีพรหมา กฤดากร จากหนังสืออัตชีวประวัติ
เจ้าศรีพรหมา เป็นธิดาพระเจ้าสุริยพงศ์ผริตเดช (เจ้าสุริยะ ณ น่าน ) ผู้ครองนครน่าน ปฏิสนธิเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๔ ๓๑ แม่เจ้าศรีคำชาวเวียงจันทน์ เป็นหม่อมมารดา มีเจ้าพี่น้องร่วมมารดา ๕ ท่านด้วยกัน เป็นชาย ๓ หญิง ๒ เจ้าศรีพรหมาเป็นคนสุดท้อง
เวลานั้น รัฐบาลกลางเริ่มกวดขันกับการปกครองตามประเทศราชต่างๆมิได้ปล่าอยไว้ให้เจ้าผู้ครองนครปกครองตนเองตามลำพัง แล้วเพียงส่งต้นไม้เงินทองเข้ามาถวายเป็นราชบรรณาการอย่างแต่ก่อนเท่านั้น เพราะอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มแพร่ขยายอิทธิพลรุกรอบพระราชอาณาเขตเข้ามาทุกที ถ้าพลาดพลั้งไป รัฐบาลต่างประเทศอาจหาทางยึดเอาประเทศราชนั้นๆ ไว้เป็นอาณานิคมของตนได้ ดังกรณีของหลวงพระบาง และพระตะบอง เสียงราฐกับฝรั่งเศส และไทรบุรี กลันตัน กับอังกฤษ เป็นต้น แม้เมืองแพร่เองก็เกิดกบถเงี้ยวขึ้น จนเกือบจะเสียเมืองไปให้กับอังกฤษ ส่วนเจ้าผู้ครองนครน่านนั้นมีความจงรักภักดีต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทอย่างสุจริต มิได้คิดเป็นอื่น แม้เมื่อเจ้านครแพร่มาชวนก่อการกำเริบขึ้น ก็ปฏิเสธไป เมื่อคราวปราบฮ่อในรัชกาลที่๕ ก็เกณฑ์ทัพไปช่วยอย่างแข็งแรง และให้ความร่วมมือกับการปกครองแบบใหม่อย่างเต็มที จึงได้รับความดีความชอบพิเศษเลื่อนขึ้นเป็นพระเจ้าน่านอันเจ้าผู้ครองนครที่จะได้รับสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้านั้น มีน้อยราย ถือว่าเป็นเกียรติยศอย่างสูงส่ง แม้เจ้าหลวงเชียงใหม่ ก็ใช่ว่าจะได้เป็นพระเจ้าเชียงใหม่กันทุกท่านไป หามิได้
ว่าจำเพราะที่น่านรัฐบาลกลางทางกรุงเทพฯ ได้ส่งพระยามหิบาลบริรักษ์ (สวัสดิ์ ภูมิรัตน์) แต่เมื่อยังเป้นพระพรหมสุรินทร์ ขึ้นไปเป็นข้าหลวงกำกับราชการ เพื่อแก้ปัญหาความขัดข้องอันเกี่ยวกับชาวต่างประเทศเป็นประเด็นหลัก และช่วยงานการบริหารบ้านเมืองตามแผนพัฒนาประเทศอย่างใหม่ ที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงจัดขึ้น เป็นระบบเทศาภิบาลนั้นด้วย คุณหญิงอุ๊น ภรรยาเจ้าคุณมหิบาล เป็นสตรีที่มีหัวก้าวหน้าอย่างยิ่งในสมัยนั้น ท่านเคยไปศึกษามาแต่ประเทศฝรั่งเศสพูดภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษได้คล่อง จึงช่วยงานสามีได้มาก ทั้งท่านยังเข้านอกออกในพระราชฐานได้ อย่างเป็นที่โปรดปรานของสมเด็จพระพันปีหลวงแต่เมื่อยังเป็นสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีในรัชกาลที่๕ อีกด้วย ประกอบกับท่านเป็นคนโอบอ้อมอารี เข้ากับคนได้ทุกชั้นบรรดาศักดิ์ สามีภรรยาคู่นี้รักใคร่นับถือกันและกันกับพระเจ้าน่าน และเมื่อเห็นเจ้าศรีพรหมา มีอายุ ๓ ขวบเศษๆ ก็เกิดเมตตา อยากได้มาเป็นบุตรบุญธรรม จึงขอมาแต่พระเจ้าน่าน ซึงก็โปรดอนุญาติให้ดังประสงค์ เมื่อเจ้าคุณและคุณหญิงได้เจ้าศรีพรหมามาเป็นธิดาแล้ว ก็รักใคร่โดยสุจริต อย่างสนิทสนมดังบุตรีในอุทร ข้างเจ้าศรีพรหมาก็เคารพรักท่านทั้งสองนี้อย่างลึกซึ่ง พุดถึงคุณพ่อคุณแม่อยู่เสมอ รำลึกนึกถึงพระคุณอยู่เนืองนิตย์
เมื่อเจ้าคุณและคุณหญิงไปราชการทางแถบเมืองหนือ หรือลงมากรุงเทพฯ ได้เคยพาเจ้าศรีพรหมไปด้วย ท่านเคยเล่าว่าได้เดินช้างไปตรวจราชการกับคุณพ่อ และล่องเรือหลวงลงมากรุงเทพฯ เป็นเรื่องสนุกสนานมาก จากนั้นไม่นาน เจ้าคุณก็ย้ายไปรับราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เจ้าศรีพรหมาก็ได้ตามไปอยู่ด้วยบ้าง แต่โดยปกติได้ฝากไว้ในโรงเรียนประจำที่กรุงเทพฯ ณ สุนันทาลัย อันเป็นโรงเรียนกินนอนสตรีแห่งแรกของรัฐบาลแหม่มชาวอังกฤษเป็นครู แต่ฝึกกริยามารยาทแบบผู้ดีชาววัง ใช้ภาษาอังกฤษเป็นพิ้น มีครูไทยสอนบ้าง ครูผู้ชายสอนภาษาไทย ส่วนครูผู้หญิง เป็นผู้ทีสำเร็จมาจากประเทศอังกฤษ ซึ่งสมเด้จกรมพระยาดำรงฯ ทรงส่งไปเรียนแต่สมัยเมื่อทรงว่าการกรมศึกษาธิการ รับสั่งเรียกครูไทยเหล่านี้ว่า my girls นักเรียนรุ่นไล่ๆ กับเจ้าศรีพรหมามี ม.จ. มณฑารพ กมลาสน์ ม.จ. พิจิตรจิราภา และ ม.จ. จันทรนิภา เทวกุล คุณแวก (พี่คุณวาศ ซึ่งเป็นเพื่อนท่านที่อยู่ในพระบรมมหาราชวังด้วยกันในระยะหลัง) ธิดาพระยาโชฎึกราชเศรษฐี คุณหญิงเต่า ธิดาเจ้าพระยาเทเวศ์วงศ์วิวัฒน์ นี่รุ่นใหญ่ รุนถัดมามี ม.จ. จงจิตรถนอม ดิศกุล ท่านผู้หญิงนงเยาว์ ธรรมาธิกรณ์ธิบดี คุณหญิงสิน สุพรรณสมบัติ เจ้าศรีพรหมาเป็นรุ่นเล็ก เคยเล่นละครเรื่องอาลีบาบากับ ม.ร.ว. บัว ใน ม.จ. มงคลประวัติ สวัสดิกุล ด้วย แต่เรียนที่โรงเรียนนี่ได้เพียง ๕ เดือน โรงเรียนก็ล้ม บิดามารดาจึงพาไปฝากเรียนที่โรงเรียนวังหลัง ของแหม่มโคลด์ มิชชันนารีอเมริกัน ซึ่งกลายมาเป็นวัฒนาวิทยาลัยในภายหลัง แต่เรียนได้เพียง ๘ เดือน ก็ต้องลาออก ก่อนหน้านั้น คุณหญิงอุ๊นผู้มารดาได้สอนมูลบรรพกิจ ให้หัดอ่าน หัดเขียน มาแต่อยู่เมืองน่านแล้ว และเมื่อตามบิดาไปเมืองชล (บางปลาสร้อย) ท่านก็ชอบอ่านมาแต่เยาว์วัย เมื่อกลับเข้ามากรุงเทพฯ มามีนิวาสสถานอยู่แถวเสาชิงช้า เล่ากันว่าเจ้าคุณและคุณหญิงพาไปงานที่ทุ่งพระเมรุ เจ้าศรีพรหมาพลัดกับบิดามารดา ซึ่งวิตกทุกข์ร้อนถึงธิดามาก หากปรากฎว่าธิดาปลดเครื่องประดับ ทองหยอง เพชรพลอย กำไลมือ กำไลเท้า ออกห่อไว้แล้วเรียกรถเจ็ก ว่านั่งกลับมาเอาสตารค์ค่ารถที่บ้านได้ ไม่ขัดข้องอันใด ทั้งๆที่เวลานั้นอายุยังไม่กี่ขวบ
ครั้นเมื่อทรงพระกรุณาโปรดให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจักรพงศ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ เสด็จออกไปทรงศึกษาวิชาการทหาร ณ ประเทศรุสเซีย ต้องพระราชประสงค์จะได้คนซึ่งเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยออกไปเป็นอัครราชฑูตประจำ ณ กรุงเซนต์ปีเตอสเบิร์ก ( ด้วยก่อนหน้านั้นราชฑูตแห่งพระราชสำนักรุสเซียตั้งสำนักงานอยู่ที่กรุงปารีสฉ) ทั้งภรรยาก็ต้องเป็นคนที่ทรงรู้จักมักคุ้นอย่างใกล้ชิด เพื่อจะได้เป็นพระอภิบาลสมเด็จพระจ้าลูกยาเธอด้วย จึงโปรดให้เจ้าคุณและคุณหญิงมหิบาลออกไปรับราชการ ณ ประเทศดังกล่าว เมื่อ พ.ศง ๒๔๔๒ ด้วยเหตุฉะนี้ คุณหญิงอุ๊นจึงมีความจำเป็นต้งนำตัวเจ้าศรีพรหมา ไปถวายไว้ในพระอุปการะ แห่งสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ด้วยไม่กล้าพาธิดาออกไป เกรงจะทนความหนาวไม่ได้ โดยพระมหากรุณาธิคุณ เจ้าศรีพรหมาจึงได้เข้าไปอยู่ในพระราชสำนักเมื่ออายุ ๙ ขวบ ได้คุ้นเคยกับเจ้านายในพระบรมราชวงศ์ ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันหลายพระองค์ หลายท่าน ทั้งฝ่ายหน้าฝ่ายใน และได้เห็นความเป้นไปในพระราชสำนักอย่างน่าสนใจยิ่ง ชีวิตชาววังในวัยเด็ก เป็นทีติดตาติดใจท่านมาก มักเล่าให้ลูกหลานและคนสนิทที่ใกล้ชิดฟังอยู่เนืองๆ และได้เขียนเล่าไว้ไห้ปรากฎด้วย ดังได้นำมาลงไว้เป็นตอนๆ ต่อประวัตินี้ไป แม้เข้ไปอยู่ฝ่ายในแล้ว ก็ยังคงต้องเรียนหนังสือในพระบรมมหาราชวังต่อมาและในขณะที่อยู๋ในพระบรมมหาราชวังนั้น เจ้าศรีพรหมาล้มป่วยหนักลงครั้งหนึ่ง ถึงกับเข้าใจกันว่า จะเยียวยาไว้ไม่ได้ จนสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ตรัสฝากสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพไว้แล้ว ว่าจะโปรดให้ไปตั้งศพบำเพ็ญกุศลในบริเวณวัง เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ที่ ใกล้ประตูสามยอด( เชิงสะพานดำรงสถิตย์) ทั้งนี้เพราะทรงชอบพอกับพระเจ้าน่าน และยังทรงเป็นผู้บังคับปัญชาเจ้าคุณมหิบาลมาเดิม กับทั้งยังทรงเมตตาเจ้าศรีพรหมาเป็นส่วนพระองค์อีกด้วย แต่แล้วท่านก็รอดชีวิตได้
