จากหนังสือ พงศาว(สัน)ดารเขมร “นายหนหวย” เขมรก่อนยุครัตนโกสินทร์
ถ้าจะให้เล่าตั้งแต่คนพันธ์ุนี้ถือกำเนิดเป็นคนปนมนุษย์ชาติอื่นเขาในโลกก็จะยืดยาว พังไปลืมไป ได้หน้าลืมหลังจำไม่ได้ อย่างนั้นต้องไปนั่งศึกษาเล่าเรียนกันเป็นกิจจะลักษณะที่มหาวิทยาลัยหรือไม่ก็หอสมุดท่าวาสุกรีโน่น ผมว่าเวลาของพวกเราแม้จะหากินชายเฟือยก็เป็นเงินเป็นทอง อย่ามัวตรึกมัวตรองให้ชักช้าไปเลย ไอ้ทำอะไรอืดๆ อาด ๆ นั่นมันพวกผู้แทนท่านเงินเดือนเกือบแสนเลยต้องทำอะไรให้มันช้าๆไปหน่อยคงคิดว่าจะได้อยู่กินเงินชาวบ้านไปนานๆ กระมัง ผมจึงของรวบรัดพงศาว (สัน)ดารเขมรเอาเท่าที่พอจะคลำเห็น คือเริ่มในยุคก่อนและต้นกรุงเทพ ฯ เรานี้จะกระชับกว่า หรือพ่อต่วยจะว่ายังไง
แต่เพื่อให้เรื่องราวมันต่อเนื่องเหมือนยึ่เกต้องมีแขกออกมาเต้นที่เขาเรียกออกแขกให้ซักถามเสียก่อนแล้วแขกก็บอกเรื่องราว (ที่ผ่านมาแล้วคือตอนก่อนหน้านี้) จากนั้นก็ดำเนินเรื่องราวต่อไป ผมว่าแบบฉบับของยี่เก เขามีวิธีการดีๆ หลายอย่างรวมทั้งท่าออกแขก จังหวะเต้นก็ดีกว่าจังหวะลิงเมาเหล้าที่วัยรุ่นสมัยนี้เขาเต้นกัน ส่วนเพลง “สลามมาน๊าสลามมานน่า.....” ก็ยังพอฟังรู้เรื่องกว่าเพลงสมัยใหม่ที่กรอกหูจากคลื่นวิทยุทุกวันนี้
อันเมืองเขมรนี้ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์เล่นไหนชาติใดภาษาใดหรือภูมืศาสตร์โลกก็ยืนสอดคล้องต้องกันว่า ตั้งอยู่ในพื้นที่ของประเทศกัมพูชาในปัจจุบันนี้แน่นอน ยังไม่มีการโยกย้ายภูเขาด้วยการระเบิดหินขายอย่างมิจฉาชีพแต่งสูท ไม่มีการเปลี่ยนแปลงลักษณะภูมิประเทศด้วยการสงวนป่าไม้ไว้ให้พวกพ้องตัดจนป่าเตียน แล้วก็จับนายทุนไม่ได้ทั้งๆที่มันก็อยู่ในวงสังคมชั้นสูงของกรุงเทพฯ นี่เอง ไม่มีการยกแม่นำ้ทั้งสายหรือเปลี่ยนทางเดินกระแสนำ้ด้วยการถมที่รุกแผ่นดินราวกับโครตบิดามารดาของพวกมันมาสร้างสรรจับจองไว้ สรุปแล้วเมืองเขมรก็ตั้งอยู่ที่เมืองเขมรมานับร้อยนับพันปี และตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลางเขมรก็เป็นเมืองขึ้นของไทย (พยายามจะไม่เป็นหลายครั้งแต่ก็ไปไม่รอด) ทั้งๆที่ไทยนี้รักสงบ แต่ว่ารบไม่ขาดโลกในยุคโบราณก็เป็นอย่างนี้ทั้งนั้น ใครพระดีว่านดีก็อยู่รอดปลอดภัยไป เมืองเขมรก็ไม่ได้ใหญ๋โตอะไรแต่ใจมันโตกว่าตัว มีคนที่อยู่ว่างไม่เป็นคือฝรั่งเศส เขารังวัดแล้วบอกไปทั่วโลก อันเมืองเขมรที่อาตมามากินตับเสียแล้วนี้มีพื้นที่ทั้งหมด ประมาณ ๑๘๑,๐๐๐ กิโลเมตร ยาวจากเหนือจรดใต้ ๔๕๐ กิโลเมตร กว้างตะวันออกยันตะวันตก ก็ ๕๖๐ กิโลเมตร รูปร่างคล้ายรูปห้าเหลี่ยม ก็เห็นจะพอพัดพอเหวี่ยงกับภาคอีสานบ้านเรานั้นแหละ ท่านจางวางเพลิง