เมื่อเจ้าคุณและคุณหญิงไปรับราชการอยู่รุสเซียได้สามปี ใกล้กำหนดที่จะออกจากประเทศนั้น มีความคิดถึงบุตรี จนทนไว้ไม่ได้ จึงของพระบรมราชานุญาติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ให้รับตัวออกไปอยู่ด้วย เจ้าศรีพรหมาจึงกราบถวยบังคมลาออกจากพระราชสำนักไปเมื่ออายุได้ ๑๒ ขวบ แต่ไปอยู่ได้เพียงปีเดียว ด้วยขณะนั้นมารดาป่วย ทั้งรุสเซียก็หนาวจัด ท่านจึงออกจากประเทศนั้น ท่านได้เขียนเล่าเรื่องการเดินทางไปต่างประเทศไว้ จนถึงกรุงเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก เป็นเอกสารที่น่าอ่าน จึงนำมาลงไว้ไห้ได้อ่านสำนวนท่านกันด้วย น่าเสียดายที่ท่านเขียนไว้ไม่ตลอดจนกล้บเข้ามา
จากคำบอกเล่าของท่าน ท่านเห็นว่าชีวิตความเป็นอยู่ของรุสเซียเวลานั้นในระดับต่างชนชั้น ช่างต่างกันราวฟ้ากับดิน หรือขาวกับดำ ภายในพระราชสำนักและคฤหาสของชนชั้นสูง หรูหราฟู่ฟ่า หมดเปลืองมาก การใช้จ่ายสุรุ่สุร่าย ฉาบฉวย แต่ชีวิตชาวไร่ชาวนา กรรมกร ยากจนค่นแค้น เสื้อผ้าขาดวิ่น อาหารการกินแร้นแค้น ท่านบ่นว่าประเทศหนาวด้วย ถึงอดตายและหนาวตายก็มีไม่น้อย ท่านว่าท่านเห็นสภาพอันน่าเศร้าเช่นนี้แล้ว ท่านมองย้อนหลังกลับไป จึงเห็นได้ว่าทำไมระบอบการปกครองของพระเจ้าซาร์จึงไม่จีรังยั่งยืน อาจเป็นเพราะเหตุนี้ก็ได้ ที่ท่านกระตือรือร้นอยู่ตลอดชีวิตที่จะอุทิศตนเพื่อคนยากคนจน เพื่อชาวไร่ชาวนาและลูกหลานชาวไร่ชาวนา
เมื่อออกจากรุสเซียแล้ว เจ้าศรีพรหมาได้มาพักอยู่ประเทศอังกฤษหกเดือน เพื่อศึกษาเพิ่มเติมจนช่ำชองภาษาอังกฤษ คนชั้นหลังที่รู้จักท่านพากันแปลกประหลาดใจ เมื่อท่านตอบว่าท่านไม่ได้ับการศึกษาอย่างเป็นทางการเท่าไรเลยเขามักคิดกันว่าอย่างน้อยท่านต้องเป็นนักศีกษามีปริญญามาจากต่างประเทศ ท่านได้ฟังแล้วหัวเราะชอบใจ เช่น เมื่อสำรวจประชากรทำทะเบียนสำมะโนครัวกัน เขามาขอให้กรอกลงไปในใบสำคัญว่าท่านจบการศึกษาชั้นใด เมื่อท่านบอกว่าไม่เคยได้ปริญญาแล้วเขาก็บอกว่าถ้าเช่นนั้นกรอกลงไปว่ามีวิทยฐานะเทียบจนชั้นมัธยมศึกษาก็แล้วกัน ท่านตอบว่า “ประถมสี่ฉันยังไม่จบเลย “
เมื่อเจ้าศรีพรหมาแรกกลับมาจากต่างประเทศ ก็ได้กลับเข้าไปรับราชการอยู่ในพระสำนักสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถตามเดิม คราวนี้เป็นสาวแล้ว ย่อมทำหน้าที่เป็นคุณข้าหลวง คอยตามเสด็จ และคอยรับใช้ มีกิจต้องเป็นล่ามกับชาวต่างประเทศบ้างในบางขณะ เพราะคุณหญิงอุ๊นเวลานั้นเป็นผู้นำในบรรดาภรรยาข้าราชการอยู่คนหนึ่ง ในด้านบริการสังคม เช่น เป็นกรรมการสภากาชาดเป็นต้น เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต คุณหญิงอุ๊นและคุณหญิงเลื่อนฤทธิ์ เทพหัสดิน ได้เป็นตัวตั้งตัวตี ขอให้ท่านผู้หญิงยมราช (ตลับ สุขม ) เป็นหัวหน้า หาทางเรื่ยไรสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กหญิงอนาถา เพื่อเป็นอนุสาวรีย์ถวายสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ความทราบถึงฝ่าละอองธุลีพระบาท สมเด็จพระพันปีหลวงก็ทรงโสมนัส รับโรงเรียนไว้ในพระบรมราชินูปถัมภ์ และพระราชทานชื่อโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ซึ่งยังประสิทธิ์ประสาทวิชาการมาจนบัดนี้
เมื่อปลายรัชกาลที่ ๕ ต่อต้นรัชกาลที่ ๖ สมเด็จพระพันปีหลวงมักทรงแปรพระราชฐานไปประทับที่วังพญาไท เจ้าศรีพรหมาก็ได้เสด็จด้วย เวลานั้นทุ่งพญาไทย ยุงชุม เวลากลางคืน สมเด็จประทับบนพระแท่น พวกคุณข้าหลวงหมอบเฝ้าอยู่ห่างๆ มักนั่งบังเสา คอยตบยุงกัน ดังเพียะๆ จนสมเด็จตรัสถามว่า “ใครนะ ใจบาปหยาบช้า ตบยุงอยู่เรื่อย “ เวลาท่านออกพระนามสมเด็จพระพันปีหลวง ท่านเอ่ยถึงด้วยความซาบซึ้งในพระมหากรุณาอย่างหาที่สุดมิได้ และในปลายสมัยรัชกาลที่๕ นั้น ท่านเป็นสาวเต็มที่ มีความงามยิ่งนัก ทั้งวิชาความรู้ก็ดี กับมีความเป็นตัวของตัวเอง ผิดกับชาววังโดยทั่วๆ ไป ซ้ำมีน้ำใจโอบอ้อมอารีอีกด้วย จึงเป็นที่พอพระราชหฤทัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงกับจะโปรดให้รับราชการเจ้าเจ้าจอม แต่ท่านกราบบังคมทูลปฏิเสธเป็นภาษาอังกฤษไปโดยซื่อ ว่าท่านเคารพพระองค์ท่านในฐานะพระมหากษัตริย์ แต่มิได้รักใคร่พระองค์ท่านในทางชู้สาว ก็ทรงพระเมตตาโปรดให้เป็นไปตามอัธยาศัย เหตุการณ์ที่ว่านี้ท่านมักไม่เอ่ยให้ใครฟัง ด้วยถือเป็นเรื่องต่ำ สูง แต่ชาววังเห็นเป็นความอัศจรรย์ ทั้งในแง่ความกล้าของท่าน และจากพระมหากรุณาขององค์พระเจ้าแผ่นดิน เล่ากันสืบมาช้านาน แท้ที่จริง สมเด็จพระปิยมหาราชได้ทรงพระเมตตากรุณาตัวท่านต่อมาจนตลอดรัชกาล ดังทรงฉายรูปเจ้าศรีพรหมาไว้ด้วยฝีพระหัตถ์ และทรงตั้งไว้ในห้องพระบรรทม บนพระที่นั่งอัมพรสถาน ต่อมาจนสวรรคต
ถึงรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาตรัสขอเจ้าศรีพรหมาแต่พระราชมาดา เพื่อทรงจัดงานเสกสมรสพระราชทาน ม.จ. สิทธิพร กฤดากร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ ทั้งนี้เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงคุ้นเคยกับท่านสิทธิพร มาแต่เมื่อทรงพระเยาว์ ทรงศึกษาร่วมสมัยกันที่ในประเทศอังกฤษ และทรงเล่นละครร่วมกันมา แม้จนเมื่อเสวยราชย์แล้ว หม่อมศรีเล่าว่า เมื่อแรกหม่อมสุภาพ หม่อมารดาของท่านชาย ชอบพอกับคุณหญิงอุ๊น คุณแม่ของท่าน เมื่อท่านอายุได้ ๑๕ หม่อมสุภาพเคยมาขอท่านต่อคุณหญิงอุ๊นทีหนึ่งแล้ว แต่คุณหญิงเกี่ยวว่าถ้าท่านชายจะมาเป็นเขยต้องทำมาหากินเพื่อตั้งเนื้อตั้งตัว จึงจะเลี้ยงลูกสาวท่านได้ ท่านชายก็ทรงสู้อุตส่าห์ไปทำการค้าขายกับหม่อมมารดาของท่าน แต่ขาดทุน จึงเสด็จเข้าไปรับราชการ ท่านทรงเจริญในทางราชการมาก เริ่มแต่เป็นเลขานุการที่ปรึกษาในกระทรวงการต่างประเทศ แล้วย้ายมากระทรวงพระคลังมหาสมบัติ และได้เลื่อนขึ้นเป็นรองอธิบดีกรมฝิ่น ซึ่งเวลานั้นเป็นกรมใหญ่ ทำรายได้ให้เป้น ๑ ใน ๕ ของบรรดารายได้ทั้งหมดของประเทศ (ต่อมารวมกับกรมสุราตั้งเป็นกรมสรรพสามิต ) ท่านเองไปมีหม่อม จนมีบุตร แล้วหม่อมท่านถึงแก่กรรมไปก่อน จึงทรงเป็น “พ่อหม้าย “ แต่ยังหนุ่ม แล้วทรงหวนกลับมาขอเจ้าศรีพรหมาใหม่ แสดงว่าท่านคงผูกใจรักมาแต่แรก และก็รักใคร่กันมาจนตลอดชีวิตของท่านทั้งสอง อย่างแน่นแฟ้น เข้าใจกันและกัน อย่างยากที่จะหาคู่ใดเปรียบได้ เมื่อหม่อมศรึพรหมาเป็นชายาท่านสิทธิพรได้ไม่ช้าปรากฎว่ามีผู้นำเครื่องลายครามอย่างดีมาถวายอธิบดีที่วัง แต่ทั้งท่านชายและหม่อมไม่ยอบรับ ให้ส่งของกำนัลคืนเจ้าของไป หาไม่จะถือว่าเป็นการให้สินบนเจ้าพนังงานของรัฐ ดังนี้เป็นต้น
อนึ่ง เมื่อ ม. จ. สิทธิพรทรงแรกรับราชการในกระทรวงการต่างประเทศได้ทรงหาเวลาว่างคิดแบบอย่างชวเลขภาษาไทยขึ้นได้ โดยเริ่มใช้ที่กระทรวงยุติธรรมก่อน ได้รับพระราชทานรางวัลหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งมิไช่เงินจำนวนน้ยยในสมัยนั้น เมื่อทรงไปว่าการกรมกษาปน์ฯ (กรมธนารักษ์ในบัดนี้) ก้ทรงใช้วิชาวิศวกรรม ซึงทรงร่ำเรียนมาแต่อังกฤษ ผลิตเหรียญบาทและเงินตราอื่นๆ ตลอดจนดูแลการสร้างโรงงานอย่างถูกต้องตามหลักวิชา เมื่อมาทรงบัญชางานในฐานะเป็นอธิบดีกรมฝิ่น ทรงสนุกกับงานมาก ทรงปฏิรูประบบราชการต่างๆ ให้รัดกุม เข้าร่องเข้ารอยจนเป็นที่เรียบร้อย อย่างพอพระทัย ใช่แต่เท่านั้น ยังทรงชักชวนข้าราชาการให้เล่นกีฬา เล่นดนตรี มีวงต่างๆ เกิดขึ้นมาก องค์ท่านเองก็ทรงนำฟุตบอลทีมชาติ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก ขับเคี่ยวกับทีมชาวต่างประเทศ หม่อมศรีพรหมาเล่าว่า ต่อมาท่านชาย “ทำราชการเวลานั้นก็เบื่อหน่าย เพราะว่าอะไรท่านก็เสร็จหมดแล้ว กษาปณ์ก็ทำแล้ว ท่านไปดูงานที่ชวา ก็มาดัดแปลงเรื่งอฝิ่นให้เป็นสมัยใหม่ หยอดด้วยเครื่องจักร ที่แรกเข่าห่อกัน เหมือนยังกับฝิ่นสูบธรรมดานี้ ทำเป็นเครื่อง ท่านก็ทำเสร็จ แล้วท่านก็ไม่มีงานแปลกที่จะทำ นอกจากนั่งออฟฟิศไปวันๆ ท่านไม่ชอบ “ เมื่อหมดงานที่ท้าทายท่านในทางราชการแล้ว จึงทรงหารือกับชายาว่า คนรุ่นท่าน พอมีวิชาความรู้ ก็รับราชการกัน ถ้าสามารถ ซึ่อสัตย์และขยันหมั่นเพียร ก็ย่อมเอาดีในทางราชการได้ ไต่เต้าตามตำแหน่งหน้าที่สูงส่งขึ้นไปเป็นลำดับ การรับราชการย่อมถือได้ว่าเป็นอาชีพอันสุจริต ที่พอมีกินใช้ แม้จะไม่ช่วยให้รำ่รวย ในทางทรัพย์ศฤงคาร แต่ก็ไม่ขัดสน และเป็นที่นับหนัาถือตาของมหาชน แต่ทั้งสองท่านเห็นพ้องต้องกันว่า ต่อไป ระบบราชการจะอิ่มตัว คนรุ่นลูกหลานท่าน จะหาทางเข้ารับราชการได้ยากยิ่งขึ้นทุกที เพราะต้องแข่งดีกัน และถ้าขยายวงงานราชการให้กว้างขวางมากขึ้น ก็จะได้คนที่มีคุณภาพด้อยลง ระบบราชการควรเป็นตัวเอื้ออำนวยสุข บำบัดทุกข์ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ อันได้แก่ทวยราฎร์ส่วนใหญ่ ท่านเห็นพ้องต้องกันว่าที่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน จนมีระบบราชการขึ้นมาเช่นนี้ เหมาะแก่กาลสมัยที่จะต้องต่อสุ้กับการล่าอาณานิคมของมหาอำนาจฝ่ายตะวันตก คนดีมีฝีมือและวิชาความรู้ ที่เป็นหัวกะทิ ที่มีความเสียสละ และความกล้าหาญทางจริยธรรม ควรมารับราชการ เพื่อรับใช้พระราชา นำรัฐนาว่าฝ่าคลื่นลมไปให้ตลอดรอดฝั่ง แต่ในระยะยาวแล้ว คำตอบของประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้อยุ่ที่ขุนนางข้าราชการ ซึ่งควรเป็นเพียงตัวจักรกลอันหนึ่งสำหรับรับใช้รัฐและราษฎร์แท่านั้น เราควรมีคนดีที่ซื่อสัตย์และสามารถรับราชการอยู่ด้วยแต่คนดี ที่สามารถส่วนใหญ่ ควรอยู่นอกระบบราชการ คอยคานอำนาจของราชการไว้ หาไม่ข้าราชการจะเหลิง จะถือว่าตัวมีความรู้ มีอำนาจ แต่ฝ่ายเดียว
ทั้งท่านสิทธิพรและหม่อมศรีพรหมา เห็นพ้องต้องกันว่าอนาคตของชาติบ้านเมื่องอยู่ที่การกสิกรรม เพราะคนไทยเป็นชาวไร่ชาวนามาแต่ดึกดำบรรพ์และการทำไร่ไถนาสามารถหาผลผลิตจากแผ่นดินมาเลี้ยงชีวิตให้ดำรงคงอยู่ได้ถึงชาวจีนจะอพยพเข้ามาแย่งอาชีพคนไทยในทางการค้าพานิชยกรรม ตลอดจนการอุตสาหกรรม แม้จนการช่างฝีมือ แต่ก็ไม่สามารถสุ้คนไทยได้ในการกสิกรรม แต่แล้วในระยะหลังมานี้ ระบบสังคมและค่านิยมของบ้านเมืองไม่ได้เอื้ออำนวยต่อกิจการด้านกสิกรรมเอาเลย ทั้งๆที่รายได้ส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังมาจากการผลิตข้าวขาย เรามัวไปเน้นกันแต่วิชาหนังสือ ให้คนหันไปนิยมการรับราชการกับการเป็นเสมียนกัน จนชาวไร่ชาวนากลายเป็นคนล้าหลัง กลายเป็นคนไม่รู้หนังสือ เป็นที่ดูถูกดูแคลน ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ประเทศชาติจะล้าหลัง จะอดอยาก ยากไร้ เพราะถ้าคนที่ผลิตทรัพยากรส่วนใหญ่ของบ้านเมือง โง่เขลา ก็ย่อมจะถูกเอารัดเอาเปรียบลูกหลานของเรา ถ้าฉลาดก็ย่อมทิ้งบ้านเรือน ไร่นา ไปหากินโดยอาชีพอื่นต่อไป การทำไร่ไถนาก็จะเสื่อมโทรม หรืออาจถูกชนชาติอื่นแย่งอาชีพไปอีกก็ได้ อนึ่ง เวลานั้นวิชาการสมัยใหม่ในทางเกษตรเริ่มปรากฎขึ้นแล้วในนานาประเทศ แต่คนไทยยังไม่ตื่นตัวกัน ทั้งสองท่านเห็นว่า ถ้าชนชั้นสูงหันมาสนใจปัญหาการกสิกรรม ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างขึ้นในด้านนี้ ก็อาจชี้แนวทางให้ชนชั้นกลางหันมายึดอาชีพเป็นกสิการกันมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่มหาชนและแก่บ้านเมืองในวงกว้างด้วย กล่าวคือคนนั้นๆ จะๆได้มีอาชึพชนิดพึ่งตัวเอง โดยไม่ต้องคิดพึ่งราชการ หรือไปพึ่งนายห้างชาวต่างประเทศ ด้วยการเป็นเสมียน พนักงานหรือลูกจ้างเขาเท่านั้น และถ้าชนชั้นกลางหันมาหาการกสิกรรมมากขึ้น ก็จะยกระดับชาวไรชาวนาให้สูงส่งขึ้น ยิ่งมีการนำวิชาอันทันสมัยต่างๆมาใช้ในการเกษตร ก็จะช่วนยให้สถานะทางเศรษฐกิจของกสิกรดีขึ้น ลืมตาอ้าปากได้ เฉลียวฉลาดขึ้น ไม่ต้องถูกดูแคลน หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ และลูกหลานก็ไม่ต้องทิ้งถิ่นที่ภูมิลำเนาของตนเองไป พูดให้ใกล้ตัวเข้ามา โอรสของท่านเองก็ไม่ต้องไปคิดพึ่งราชการ หากต้องการอาชีพอิสระ ก็มีไร่นาหาเลี้ยงชีวิตได้พอเพียง นอกไปจากนี้แล้ว ยังทรงปรารภไว้ในกสิกร ปีที่ ๑ เล่ม ๑ ด้วยว่า “มีตัวอย่างอยู่แล้วที่ข้าราชการตำแหน่งปานๆกลางอยู่ในตำแหน่งเดิมนับด้วยจำนวนหลายๆ ปี ด้วยเหตุขาดความสามารถที่จะขึ้นสูงไปอีก ได้อยู่เรื่อยๆ ไป โดยมีได้มีความมุ่งหมายว่าจะดำเนินวานไปอย่างไร บางคนถึงกับไม่ยอมออก แม้แต่ถึงขึดที่จะได้เบึ้ยบำนาญแล้วก็ดี ซึ่งเป็นการกระทำอันไม่ใช่ก้าวหน้า เราไม่ควรลืมว่ารัฐบาลลงทุนปีละมากๆ ในการส่งนักเรียนไปศึกษาวิชาประเภทต่างๆ ยังต่างประเทศ ถ้าข้าราชการที่กล่าวถึงนี้ออกนอกราชการ ในวัยแห่งอายุอันสมควร เขายังมีโอกาสอันดีที่จะหาที่ทำกินอื่นๆอีกได้ รัฐบาลจะได้มีโอกาสใช้คนรู่นใหม่โดยเต็มภูมิ ให้สมกับที่ได้ลงทุนไปแล้วเป็นอันมาก ในการฝึกฝนเล่าเรียน “