เอ้า ล่ออีกกรุ๊ป สมัยนี้การเข้าหุ้นทำมาหากินเขานิยมใช้คำว่า “กรุ๊ป” แต่อย่างพวกเรานี่ก็กรุ๊ปเหมือนกันแต่กรุ๊ปคนละอย่าง คำว่า “และบุตร” หรือ “กับเพื่อน “ ล้าสมัยไปแล้ว จริงไหมครับท่านจางวาง
เพื่อให้พ้นจากการนินทาลับหนังว่าบ้าน้ำลาย ผมขอเข้าเรื่องดังนี้ปลายยุคอยุธยานั้นกษัตริย์วงศ์บ้านพลูหลวง(เดี๋ยว นี้ตำบลนี้เรียกบ้านโพธิ์หลวง ) องค์สุดท้ายที่คนไทยไม่มีวันลืมพระนาม คือพระเจ้าเอกทัศน์ หรือพระที่นั่งสุริยามริมทร์ คนที่เกลียดท่านก็ถวายนามให้เสียหายไปเลยว่า “ขุนหลวงขี้เรื้อน” นี่ก็หนักไปหน่อย ความจริงที่เขาเขียนเล่ากันไว้ก็เพียงแต่พระองค์ท่านเป็นโรคเรื้อรังที่ผิวหนังอย่างที่หมอปัจจุบัน (ถ้าได้ตรวจ) ก็คงเขียนลงในโอพีดีการ์ดว่า “ซิฟิลิสขั้นออกดอก “ สมัยนั้นยาฉีดยากินดีๆ ไม่มี ท่านต้องเสวยแต่ยาต้มยาเม็ดมันก็เลยช้า อาจจะเป็นเพราะโรคนี้เองทำให้การป้องกันพระนครล้มเหลวจนข้าศึกถลกโสร่งลอยชายเข้ากรุงได้ ท่านขุนหลวงองค์นี้ขึ้นครองราชสมบัติเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๓๐๑ หลังจากที่ตลุยเลือดเจ้าพี่เจ้าน้องหลายองค์คือ เก่งกับพี่น้องแต่ไม่เก่งกับพม่าว่างั้นเถอะ
ในปีเดียวกันนี้เองเมืองเขมรซึ่งเวลานั้นเป็นเมืองขึ้นของไทย นักองตนเชื้อสายกษัตริย์เขมรก็ขึ้นครองราชสมบัติเหมือนกันมีพระนามเป็นทางการว่า “ สมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชรามาธิบดี “ เมืองเขมรกับเมืองไทยตอนนั้นเป็นโรคเดียวกันซึ่งเป็นโรคติดต่อของวงศ์กษัตริย์สมัยโบราณ คือแย่งกันเป็นพระเจ้าแผ่นดินในระหว่างเจ้าพี่เจ้าน้องจนถึงกับฆ่ากัน ผิดกับสมัยนี้แย่งกันเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีนัยว่าหาเงินคล่องเงินเดือนแพง ยิ่งผู้แทนยิ่งดีเงินเดือนมาก งานน้อยและช่องทางหาเงินก็มีมากบางคนทำการเกษตรปลูกพืชบางชนิดอบแห้งส่งออกเป็นล่ำเป็นสัน บางคนก็ร่วมกับพรรคพวกค้าขายผงอะไรก็ไม่ทราบชัดจนรวยล้นฟ้า วกเข้าเรื่องดีกว่า..... พระญาติของนักองตนหรือสมเด็จพระนารายณ์ราชาธิราชรามาธิบดี นักองนนท์บางคนเรียกนักองโนนคือลากเสียงยืดออกไปหน่อย แต่บางคนก็พูดเร็วก็เสียงสั้นเป็นนักองนน (เติมตัว ท. ทหารเข้าอีกตัวก็ดูขลังดี) ทั้งสององค์นี้เป็นลูกพี่ลูกน้องปู่คนเดียวกัน ชื่อก็อยู่ในแม่กนด้วยกันคือ “ตน” กับ “ นนท์” นักองนนท์มีชื่อเป็นทางการว่า “พระรามราชา” ในเรื่องรามเกียรติ์พระรามกับพระนาราย์ก็ใช้นามบัตรแผ่นเดียวกันแต่วงเล็บไว้แบบเดียวกับ “นายหนหวย” กับนายศิลปชัย แต่ในเมืองเขมรตอนนั้นเป็นคนละคนแย่งกันครองแผ่นดินเขมร แต่นักองตนหรือสมเด็จพระนารายณ์รอบจัดกว่านักองนนท์หรือพระรามราชาจึงได้ราชสมบัติ นักองนนท์แทนที่จะเข้าวัดอย่างเจ้าฟ้าอุทุมพรของราชวงศ์บ้านพลูหลวงหาทางระงับเวรด้วยการไม่จองเวร เพราะไม่ใช่ใครอื่นพี่ตัวแท้ๆ แต่สองนักองเมืองเขมรเป็นเพียงปู่เดียวกัน ด้วยเหตุนี้พระรามราชาจึงคิดหาทางแย่งราชสมบัติเขมรอยู่ทุกลมหายใจ แต่เมื่อยังไม่ได้จังหวะก็ทนเป็นรัฐบาลผสมอยู่ต่อไปชนิดปากปราศัยใจเชือดคอ อันเป็นแบบฉบับของรัฐบาลผสมทั้งหลายในโลกจะหนีมาเมืองไทยพึ่งบุญบารมีเจ้านายก็ยิ่งลำบากใจ ศึกประชิดกรุงศรีอยุธยา มาตั้งหลายปี ตกลงทนอยู่รอโอกาสต่อไป ก็พอดีกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ ก็ยิ่งหมดท่าที่จะเจ้ามาพึ่งใบบุญ กรุงแตกรัฐบาลและวงศ์บ้านพลูหลวงสิ้นวาสนา คนไทยบ้านแตกสาแหรกขาดสิ้นเนื้อประดาตัว แต่บรรดาหัวเมืองขึ้นทั้งหลายต่างก็ดีใจที่ได้หลุดพ้นจากอิทธิพลไทยเสียที
กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดีเพียงสามเดือนเศษ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็กวาดล้างพม่าสำเร็จชาติไทยจึงผงาดขึ้นมาอีก ภายใต้รัฐบาลใหม่ปละเมืองหลวงใหม่บ้านเมืองมาราบคาบเรียบร้อยเอาในปี พ.ศ. ๒๓๑๒ คราวนี้นักองค์นนท์หรือพระรามราชามีที่พึ่งแล้วมองเห็นทางที่จะเป็นใหญ่ในเขมร จึงพาสมัครพรรคพวกจากเขมรเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารพระเจ้ากรุงธนบุรี พระองค์ก็ทรงรับไว้อุปการะตามสมควรถือว่าเจ้าเมืองขึ้นก็เหมือนไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ต้องอุปถัมภ์คำ้ชูตามสมควร ความจริงเมืองไทยถือคตินี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ตอนนี้พระรามราชาได้ช่วงเวลาเฝ้าแหนก็คงจะใส่ไฟถายพระเพลิงสมเด็จพระนารายณ์ไม่ใช่น้อยเพราะได้โอกาสแล้วนี่ ประเพณีการจัดตั้งรัฐบาลนั้นข้อสำคัญต้องมีคนรับรองหรือยอมรับสถานภาพ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีก็เช่นเดียวกัน จัดการส่งหนังสือไปยังเมืองต่างๆ ที่เป็นข้าขอบขันธสีมาว่า บัดนี้ได้สถาปนารัฐบาลใหม่ขึ้นมาแทนที่กรุงศรีอยุธยาและวงศ์บ้านพลูหลวงแล้ว บรรดาเมืองขึ้นก็ไม่ใช่อี่นไกลที่ไหนก็่แค่ เชียงใหม่ , โคราช , นครศรีธรรมราช ,เวียงจันทน์ พนมเปญนั้นก็ถือเป็นประเทศหนึ่งนอกประเทศไทยไปแล้ว บรรดาหัวเมืองทั้งหลายที่อ่อนกำลังก็ยอมรับรองรัฐบาลและฐานะของพระเจ้ากรุงธนบุรีแต่โดยดี.
ส่วนเมืองที่คิดว่าตนมีกำลังเข็มแข็งก็ไม่ยอมรับ เมื่อเป็นเช่นนี้เรื่องมันก็รบกันเท่านั้นแหละครับ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนฯเสด็จยกกองทัพด้วยพระองค์เองบ้างและทรงมอบอำนาจให้แม่ทัพนายกองยกกำลังไปปราบปรามเมืองต่างๆ ที่ยังแข็งอยู่บ้าง รายละเอียดเรื่องนี้ปรากฎอยู่ในพงศาวดารกรุงธนบุรีอยู่แล้ว จึงไม่ขอนำมากล่าวให้เยิ่นเย้อสืบไปจะกล่าวแต่เรื่องเมืองเขมร ขณะที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนฯทรงมีศุภอักษรไปถึงพระนารายณ์ราชาฯเจ้ากรุงก้มพูชาเรื่องให้การรับรองรัฐบาลใหม่ของพระองค์นั้น ตรงกับปี พ.ศ. ๒๓๑๒
กล่าวถึงสมเด็จพระนารายณ์ราชาฯเจ้ากรุงกัมพูชาครั้นได้รับศุภอักษรของพระเจ้ากรุงธนฯแล้วนิสัยตลบแตลงเจ้าเล่ห์เจ้ากลก็เกิดขึ้นทันที แทนที่จะยอมรับรองรัฐบาลแต่โดยดีกลับหาเรื่องบิดพริ้ว ชรอยจะคิดว่าเมืองไทยเพิ่งจะผ่านพ้นกลึยุคมาใหม่ๆ คงจะไม่มีแรงพอไปตัดหัวเขมรได้กระมัง ดังนั้นสมเด็จพระนารายณ์ราชาฯจึงตอบศุภอักษรมาว่าไม่ยอมรับรองรัฐบาลกรุงธนบุรีและไม่ยอมขึ้นกับเมืองไทยสืบไป เหตุผลที่บรรยายมานั้นมีว่า สมเด็จพระนารายณ์ราชาฯขึ้นกับกรุงศรีอยุธยามาแต่เดิมและได้ถือนำ้พิพัฒน์สัตยาต่อพระเจ้าเอกทัศน์กษัตริย์วงศ์บ้านพลูหลวงองค์สุดท้ายก่อนเสียกรุง ฉะนั้นเมื่อสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้สืบเชื้อสายจากวงศ์บ้านพลูหลวงทั้งรัฐบาลใหม่นี้ก็ไม่ได้ตั้งที่กรุงศรีอยุธยาด้วยจึงไม่ยอมขึ้นกับเมืองไทย....
พอพระเจ้ากรุงธนฯได้รับตอบเช่นนี้ก็กริ้วขี้นมาทันที สั่งเตรียมทัพตีเมืองเขมรเป็นการด่วนให้มันรู้ไปใครเป็นใคร ตอนนี้เห็นจะต้องเล่นอีกสักก๊งละครับ...ถ้มีผู็จะนำเรื่องนี้ไปดัดแปลงเป็นบทละครชาตรีหรือบทยึ่เกก็ให้ปึ่พาทย์ขึ้นเพลงเขมรปากเจ่อแทนเขมรปากท่อได้แล้ว
กองทัพไทยที่ยกขึ้นไปเหยียบเมืองเขมรครั้งนี้พระยาอภัยรณฤทธิ์ดำรงตำแหน่งแม่ทัพ พระยาอภัยรณฤทธิ์นี้ต่อมาก็คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีนี่เอง อีกกองหนึ่งพระยาอนุชิตราชาเป็นแม่ทัพ ซึ่งต่อมาก็คือสมเด็จพระราชวังบวรสถานมงคลในรัชกาลที่๑ แห่งราชวงศ์จักรี พูดอย่างง่ายๆ อย่างชาวบ้านก็ว่าท่านเป็นน้องของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก จัดเป็นทัพที่ทัพน้องออกไปตีเมืองเขมร เท่านั้นยังไม่พอสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียังจัดทัพ เขมรอีกทัพหนึ่งให้พระยาโกษา(ล่าย) เขมรเป็นแม่ทัพและให้พาพระรามราชาหรื่อนักองนนท์ ซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพระนารายณ์ราชาไปในกองทัพไทยครั้งนี้ด้วย ได้ฤกษ์ทัพไทยทั้ง ๒ กองและเขมรอีก ๑ กอง ก็เคลื่อนพล ไม่ได้รอช้าเลยจนนิดเดึยวบุกเข้าแดนเมืองเสียมราฐและเมืองพระตะบองอย่างง่ายดาย คราวนี้เองเขมรก็ได้ประจักษ์แจ้งว่า กองทัพไทยนั้นยังมีฝีมือที่จะตัดหัวเขมรได้แม้ว่าจะสบักสบอมมาจากการกู้ชาติมาหยกๆ แล้วก็ตาม แต่ก็นั่นแหละครับ...พระนารายณ์ราชาเกิดมีทิษฐิมานะสู้ตายไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ส่งกองทัพเขมรออกมาประฝีมือกับกองทัพไทยเหมือนกัน แม่ทัพเขมรที่ยกมาต้านทานกองทัพไทยนี้คัดอย่างหัวกระเด็นว่าหนังเหนียวเป็นเขมรแท้ๆ อาสาออกมา พอมาปะทะเข้ากับกองทัพไทยรบกันไม่กี่เพลงทหารเขมรที่ว่าเก่งๆ เหนียวๆ ก็มีอันเป็นไป หัวแตก หัวแตน คอขาด พุงกะทิแตกบ้างแล้วแต่จะเป็นไปด้วยคมหอกคมดาบเห็นจะต้านทานไม่ไหว กองทัพเขมะกองนี้ก็แตกพ่ายไม่เป็นขบวนพระยากลาโหมตัวแม่ทัพที่ว่าเหนียวๆ กลับไม่เหนียวตายในที่รบดูเหมือนหัวเจ๊ดแผลตัวต่างหากจำซากไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้กองทัพไทยทั้ง ๓ กอง ก็ยึกเมืองเสียมราฐและเมืองพระตะบองไว้ได้โดยเด็ดขาด เขมรไม่กล้ามาวุ่นวายรบกันกนเดียวเพียวเบาะๆ ก็เข็ดขี้แก่ขี้อ่อนไป นี่เป็นเรื่องราวในประวัติศาสตร์ในครั้งกระโน้น คนเราดวงยังดีก็ไม่ถึงกับอับจน แต่ก็น้่นแหละสำหรับคนที่สร้างกรรมชั่วไว้แล้วกรรมก็ต้องตามสนองในวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว คราวนั้นถ้ากองทัพไทยจะบุกตลุยเข้ายึดเมืองหลวงเขมรก็ทำได้อย่างว่ายดายเพราะเขมรหมดประตูสู้แล้ว แต่ดวงของพระนารายณ์ราชาฯยังดี เพราะขณะนั้นแม่ทัพไทยทั้ง ๒ เกิดห่วงหน้าห่วงหลังขึ้นมา ก็จะไม่ห่วงอย่างไรเล่า ในเมื่อรู้อยู่ว่าขณะที่กองทัพไทยทั้ง ๒ กองนี้ยกออกมาจากกรุงธนบุรีนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงธนฯก็ได้จัดกองทัพอีกกองหนึ่งนำโดยพระองค์เองลงไปตีเมืองนครศรีธรรมราช ทีนี้ก็เกิดมีข่าวลือขึ้นมาว่า พระเจ้ากรุงธนฯสิ้นพระชนม์ในการรบที่เมืองนครศรีธรรมราชเสียแล้ว ข่าวนี้ไม่รู้ว่าใครกุขึ้นมา อาจจะเป็นเขมรกุขึ้นก็ได้เพราะการหาเรื่องหาราวโกหกตอแหลนี่เขมรเก่งมานานแล้ว คุณผู้อ่านก็คงจะทราบว่าสมัยนั้นไม่มีวิทยุ ไม่มีโทรเลขสำหรับสื่อข่าวสอบถามกัน แม่ทัพไทยพิเคราะห์ข่าวลือด้วยความรอบคอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เรื่องคอขาดบาดตายของชาติบ้านเมืองทีเดียว จะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ละเพื่อความปลอดภัยควรจะวางมือจากเมืองเขมรเสียก่อน แล้วยกทัพกลับบ้านกลับเมืองมาป้องกันทางนี้ไว้ สำหรับเมืองเขมรเมื่อบ้านเมืองเราเรียบร้อยแล้วจะมาคิดบัญชีเมื่อไหร่ก็ยังได้ เมื่อตกลงปลงใจเช่นนี้แล้ว แม่ทัพไทยก็เลยยกกองทัพกลับกรุงธนบุรี เป็นอันว่าเขมรรอดตายไปอย่างหวุดหวิดเพราะเหตุการณ์เข้าช่วย แต่เมื่อยกกองทัพกลับถึงกรุงธนบุรึแล้ว ก็ได้พบว่าไม่มีความจริงตามข่าวลือครั้นจะยกกองทัพกลับออกไปอีกก็เป็นเรื่องยุ่งยากแก่ทะแกล้วทหาร เพราะการเดินทัพสมัยก่อนเดินกันจริงๆ ไม่ได้มีรถไฟ หรือไม่มีรถบรรทุกลำเลียงพลอย่างทุกวันนี้ เมื่อทหารได้กลับมาถึงบ้านถึงเมืองแล้วก็ต้องปล่อยไห้เขาไปหาลูกหาเมียไปเยี่ยมแฟนบ้างตามธรรมเนียมตกลงเลยพักรบโดยปริยายไว้ก่อน
เอ้า หาอะไรมาแกล้มหน่อยซิ....พ่นมากไปมันชักคอแห้ง ป้าเพิ้งเอียงคอฟังจนนำ้หมากหยดไปแล้ว หาพร่าๆ ยำๆ มาแก้ปร่าสักหน่อยก็ยังดี อ้อ.... พ่อจางวางเพลิงตีวงเข้ามาเข้ามาสิท่านจากวางนี่ก็รู้เรื่องเมืองเขมรดีไม่ใช่หรื่อ?....
เอาละครับทีนี้กวกลับไปเรื่องเมืองเขมรอีกที หลังจากที่กองทัพไทยเข้าไปเหยียบเมืองเสียมราฐและพระตะบองดังที่ผมเล่ามาเมื่อกั๊กตะกี้ แล้วก็มีเหตุจำเป็นยกกองทัพกลับ แทนที่พระนารายณ์ราชาฯ จะสงบเสงี่ยมเจียมตัวหรือหาทางรอมชอมกับไทยโดยดีก็เปล่า กลับหาเรื่องหาราวหรือหาเรื่องห้วแตกต่อไปอีกตามสันดานเขมร ปีต่อมาคือ พ.ศ. ๒๓๑๔ เขมรหาเรื่องอีกแล้ว คิดดูซิครับคนพวกนี้ไม่รู้จักเข็ดหลาบเลยปีเศษๆ เท่านั้นหาเรื่องอีกรนหาที่ตายจนได้ คราวนี้จอมหาเรื่องเขมรคือนักพระโสทัตเป็นเจ้าเมืองเปี่ยม นักองผู้นี้ก็เป็นเชื้อวงศ์พงษ์กษัตริย์เขมรนั่นแหละ มีความเกี่ยวพันธ์กับสมเด็จพระนารายณ์ราชาฯเจ้ากรุงกัมพูชาอย่างสำคัญ คือ เมื่อพระนารายณ์ราชาฯหรือนักองตนยังเล็กๆอยู่นั้น นักพระโสทัตผู้นี้ก็ได้อุปถัมภ์คำ้ชูนักองตนหรือพระนารายณ์ราชาฯมาแต่เล็กแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพ่อเลี้ยง คะเนเอาว่านักพระโสทัตผู้นี้ตอนนั้นอายุคงจะมากแล้วเลยกลางคนขึ้นไปละหรือจะเรียกว่าเสือเฒ่าก็ยังได้ พอเห็นว่าทางเมืองไทยเฉยๆ ไม่มีทีท่าจะมาคิดบัญชีกับเมืองเขมรอีก นักพระโสทัตและขุนนางเมืองเขมรทั้งปวงก็เริ่มบทบาทเกเรเกตึขึ้น บังอาจรวบรวมไพร่พลตั้งกองบัญชาการขึ้นที่เมืองบันทายมาศและเมืองกรังชายทะเลติดแดนญวน ครั้นได้ไพร่พลมากพอสมควรแล้วเขมรก็ยกกองทัพเรือมาตีท้ายครัวไทยคราวนี้ตีเมืองตราดและเมืองจันทบุรีอย่างไม่ให้รู้ตัวตามสันดารเขมรซึ่งชอบทำอย่างนี้มาตั้งแต่ครั้งพระยาละแวก พระยาละแวกคอขาดก็เพราะประพฤติเยี่ยงโจรไม่ได้ทำตนให้เป็นนักรบ เขมรทั้งหลายก็น่าจะจดจำใส่ใจแต่นี้เปล่าเลยกลับนิยมชมชอบประพฤติเป็นโจรเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ กองโจรเขมรคราวนั้นทำการได้ผลตีเมืองตราดและเมืองจันทบุรีได้แล้วเพื่อนก็กวาดต้อนคนไทยไปเป็นเชลยที่เมืองเขมรอย่างที่เคยทำมา ทำไมผมจึงเรียกว่ากองโจรเขมรไม่ใช้คำว่ากองทัพเขมรก็เพราะว่าพวกนี้ทำการรบฉาบฉวยแบบกองโจรจริงๆ ไม่รบเป็นปึกแผ่นอย่างกองทัพไทย การที่กองโจรเขมรเข้าตีเมืองตราดและเมืองจันทบุรีครั้งกระโน้นแทบจะเรียกว่าเข้ามาปล้น คือเก็บหาผลประโยชน์ได้ก็รีบกลับบ้านเมืองของตน ไม่มีแผนว่าจะรุกลึกเข้ามาในราชอาณาจักรไทยเรียกว่าทำการรบฉาบฉวย นานครับกว่าจะใบบอกจะมาถึงกรุงธนบุรีเพราะไม่มีวิทยุ ไม่มีโทรเลยอย่างผมว่ามาแล้ว กว่ารัฐบาลของพระเจ้ากรุงธนฯจะได้ทราบกองโจรเขมรก็หายวับเข้าเขตเขมรไปฉิบเหมือนกับทุกวันนี้
เอาละซีทีนี้เกิดเรื่องใหญ่ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนฯท่านไม่ฉาบฉวยอย่างเขมรนี่ ท่านวางแผนแก้แค้นเหยียบเมืองเขมรเลยทีเดียว นี่แหละหนาไทยเราน่ะลงได้รบก็รบจริงๆ รบเป็นปึกแผ่นไม่ฉาบฉวยไม่รบเยี่ยงโจร คราวนี้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนฯจัดทัพเหยียบเมืองเขมรเป็น ๒ ทาง เพราะกริ้วมากทัพบกให้เจ้าพระยาจักรี ตอนนี้ได้เลื่อนจากพระยาอภัยรณฤทธิ์แล้ว คือเลื่อนจะพระยาเป็นเจ้าพระยา ก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ ต่อมาก็คือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯของเรานี่แหละ ดำรงตำแหน่งแม่ทัพบกพาพระรามราชาหรือนักองนนท์ยกเข้าไปตีเมืองพระตะบอง โพธิ์สัตว์และเมืองบริบูรณ์แล้วให้ตี ต่อไปจนกว่าเมืองเขมรจะราบเป็นหน้ากลองคราวนั้นกองทัพบกของเราเคลื่อนจากเมืองปราจีนบุรีเข้าเหยียบดินแดนเขมรตามแผนแล้วก็สามารถตีตะลุยต่อไปจนถึงเมืองบันทายเพ็ชร อีกทัพหนึ่งเป็นกองทัพเรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงนำทัพไปด้วยพระองค์เองเข้าตีเมืองชายทะเลบันทายมาศตะลุยดะขึ้นตามคลองเล็กจนถึงเกาะพนมเพ็ญหรือพนมเป็ญ เหยียบเมืองเขมรราบรื่นไป ทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือไทยทำการรบแบบสายฟ้าแลบจวนจะได้ตัวพระนารายณ์ราชาฯ เจ้าแผ่นดินเขมรมาตัดหัวแบบพระยาละแวกอยู่แล้ว แต่พระนารายณ์ราชาฯ ไม่ยอมคอขาด เมื่อเห็นกองทัพไทยบุกตะลุยเข้ามาทั้งทางบกทางเรือเช่นนั้นก็ส่งกองทัพออกสู้อย่างหนักเหมือนกันแต่ ไม่ได้เรื่องมันมือคนละชั้นนี่ครับขืนสู้ก็ตายเปล่า กองทัพเขมรแตกเป็นจุลมหาจุลไม่สามารถต้านทานกองทัพไทยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกองทัพบกไทยยังเคลื่อนไปตีเมืองบาพนมได้อีกเมืองหนึ่งแล้วจึงมาสบทบกับกองทัพเรือที่เกาะพนมเพ็ญกลางลำน้ำโขงจะเข้าเหยียบเมืองหลวงเขมรอยู่รอมล่อแล้ว ก็อย่างว่าแหละครับพระนารายณ์ฯกล้วคอขาดกลัวเป็นพระยาละแวกคนที่สอง เมื่อคับขันจวนตัวเข้าเลยทิ้งบ้านเมืองหอบลูกเมียหนึไปเข้าพึ่งญาน ไปขอกำลังทหารญวนมาช่วยป้องกันบ้านเมือง ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน เรียกว่าพงศาว สันดานเขมรนี้เจริญรอยตามกันแบบนี้ดีนัก กองทัพไทยเมื่อได้ชัยชนะเด็ดขาด แล้วไม่ได้พระเจ้าแผ่นดินเขมรมาตัดหัวก็เลยยกทัพกลับแต่ก็แก้แค้นด้วยการกวาดต้อนเขมรหัวเมืองรายทางดะมาเหมือนกัน
เอาละซีทีนี้พอกองทัพไทยยกกลับพระนารายณืราชาฯเจ้าแผ่นดินเขมรซึ่งหอบลูกหอบเมืยหนีตายไปพึ่งญวนก็ยกกลับมาเมืองเขมรบ้าง มาไม่มาเปล่าได้แสดงออกซึ่งความเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากลนกสองหัวอีกตามเคย คือนำกองทัพญวนเข้ามารักษาเมืองเขมรเช่นเดียวกับสีหนุเคยชักนำ้เข้าลึกชักศึกเข้าบ้านนำกองทัพต่างชาติเข้ามากดคอชาวเขมร ขณะนั้นกองทัพไทยยังอยู่ในระหว่างเดินทางกลับคือยังอยู่ในเขตเขมรนั่นเอง เมื่อได้ทราบเช่นนี้เจ้าพระยาจักรีหรือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกซึ่งทำหน้าที่กองระวังหลังก็เลยถือโอกาสกวาดต้อนครอบครัวขาวเขมรที่เมืองบารายและเมืองโพธิสัตย์เข้ามาเป็นการตอบแทน คราวนั้นได้ครอบครัวเขมรหมื่นครอบครัวเศษๆ ส่งเข้ามายังกรุงธนบุรี เพลงเขมรโพธิสัตว์จะเกิดขึ้นตอนนี้เสียกระมังครับ นอกจากจะได้ครอบครัวเขมรแล้วยังจับได้ขุนนางเขมรอีกสี่คน คือ พระยายมราชชื่อเดิมว่าควน อีกคนหนึ่งชื่อว่าพระยาราชเดชะ ชื่อเดิมว่ามู และพระยาไกรชื่อเดิมว่าลาย คนที่สี่คือพระยาแสนท้องฟ้าชื่อเดิมว่าลายอีกเหมือนกัน ครอบครัวเขมรหมื่อนกว่าครอบครัวที่กวาดต้อนมาครั้งนี้เมื่อเข้ามาถึงกรุงธนบุรีแล้วก็ให้ส่งไปอยู่เมืองราชบุรี ผมคิดว่าเขมรราชบุรีและเขมรปากเจ่อ.....เอ๊ยขอประทานโทษ.....เขมรปากท่อก็คงจะเกิดขึ้นในครั้งนี้แหละ และก็คงจะเกี่ยวพันกับครัวเขมรเหล่านี้ไม่ใช่น้อยที่ว่ามานี้มันก็สิบชั่วคนแล้วครับเชื้อสายของเขมรเหล่านี้ก็กลายเป็นคนไทยมีเลือดเนื้อเป็นไทยร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง