
ปาฐกถาพิเศษภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมแสดงโดย ภิกขุ พุทธทาส อินทปณโญณ พุทธสมาคม กรุงเทพฯ๕ มิถุนายน ๒๔๙๐เพื่อนสหธรรมิก และท่านสุภาพชน ทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีความรู้สึกยินดีตามเคย ในการที่ได้มากล่าวธรรมกถาที่นี่อีก รู้สึกยินดีก็ในข้อที่ว่า ได้มีโอกาสพบเพื่อนพุทธบริษัท ผู้มีความสนใจในเรื่องที่ข้าพเจ้าได้กำลังสนใจอยู่ การแสดงธรรมกถาในวันนี้ จะต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อน ในข้อที่ว่า ธรรมกถานี้เป็นข้อความที่ติดต่อกันมาเรื่อยๆ กับธรรมกถา ๔-๕ ครั้งที่ข้าพเจ้าได้แสดงมาแล้วในสถานที่นี้ นับตั้งแต่เรื่อง “วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม” เป็นต้นมา เพราะฉะนั้น ข้อความบางอย่างที่ได้เคยกล่าวไปแล้ว ในการแสดงครั้งก่อนๆ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำมากล่าวอีก และไม่เป็นวิสัยที่จะนำมากล่าว เพราะเป็นเรื่องหนึ่งๆ โดยเฉพาะ แต่ถีงกระนั้นก็ต้องทำความเข้าใจว่า ข้อความบางอย่างที่กล่าวในวันนี้ เนื่องอยู่กับข้อความบางตอนในครั้งกระโน้น ซึ่งท่านผู้ฟังจะต้องนึกทบทวนไปถึงเป็นธรรมดา สำหรับปาฐกถาในวันนี้ เมื่อจะกล่าวโดยใจความก็คือเรื่อง “ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม” หมายความว่า จะได้กล่าวถึงเครื่องกึดกั้นขัดขวางแห่งวิถึทางแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม จึงเป็นการเห็นได้ว่า เป็นข้อความที่เกี่ยวกับพุทธธรรมนั่นเอง สมตามเจตนาเดิมที่ตั้งไว้แต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ว่าการแสดงปาฐกถาที่พุทธสมาคมนี้ ข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงสิ่งที่เราเรียกว่า “ พุทธธรรม “ ในแง่ต่างๆกัน
ในตอนแห่งปาฐกถานี้ ข้าพเจ้าอยากจะดึงความสนใจของท่านผู้ฟังทั้งหลายให้ยนใจกันเสียก่อนในข้อเท็จจริงอันสำคัญประการหนึ่งคือข้อเท็จจริงที่ว่า คำพูดคำหนึ่งมีความหมายหลายชั้น และถือเอาความไม่ตรงกันทุกคนไป ทั้งนี้แล้วแต่ภูมิชั้นแห่งปัญญาหรือการศึกษาของเขา ทั้งนี้เพื่อท่านผู้ฟังจะได้เข้าใจในเนื้อเรื่องตามหัวข้อข้างบนได้โดยง่ายและชัดเจน.
คำที่เรามักมีความเข้าใจไม่ค่อยตรงกัน และมีความสำคัญในเรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ก็คื่อคำที่มีความหมายซับซ้อนสับสน อย่างคำว่า “ความจริง “ เมื่อถามกันขึ้นว่าอะไรเป็นความจริง อย่างนี้ พวกเราส่วนมากก็จะมีความคิดพุ่งตรงไปยังขัอที่ศาสดาเจ้าลัทธิหรือผู้สั่งสอนคนใดคนหนึ่งที่เรานับถือได้บัญญัติอย่างนั้นอย่างนี้ว่าเป็นความจริง ซึ่งเป็นความจริงของความเชื่อ แทนที่แห่งความจริงของปัญญา ซึ่งมักทำให้เขารู้สึกว่าเป็นการหลอกตัวเองอยู่บ่อยๆ สำหรับความหมายเพียง เท่าที่กล่าวมานี้ รู้สึกว่ายังไม่สมแก่นามที่จะเรียกว่า”ความจริง” คือมันยังแตกต่างกันตามที่ศาสดานั้นๆ ต่างคนต่างสอน และคนฟังหรือคนเชื่อเหล่านั้น ก็ยังฟังไม่ออกไม่ถูกไม่ตรง ไม่หมดจดสิ้นเชิงตามที่ศาสดาของตนสอน ตนก็ยึดถือเอาว่าเป็นความจริงอยู่นั่นเอง ซึ่งมันไม่อาจจะทำให้คนที่ถือหลักเช่นนั้น เข้าถึงความจริงได้ ความจริงของเขาเปลี่ยนไปตามกาลเวลาแห่งการศึกษาของเขา แต่เขาก็ได้ถือเอาว่าเป็นความจริงแท้ ทุกๆระยะมาทีเดียว ทั้งที่มันเปลี่ยนแปลงเรื่อย ถ้าผิดไปจากนี้ เขาก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนหลอกตัวเองและไม่มีความจริง ฉะนั้นในวันนี้ ขัาพเจ้าอยากจะบัญญัติความหมายของคำๆ นี้ เพื่อความเหมาะสมกับการที่ท่านผู้ฟังจะเข้าใจเรื่อง”ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม” ในวันนี้ “สิ่งที่เรียกว่าความจริงนั้นคือ สิ่งที่ปรากฎอยู่แก่ใจ เท่าที่เรารู้หรือสัมผัสได้ พร้อมทั้งส่วนที่เป็นเหตุ และส่วนที่เป็นผล” สิ่งที่เราไม่อาจรู้หรือสัมผัสได้ จนถึงที่สุดย่อมมีอยู่ทั่วไป กระทั่งถึงแม้ที่เป็นพวกวัตถุ ไม่ใช่จิตไม่ใช่วัญญาณอะไรมากมาย ความจริงในสิ่งเหล่านี้คืออย่างไรแน่ ก็ไม่มีหนทางที่จะบอกให้แก่คนที่ยังไม่เข้าถึงความจริงทราบได้ เพราะฉะนั้น โดยทั่วๆ ไป หรือตามที่มันเป็นอยู่แก่คนเราจริงๆ นั้น “ความจริง “ ก็คือสิ่งเท่าที่ปรากฎแก่ความรู้สึกของผุ้นั้น และสำหรับคนๆนั้นในขณะนั้นเท่านั้น.
สำหรับพุทธศาสนาของเรา ก็เป็นศาสนาที่ถือกันว่าแสดงความจริง ปัญหาจึงมีอยู่แต่เพียวว่าแสดงความจริงอะไร แสดงไปทั้งหมดทุกสิ่งทุกอย่างหรื่อเพียงแค่ไหน ในที่นี้เราต้องถือเอาตามหลักของพุทธศาสนาเองที่มีอยู่ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสอริยสัจคือ “ความจริงอันประเสริฐ “ หรืออีกนัยหนึ่งก็คื่อ”ความจริงของพระอริยะเจ้า” ซึ่งเราควารจะพิจารณาดูทั้งสองนัยตามลำดับ
คำว่าความจริงอันประเสริฐในที่นี้ หมายความว่า “เท่าที่จำเป็นแก่การพ้นทุกข์ “ ส่วนที่เลยจากความจำเป็นนั้นไป ไม่นับรวมเข้าในที่นี้ คนมักจะเข้าใจกันว่า ที่ว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูนั้น คือ รู้อะไรไปเสียทุกสิ่งทุกอย่าง รู้ทุกภาษาทุกเหตุการณ์ กระทั่งถ้าจะเอามาให้ทรงขับรถยนต์เดี๋ยวนี้ โดยไม่ต้องศึกษาเสียก่อน ก็จะทรงขับได้ดังนี้ เป็นต้น ความเป็นสัพพัญญูอย่างนี้ ไม่ได้เป็นไปตามความหมายที่ถูกต้องของหลักแห่งพุทธศาสนา ขืนถือเอาความหมายอย่างนี้่ ก็จะเกิดการสร้างสรรค์องค์พระพุทธเจ้าขึ้นมายึดถือไว้อย่างผิดๆ เท่านั้นเอง สัพพัญญูซี่งแปลว่ารู้ทุกๆอย่างนั้น หมายถึงความรู้เฉพาะเท่านั้นเอง สัพพัญญูซึ่งแปลว่ารู้ทุกๆ อย่างนั้น หมายถึงความรู้เฉพาะสิ่งที่ควรรู้สิ่งในที่จำเป็นจะต้องรู้ อันเกี่ยวกับความพ้นทุกข์สิ้งเชิงแล้ว ย่อมรู้สิ่งนั้นโดยถูกต้องครบถ้วนทุกประการ เพราะฉะนั้นจึงเรียว่าสัพพัญญู การที่จะถือเอาว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ทรงทราบภาษาจีน ภาษาแขก และ ฯลฯ โดยไม่มีการเรียนนั้นเป็นการเหลือวิสัยเกินไป เป้นการสร้างสรรค์เอาด้วยความรักและความเชื่อของคนสมัยหนึ่ง เพื่อดึงตัวเองและเพื่อนมนุษย์เข้าหาความเชื่อโดยทุกวิถึทาง และปราศจากความสำนึกถึงการเลยขอบเขตโดยถือเสียว่าการทำอย่างนี้ในชั้นนึ้ยิ่งมากยิ่งดี เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เป็นอันกล่าว่าวได้ว่า แม้ความจริงเท่าที่พระผู้มีพระภาคเจ้าท่รงทราบและทรงสอนนั้น ก็คือความจริงเท่าที่จำเป็นจะต้องรู้ คือเท่าที่เกี่ยวกับความพ้นทุกข์สิ้งเชิง จึงได้เรียกความจริงอันประเสริฐ.
ส่วนอีกนัยหนึ่งที่เรียกว่า “ความจริงของพระอริยเจ้า” นั้น ยิ่งเห็นความหมายได้ชัดเจน ข้อนี้หมายถคงความจริงที่พระอริยเจ้าท่านมองเห็น คนธรรมดาเราท่านมองไม่เห็นจึงไม่อาจเรียกว่า ความจริงของธรรมดา เมื่อใดเห็น เมื่อนั้นก็เป็นพระอริยเจ้าเสียแล้ว ฉะนั้นความจริงที่มีนามว่าอริยสัจ จึงได้แก่ความจริงอย่างหนึ่งหรื่อลักษณะหนึ่งโดยเฉพาะและเห็นได้ในขณะที่เป็นพระอริยเจ้าเท่านั้น ข้อนี้ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นว่า สิ่งที่เรียกว่าความจริงนั้นยังมีอีกมากมายนักและอยู่นอกเหนือความจำเป็น แม้เท่าที่อยู่ในวงของความจำเป็นจะต้องรู้จะต้องทราบ ก็ยังมีมาก ขนาดต้องใชัปัญญาของผู้ที่เป็นสัพพัญญู คนธรรมดาแม้จะรู้ความจริงถึงขนาดพ้นทุกข์แล้ว ก็รู้ในวงจำกัดเท่าที่เกี่ยวกับความจำเป็นของตนไม่กว่างถึงเพื่อผู้อื่นซึ่งมีอุปนิสัยใจคออย่างอื่นและก็เท่าที่ปรากฎแก่ใจของตนเท่านั้น.
โดยหลักวิชาหรือหลักลัทธิที่ตั้งขึ้นไว้ เราอาจบัญญัติความจริงว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้ตามใจชอบ และเรียนรู้หรือท่องจำกันไว้ได้แต่ครั้นมาถึงความจริงที่เป็นไปในใจหรือในการกระทำจริงๆ นั้น ตัวความจริงไม่ใช่สิ่งที่บัญญัติ แต่มาอยู่ที่สิ่งซึ่งเขากำลังมองเห็นและถือกันไว้ด้วยปัญญาของเขา และแตกต่างกันเฉพาะคนไป ความจริงที่บัญญัติไว้นั้น ถูกเอามาปรุงกันใหม่ตามอำนาจของความรู้สึกที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเหตุผลและเหตุการณ์ที่แวดล้อมอีกต่อหนึ่ง คำเดียวกันหรือลัทธิข้อเดียวกัน แต่มาอยู่ในใจของคนผู้ถือในรูปต่างๆกันเป็นคนๆ ไป แล้วแต่ว่าระดับความรู้สึกหรือใจของผู้นั้นอยู่ในลักษณะเช่นไรหรือเพียงไหน ตัวอย่างเช่นคำว่า “ความสุข” ซึ่งที่แม้ก็เป็นความจริงอย่างหนึ่งซึ่งมีลักษณะบของตัวเองโดยเฉพาะ แต่ในที่สุดความหมายของคำว่า ความสุขนี้ กลับแตกต่างกันเป็นรายๆ ไปไม่เหมื่อนกัน ซึ่งต่างฝ่ายต่างก็ถือเป็นความจริงของตนทั้งนั้น และกำลังถือกันอยู่จริงๆ ทั่วทุกคนไปไม่ยกเว้นใคร การที่จะเกณฑ์ให้เชื่อตามผู้อื่นในกรณีเช่นนี้โดยภายในใจย่อมเป็นไปไม่ได้ หากจะใช้บังคับกันด้วยความศักดิ์สิทธิ์ หรือความเคารพนับถือแล้ว ก็ย่อมจะเชื่อไปทีเท่านั้นเอง แม้ที่ถือกันว่าพระนิพพานเป็นสุข ก็กล้ากล่าวได้ว่ามีคนจำนวนมากที่ถือว่าพระนิพพานเป็นสุขนั้น ตกอยู่ในฐานะหลอกต้วเองคือเชื่อไปทั้งที่มองไม่เห็นว่าจะเป็นความสุขได้อย่างไร แต่เชื่อไปโดยเหตุว่าตนเป็นพุทธบริษัท หรือเชื่อด้วยความเคารพในพระพุทธวจนะแล้วก็ลืมความรู้สึกที่ฝืนความรู้สึกนั้นเสียอย่างนี้เป็นต้น แต่เขาก็ยังรู้สึกว่าเขามีความจริงของเขาอยู่นั้นเอง มนุษย์กำลังมีความจริงเป็นของตนเองอยู่ทุกคน.
เพราะเหตุนี้ความจริง หรือความสุข เพียงอย่างหนึ่งๆ หรือขนาดหนึ่งๆ ย่อมปรากฏแก่บุคคลคนหนึ่งๆ อยู่เสมอ ซึ่งเขาก็รู้จักความจริงหรือความสุขของเขาในลักษณะหนึ่งๆ ตามที่ปรากฏแก่ใจของบุคคล นั้นๆ ซึ่งเราควรจะกล่าวได้ว่า เขายังไม่รู้ความจริงพอที่จะบัญญัติว่าความสุขที่แท้หรือความถึงที่สุดนั้นเป็นอย่างไร แต่เขายังบัญญัติกันอยู่เสมอศาสดาก็บัญญัติ สาวกก็บัญญัติ ในเมื่อตนเกิดมีความจริงของตนและไม่พอใจในคำของศาสดา เพราะเหตุนี้เองจึงได้เกิดมีมติหรือลัทธิต่างๆ ว่าอะไรเป็นความจริง อะไรเป็นความสุข ซึ่งเป็นปัญหาเดียวกันกับปัญหาว่าอะไรเป็นนิพพาน เกิดมีผู้ที่มีความคืดเป็นอิสระบัญญัติสิ่งที่ปรากฎแก่ปัญญาหรือลงรอยกันได้ก้บความเชื่อของตน แล้วแต่กาละและเทสะ จนกระทั่งความสนุกสนานเอร็ดอร่อยในทางวัตถุ หรือกามคุณโดยเฉพาะ ก็เคยถูกบัญญัติว่าเป็นความสุข หรือจุดที่ปราถนาของชึวิตมาแล้วเป็นต้น หรือที่สูงขึ้นไปกว่านั้น ซึ่งไม่ข้องแวะกับกามคุณแต่เป็นความสุขเกี่ยวกับความสงบของจิตเป็นลำดับๆขึ้นไป กล่าวคือ สมาธิต่างๆ ก็เคยถูกบัญญัติว่าเป็นความสุขอันสูงสุด หรือเป็นพระนิพพานมาแล้วเหมือนกัน นี่ก็มีมูลเหตุมาจากหลักอันตายตัวที่ว่า ทำอย่างไรเสียคนเราบัญญุติความจริงได้เท่าที่ตนรู้สึกเอง เห็นอยู่กะใจเองจนเชื่อและพอใจเท่านั้น.
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ขึ้นมานี้ ประกฎว่า นิพพานซึ่งอยู่ในรูปอื่นลักษณะอื่นก็เคยเป็นจุดหมายของความสุขมาแล้ว เพราะเหตุว่าคนบัญญัติความสุขได้เท่าที่ตนรู้สึกเท่านั้นเอง สูงไปกว่านั้นไม่ได้ เราผู้อ้างตัวเองเป็นพุทธบริษัท นับถือพระส้มมาส้มพุทธเจ้าเป็นบรมศาสดา ก็พลอยกระโดดแผลบเดียวถึง ขึ้นไปยึดถือเอาความสุขหรือพระนิพพานอย่างแท้จริง (ตามความเชื่อ) ตามคำสอนของพุทธศาสนาด้วย ทั้งๆ ที่ใจหรือความรู้สึกนั้นไม้ได้รู้สึกซึมซาบความจริงหรือความสุขของนิพพานนั้นเลย ข้อนี้เองเมื่อเกิดถกเถียงกันถึงความจริงหรือความสุขหรือนิพพาน จึงเป็นเรื่องที่ฟั่นเฝือ ฉะนั้นเรามาทำความเข้าใจกันเสียในตอนนี้ก่อนว่า ความจริงหรือที่เราเรียกว่าความจริง เท่าที่มันเป็นไปในใจของเราจริงๆ ไม่ใช่บัญญัติอยู่ในคัมภีร์นั้น มันคือเท่าที่เรารู้และยึดถืออยู่เดี๋ยวนี้ นอกจากนั้นแล้ว จะเป็นความจริงของผู้นั้นไปไม่ได้เป็นความจริงของคัมภีร์ต่างหากหรืออย่างมากที่สุดก็เป็นความจริงของความจริงซึ่งเราจะเอื้อมไปจัดการยังไม่ถึง. เราต้องลงมือจัดการกับความจริงของเราเอง หรือที่เป็นไปในตัวเราเองก่อน จึงจะไม่เกิดเป็นภูเขาขวางวิถีแห่งพุทธธรรมขึ้น เหมือนอย่างหลักวิทยศาสตร์ทางวัตถุก็เหมือนกัน ที่จะถือว่าเป็นความจริงข้อหนึ่งๆ ได้นั้นมันถือได้เฉพาะหลักที่ปรากฎแก่การทดลองอย่างตายตัวแล้วเท่านั้น เลยจากนั้นยังเป็นความจริงที่ยังไม่มีหลัก หรือยังไม่พบ. และเมื่อพบแล้ว ความจริงที่พบก่อน จะเป็นความจริงที่แน่นแฟ้นขึ้น หรือไม่ก็กลายเป็นความเท็จไป เพราะพบความจริงอันใหม่ การที่จะดำเนินไปได้ในฝ่ายปฏิบัตินั้น ต้องยึดเอาความจริงที่กำลังเป็นอยู่จริงๆ เป็นประมาณแทนที่จะเอาความจริงของความเชื่อมาเป็นหลัก มิฉะนั้นแล้วก็ดำเนินไมไม่ได้ และรกหนาขึ้นเป็นภูเขาขวางทางเดินเสียเอง. ลักษาณะเช่นนี้แหละเป็นเหตุให้เกิดความฟั่นเฝือสับสน ขึ้นในหมู่พวกเรา ที่สนใจในพุทธธรรมหรือนิพพาน เพราะมัวแต่จะไปจับเอาความจริง ซึ่งไม่ใช่ของตัวมาบังคับให้ใจของเรารับเข้าไว้ว่าเป็นความจริง ส่วนธรรมชาติที่แท้ซึ่งครอบงำเราอยู่มันยอมให้ได้เพียงแต่ว่า “ใครรู็สึกว่าอะไรเป็นของจริงได้ ก็เพียงเท่าที่ใจของเขากำลังยึดถืออยู่ ว่าเป็นความจริงเท่านั้น” นอกนั้นจะจริงหรือเท็จก็ตามย่อมไม่มีค่าในทางที่จะเป็นความจริงแก่จิตใจของเขา ในเวลานั้น เขาจะต้องปรึ่เข้าพังทลายความยึอถือให้ปัญญาของเขาก้าวหน้าต่อไป แล้วความจริงของเขาก็จะเขยิบตามไปเองในปัจจุบันนั้นั้น ตัวเขาเองเป็นความจริง และความจริงของเขาคือ ความยึดถือของเขาเองเท่านั้น.
เมื่อได้วางหลักอันเกี่ยวกับความจริงลงไปว่า ตามที่เป็นอยู่ในใจของคนเราจริงๆ นั้นสิ่งที่เราเรียกว่าความจริง ย่อมมีอยู่ต่างๆ กันตามความรู้สึกและความยึดถือของเขาผู้นั้น เป็นชั้นๆ และเป็นคนๆ ไป เฉพาะในขณะหนึ่งๆ อย่างนี้แล้ว ก็ขอกำหนดถึงถ้อยคำที่จะกล่าวต่อไป ให้มองเห็นว่าเราจะพูดความจริงกันโดยถูกต้อง และตรงกันหมดได้อย่างไร และเมื่อใด ซึ่งมีใจความสั้นๆ อยู่ว่าต้องภายหลังจากการที่ได้ผ่านทะลุภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมไปแล้ว
ตามหัวข้อของธรรมกถา ในวันนี้ซึ่งชื่อว่า “ภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรม” นั้นเราจะได้พิจารณากันถึงสิ่งซึ่งกีดขวาง เป็นกำแพงมหึมาอยู่ข้างหน้า ซึ่งทำให้เราเข้าถึงพุทธธรรมไม่ได้ ทั้งๆที่เรามีความภักดีต่อพุทธธรรม หรือต่อศาสนาของเราอย่างเต็มที่อยู่เสมอ ถ้าเผอิญข้อความที่ข้าพเจ้ากล่าวออกมา จะเป็นถ้อยคำที่อาจจะแปลกก็ขอให้ท่านผู้ฟังพิจารณาด้วยความยุติธรรมไปก่อน . ตามที่เราจะสังเกตเห็นได้ทั่วไปตนเกือบจะเรียกได้ว่ามีแก่ทุกๆ คนนั้นคือ ถ้าเกิดตั้งปัญหาถามขึ้นว่าอะไรเป็นเครื่องปิดบังพระนิพพานอันเป็นตัวพุทธธรรมที่เราประสงค์จะเข้าถึงแล้ว เราจะพบคำตอบว่า “พระพุทธเจ้า” นั่นเองกลับมาเป็นภูเขามหึมาบังพระนิพพาน สภาพการณ์เช่นนี้กำลังมีอยู่ในจิตใจของพุทธบริษัททั่วๆ ไป ซึ่งถ้ากล่าวให้สั้นๆ ตรงๆ ที่สุดก็กล่าวว่า ท่านทั้งหลายไม่เข้าถึงพุทธธรรมก็เพราะว่า “ พระพุทธเจ้าตามทัศนะของท่าน “ ขวางหน้าท่านอยู่
ท่านทั้งหลายอย่าเพิ่งเห็นว่า ถ้อยคำข้างบนนี้เป็นคำแกล้งกล่าวอย่างอุตริ ตามธรรมดาพุทธบริษัทแต่ละคนต่างก็มี “ พระพุทธเจ้า” ของตนเป็นเครื่องยึดถือ ถ้าเขายังไม่รู้จักพระพุทธเจ้าได้อย่างถูกต้องเขาก็ย่อมทึกทักเอาสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าเป็นพระพุทธเจ้าไปก่อน ไม่เป็นคนว้าเหว่ เขาจะต้องมีอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นองค์พระพุทธเจ้าของเขา เช่นเดียวกับตัวความจริงที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ใครรู้อะไรเพียงเท่าไหน ก็เป็นความจริงของเขาเพียงเท่านั้น เพราะฉะนั้น เมื่อเขาเข้าใจว่าอะไรเป็นพระพุทธเจ้า สิ่งนี้นก็เกิดเป็น “พระพุทธเจ้าของเขา” ด้วยเหตุนี้เอง สิ่งที่ถูกขนานนามว่าพระพุทธเจ้า จึงมีอยู่ในลักษณะและขนาดมาตรฐานต่างๆ กัน แล้วแต่ความยึดถือของคนเป็นชั้นๆ ไปสำหรับเด็กเล็กๆ ถ้าถามว่าอะไรเป็นพระพุทธเจ้าก็จะมีความรู้สึกในตัววัตถุบางอย่างเช่น พระพุทธรูปในโบสถ์เป็นต้น ว่าเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งอาจเป็นตุ๊กตาชนิดหนึ่งก็ได้ทำด้วยอิฐด้วยปูนหรือทองเหลืองทองคำก็ได้ เด็กที่เล็กที่สุดมีความรู้สึกว่านั้นเป็นพระพุทธเจ้าของเขาจะเปลี่นแปลงไปจากนี้ไม่ได้ แต่เราก็ยกเว้นเป็นการให้อภัยแก่เด็ก.
ที่นี้ก็มาถึงคนโตๆ เป็นผู้ใหญ่แล้ว กระทั่งคนเฒ่าคนแก่ ซึ่งมีการกล่าว พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ฯลฯ อยู่ทุกๆ คราวที่มีการรับศึลฟังธรรมเทศนา ซึ่งกว่าจะตายก็นับได้ร้อยครั้งพันครั้ง ในปัญหาเดียวกันที่ว่าอะไรเป็นพระพุทธเจ้าของเขา เราก็ยังกล้ากล่าวได้อีกเหมือนกันว่า ไม่มีเหมือนกันทุกคน ต่างคนหรือต่างพวกล้วนแต่มีพระพุทธเจ้าของตัวไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง. คนที่เข้าถึงพระพุทธเจ้าแต่ในทางวัตถุ ไม่สูงถึงทางจิตก็ย่อมจะมีความรู้สึกของตัวเองถึงสมัยเมื่อสองพันปีกว่ามาแล้วว่ามีเลือดเนื้อกลุ่มหนึ่ง เดินท่องเที่ยวสั่งสอนประชาชนอยู่ในประเทศอินเดีย และนั้นคือองค๋พระพุทธเจ้าแท้ๆ ซึ่งข้อนี้จะดีไปกว่าที่จะเห็นเป็นทองเหลืองหรือทองคำที่เขาหล่อเป็นพระพุทธรูปเพียงนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าว่ากันโดยความจริงในด้านวัตถุแล้ว สำหรับเลือดเนื้อกลุ่มนั้น จะเป็นพระพุทธเจ้ามากไปกว่าในก้อนทองเหลืองทองแดงไปไม่ได้เลย . มิหนำซำ้พระองค์ก็ยังทรงปฏิเสธว่า นั้นไม่ใช่ตถาคต “แม้เขาจะคอยจับมุมจีวรของเราดึงเอาไว้” ไปทางไหนไปด้วยกันทั้งกลางวันกลางคืน ถ้าไม่เห็นธรรมะแล้ว ไม่ชื่อว่าเห็นตถาคตเลย” พระองค์ทรงปฏิเสธไว้อย่างนี้ ซึ่งเรากล่าวได้ว่าเป็นกระตะครุบเอาพระพุทธเจ้าผิดเข้าอีกครั้งหนึ่ง และควารได้รับอภัยทำนองเดียวกับเด็กเล็กๆ ข้างต้นนั้นเหมือนกัน.
เมื่อได้ปฏิเสธพระพุทธเจ้าโดยพระพุทธรูป โดยวัตถุหรือร่างกายของพระองค์เสียแล้ว ก็ยังเหลืออยู่แต่ทางจิตใจ หรือทางนามธรรม โดยวงกว้าง ซึงเป็นการควานหาได้โดยยากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นความผิดพลาดก็มีช่องทางมากขึ้นตามส่วน และยิ่งเป็นช่องโหว่ที่จะทำให้เกิดมีการคว่าองค์พระพุทธเจ้าเอามาในลักษณะที่แตกต่างกันอย่างวิตถารพิสดารเหลือที่จะคาดหมาย จึงเกิดเป็นการยึดถือเอตามความรู้ตามการศึกษาและศรัทธาของตนเอง เป็นพระพุทธเจ้าอย่างนั้นอย่างนี้เป็นดวงลอยโชติช่วงก็มี เป็นสายก็มี เป็นสีอย่างนั้น เป็นสีอย่างนี้ สามารถจะอัญเชิญให้ลอยมาที่นั้นที่นี้ได้ อ้อนวอนให้ทำกิจบางอย่างหรือพาไปที่นั้นที่นี้ก็ได้ ถึงกับจัดตั้งอาหารคาวหวานไว้ส่านหนึ่งสำหรับพระพุทธเจ้าที่เขาเชิญมามีมากมายหลายแบบ จนเหลือที่จะนำมากล่าวให้หมดสิ้นได้ รวามความว่าเขายึดถือเอาสิ่งนั้นเป็นองค์พระพุทธเจ้าของเขา ที่สูงไปกว่านั้นก็ยึดถือว่า พระพุทธเจ้าคือตัวอัตตาอันบริสุทธิ์ไม่เกิดไม่ตาย มีอยู่ในทุกแห่ง พร้อมที่จปรากฎทุกเมื่อ ซึ่งเราอาจกล่าวได้ว่าวิถีแห่งพุทธธรรมของเขามาสิ้นสุดลงเพียงนี้
ยิงกว่านั้นขึ้นไปอีก เราจะสังเกตเห็นได้ว่า แม้ที่สุดแต่ความรักในองค์พระพูทธเจ้าของบุคคลบางคนที่เป็นอริยบุคคลขั้นตำ่ยังไม่ถึงพระอรหันต์(เช่นพระอานนท์ ในสมัยที่พระศาสดายังทรงพระชนม์อยู่) ทั้งๆ ที่รู้จักลู่ทางแห่งพุทธธรรมอย่างถูกต้อง วิถีแห่งพุทธธรรมของท่านยังไม่วายถูกสกัดไว้ด้วยภูเขา กล่าวคือองค์พระพุทธเจ้าที่ท่านยึดถือไว้ด้วยความรักของท่านเอง ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นทีจะต้องกล่าวถึงพระพุทธเจ้าชนิดที่เป็นดวงเป็นแส อันเป็นที่ตั้งแห่งความรักจนหลงใหลเหล่านั้นเลย และในขั้นสุดท้าย อาจกล่าวได้ว่าถ้ายังมีความยึดถือว่ามีตัวตนที่เป็นนั้นเป็นนี่ เช่น เป็นพระพุทธเจ้า เป็นต้น อยุ่เพียงไร ก็ยังหมายความว่าวิถีแห่งพุทธธรรมของเขาไปได้เพียงแค่นั้นเท่านั้น โดยเผชิญกันอยู่กับภูเขาแห่งความยึดถือลูกนั้น เมื่อใดพระพุทธเจ้ของเขามาเกิดเป็นของว่างจากความมีตัวตนเช่นเดียวกับสิ่งทั้งปวงแล้า ภูเขามหึมานั้นก็พังทลายไปเอง่โดยรอบตัว โดยข้อความที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ เราพอจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ปุถุชนสามัญที่สุดขึ้นไปเป็นลำดับ จนกระทั่งถึงพระอริยบุคคลชั้นที่รองลงมาจากพระอรหันต์นั้น วิถีแก่งพุทธธรรม ของแต่ละคน ยังมีภูเขาขวางอยู่ ไม่มีภูเขาอะไรอื่นนอกไปจากความยึดถือเกี่ยวกับตัวตน และไม่มีความยึดถือเกี่ยวกับตัวตนอะไรอื่น ยิ่งไปกว่าความยึดถือในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่งของตน ซึ่งสำหรับพุทธบริษัทก็ไม่มีอะไรอื่นยิ่งไปกว่า”พระพุทธเจ้าตามทัศนะของเขา “ เขายังมีพระพุทธเจ้าตามทัศนะของเขาอยู่เพียงใด ก็แปลว่าเขายังมีความยึดถืออยู่เพียงนั้น.
ทีนั้ถ้าเราจะมองดูกันอีกแนวหนึ่งหรืออีกทางหนึ่ง ซึ่งนอกออกไปจากพระพุทธเจ้าเราก็อาจจะกล่าวได้อย่างไม่ผิดอีกเหมือนกัน ว่าแม้”พระธรรม” ของเขานั้นเอง กลับเป็นภูเขาขวางวิถีแห่งพระพุทธธรรมของเขา เพราะอาศัยความยึดถือทำนองเดียวกัน เราต้องไม่ลืมหลักอันเกี่ยวกับความจริงดังที่กล่าวมาข้างต้นว่า สิ่งที่เราเรียกว่าความจริงของเขาก็คือสิ่งเท่าที่เจ่ารู้นั้นเสีย แล้วเราจะพบว่าสิ่งที่เราเรียกว่าธรรมะหรือพระธรรมนั้น ถูกคนเรารู้จักและยึดถือไว้ในลักษณะรูปร่างที่ผิดแปลกแตกต่างกันหลายประการด้วยความยึดมั่น อย่างเหนียวแน่นที่สุด เมื่อยึดถือไว้ต่างกัน ก็มีการโต้เถียงกันว่านั่นต่างหากเป็นพระธรรม นี่ต่างหากเป็นพระธรรม แล้วแต่ผู้ที่ยึดถือจะมองเห็นของตัวอย่างไร บางพวกได้ยึดถือเอาเครื่องมือหรือหนทางที่จะปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพุทธธรรมมาเป็นตัวพุทธธรรมเสียเองก็มี ให้พระธรรมเป็นดวง เป็นแสง เลื่อนลอยไปในอากาศ เชิญไปไหนมาไหนได้อย่างพวกที่เชิญพระพุทธเจ้าข้างต้นก็มี ที่เป็นอย่างตำ่ที่สุด ถือเอาเล่มหนังสือหรือมัดพระคัมภีร์เป็นตัวพระธรรมเสียเลยก็มี เป็นการยึดฝ่ายวัตถุเกินไปทำนองเดียวกับเด็กๆ ที่ยึดเอาพระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้า การที่ถือเอาพระคัมภีร์เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช้เป็นประธานในพิธีสบถ สาบานหรืออ้อนวอนเสี่ยงทายต่างๆ ก็โดยประสงค์จะให้พระธรรมนั้นเป็นของมีจิตวิญญาณตัวตนขึ้นมาให้ได้ดังนี้เป็นต้น นับว่าเป็นการตะครุบเอาผิด เหมือนกับพวกที่ตะครุบเอาพระพุทธเจ้าผิดมาแล้วเหมือนกัน ต้องการให้พระนิพพานหรือพุทธธรรมนั้น เป็นบ้านเมืองเป็นโลกอันแสนสุข สำหรับตนจะจุติไปเกิดที่นั่น แล้วก็ตั้งบำเพ็ญสมาธิเพื่อความเป็นอย่างนั้น ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจความยึดถือในด้านวัตถุอันแรงกล้านั่นเอง.
ถ้าจะพิจารณาดูในส่วนธรรมะ ที่เป็นตัววิถีทางการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพุทธธรรมกล่าวคือ ศึล สมาธิ ปัญญา ก้จะพบว่า กำลังถูกยึดถือขึ้นเป็นภูเขาขวางวิถึทางของตนเองอยู่อย่างเดียวกัน. คนบางเหล่ายึดถือในศึลของตน จนดูหมิ่นผู้อื่น ก่อการแตกร้าว ทะเลาะวิวาทกันด้วยเรื่องศีล เพราะความยึดมั่นถือมั่นในศีลด้วยความสำคัญผิดถือเสียอย่างเครื่องจักร ยึดมั่นทุกตัวอักษรอย่างงมงาย รักษาศึลจนตายก็ไม่เคยปรากฎว่ามีศึลบริสุทธิ๋แล้วตายไปด้วยความเศร้าใจอันนั้น ถ้ามีคนพวกหนึ่งมากล่าวขึ้นว่า ผู้ที่มีใจตรงแน่วแล้วการรักษาศึลหรือสมาท่นศึลเป็นของไม่จำเป็นเลย เพราะมีศีลอยู่โดยปรกติเสียแล้วดังนี้ คนพวกที่ยึดมั่นในศึลก็จะค้านเสียงแข็ง หาว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิถึงกับทะเลาะกันก็ได้ ฉะนั้นธรรมะที่เป็นฝ่ายปฏิบัติในชั้นต้น กล่าวคือศีลนี้อาจเกิดเป็นภูเขาขึ้นขวางวิถีแห่งพุทธธรรมเมื่อใดก็ได้ ในเมื่อมีผู้ยึดถือว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ซึ่งมันเป็นความจริงของบุคคลคนนั้น อย่างที่เขาจะเห็นเป็นอื่นไปไม่ได้เลย แล้วก็ทำศึลให้เป็นภูเขาขวางทางของเขาเอง มันยังผลให้เกิดขึ้น คือความเนิ่นช้า กว่าจะป่ายปีนภูเขาลุกนี้ข้ามพ้นไปก็นมนามหรือถึงกีบตายเสียก่อนก็มีอยู่เป็นอันมาก.
แม้ธรรมปฏิบัติซึ่งเป็นขั้นสมาธินั้นเล่า ก็ถูกยกขึ้นถือไว้อย่างเป็นภูเขาสกัดทางตัวเอง ทำนองเดียวกัน เนื่องจากการปฏิบัติขั้นนี้สูงขึ้นพ้นระดับของสามัญชนหรือที่เรียกว่าขั้นอุตริมนุษยธรรม จึงเป็นที่ตั้งของความสึดถือโอ่อวดของผู้ปฏิบัติ ยิ่งไปกว่าขั้นศึล ความพอใจหลงใหลในสมาธิของตนตามที่ตนปฏิบัติได้เพียงไร ย่อมมีมากพอที่จะให้เผลอสติภูมิใจ หรือถึงกับหลงใหลยึดถือ. ทั้งพวกที่ปฏิบัติผิดทางหรือปฎิบัติถูกทาง ก็มีโอกาศที่จะยึดถือเท่ากัน . บางคนเจริญสมาธิได้ถึงขนาดที่ได้รับรสอันเยือกเย็นของความสงบอันเกิดมาจากสมาธิ ก็เป็นเอามากถึงกับยึดถือเอาว่านั่นเป็นพุทธธรรมขั้นสุดที่ตนได้ลุถึงเอาเสียทีเดียวทำนองเดียวกับที่ลัทธิบางลัทธิในสมัยพุทธกาลและก่อนพุทธกาล ได้บัญญัติสมาธิขั้นจตุตฌานว่าเป็นนิพานมาแล้วนั้นเอง แม้อันนั้ก็คือภูเขาซึ่งขวางชนิดหนึ่งเหมือนกันอันเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องพังทลายไปให้ได้ แต่ว่าความเป็นอยู่จริงๆ ในหมู่นักสมาธิบางหมู่นั้น ยังอยู่ในขั้นหลงยึดเอาสิ่งซึ่งไม่ใช่สมาธิมาเป็นสมาธิตามกฏแห่งธรรมชาติที่ว่า “ความจริงของเขาคือเท่าที่เขารู้และพอใจยึดถือ” ดังนั้นจึงเกิดมีสมาธิอีกประเภทหนึ่งซึ่งหนักไปในทางสี ทางดวง ทางภาพที่มาปรากฏอย่างแปลกประหลาด และมีการเชื้อเชิญอ้อนวอนทำทองเชิญวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และใช้เป็นเครื่องมือในทางดูเหตุการณ์ทำนายโชคชะตาต่างๆ ตามแต่ประสงค์จะใช้ ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์ทางวัตถุ แทนที่จะเป็นวิธีฝึกจิตเพื่อเข้าถึงพุทธธรรม หรือ นิพพาน ตามความประสงค์เดิมของธรรมปฏิบัติระบอบนี้ของพุทธศาสนา. ยิ่งกว่านั้นยังมีคนบางพวกไพล่ไปยึดถือที่รูปของพิธีรีตองต่างๆ ที่เป็นบุพภาคของการทำสมาธิตามแบบของคณะนั้นคณะนี้ ว่าเป็นตัวสมาธิเองก็มี หรือยึดถือกริยาอาการตามแบบแผนนั้นๆ ว่าเป็นตัวสมาธิ อย่างงมงายทุกตัวอักษรไปเสียก็มี โดยไม่ยอมทำความเข้าใจว่าความหมายอันแท้จริงของสมาธินั้นคืออะไร ดังนี้เป็นต้น แม้มีใครมากล่าวว่าเมื่อตั้งจิตได้ตรงแน่วแล้วสมาธิก้เป็นเองโดยไม่มีพิธี ดังนี้ก็จะค้านเป็นเสียงเดียวกันทีเดียว เขาไม่ยอมเชื่อโดยเหตุที่มีความยึดมั่นถือรั้นในสมาธิของตัว ว่าเป็นความจริงอันเด็ดขาด. ความยึดถือทั้งหมดนี้ เนื่องมาจากกฏธรรมชาติข้างต้นที่กล่าวแล้วว่า ความจริงของใครก็เป็นความจริงของคนนั้น ยากที่จะยอมเชื่อกันด้วยใจจริง เมื่อยังหลงผิดอยู่ด้วยความยึดถือภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมก็ยังตั้งสูงตระหง่านขวางหน้าอยู่เพียงนั้น.
สำหรับธรรมปฏิบัติที่เป็นขั้นปัญญานั้น ถ้าเป็นปัญญาจริงตามชื่อของมันก็ดีไป แต่ถ้าเป็นปัญญาที่ไม่รู้จักตัวเอง ซึ่งมีมูลฐานตั้งอยู่บนความจริงของความเชื่อ ความคาดคะเน หรือการเดาไปตามเหตุผล แล้วก็เกิดเป็นภูเขาขวางวิถีทางแห่งพุทธธรรมขึ้นเหมือนกัน. อีกอย่างหนึ่งซึ่งสำคัญที่สุดคือว่า เมื่อปัญญาของตนไปสิ้นสุดอยู่เพียงไหนก็บัญญัติเอาเพียงแต่ตรงนั้นว่าเป็นความจริงด้วยบริสุทธิ์ใจของตน และยึดมั่น ดังจะเห็นได้จากการที่มีลัทธิศาสนาและปรัชญาต่างๆ เกิดขึ้นและมีอยู่อย่างคับคั่งในโลกนี้. บางลัทธิเป็นปัญญาที่คบเฉียบก็มีแต่ก็ไม่วายที่จะเป็นภูเขากั้นขวางทางอยู่ระหว่างตัวเขากับนิพพาน. แม้ในวงของพระพุทธศาสนาเองก็มีปัญญา พวกที่เดินไปตามความตริตรึกตามอาการหรือเหตุแวดล้อม จนไปตีวงล้อมขังตัวเองอยู่ที่จุดใดจุดหนึ่งโดยไม่รู้สึกตัวยืนหยัดเสียงแข็งอยู่ว่าเป็นหนทางที่ถูกต้อง แล้วก็ติดแจอยู่ในแวดล้อมของภูเขาลูกนั้นออกมาไม่ได้ . ทั้งนี้ก็เพราะเหตุอย่างเดียวกับพวกที่กล่าวมาแล้วข้างต้นๆ คือกฎธรรมชาติที่ว่า” ความจริงของเขาคือเท่าที่เขารู้ และพอใจ “ ซึ่งข้าพเจ้าอยากจะกล่าวย้ำให้ท่านผู้พึงนึกทบทวนอยู่เสมอๆ . ปัญญาก็คือแสงสว่างแต่เหตุไฉนแสงสว่างจึงเป็นเครื่องบังเสียเอง ข้อนี้เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจกันเสียให้แนีชัดก่อนที่จะผ่านไป.
เมื่อปัญญาเดิมๆ หรือความรู้ของเขา ซึ่งเปรียบได้กับแสงสว่างที่อยู่ก่อนอย่างไร แล้วส่องลงไปในเหตุการณ์หรือเรี่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาย่อมได้รับความรู้สึกหรือความเข้าใจในเหตุการณ์นั้นๆ เพียงเท่าที่ปัญญาหรือแสงสว่างของเขาจะอำนวยให้. และเขาถือว่านั่นคือๆ ความจริง. ครั้นถึงสมัยอื่น เมื่อปัญญาเดิมๆ หรือความรู้ของเขาเปลี่ยนไปหรือก้าวหน้าไป เขามองเหตุการณ์อันเดียวกันนั่นเอง กลับเห็นไม่เหมือนกับที่เขาเห็นในครั้งก่อน แต่นั่นเขาก็ถือว่าเป็นความจริง. สิ่งที่เรียกว่าความจริงของเขาเปลี่ยนไปตามอำนาจเวลา หรือถ้าจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือเปลี่ยนไปตามแสงสว่างหรือปัญญาของเขานั้นเอง. ความแตกต่างในเรื่องนี้ จึงขึ้นอยู่กับแสงสว่างหรือปัญญาที่ส่องไปยังวัตถุนั้น แต่ตัวความจริงแท้นั้น ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน เพราะทุกขณะก็เป็นความจริง(ของบุคคลนั้น ในขณะนั้น) ไปหมด . เราจึงเห็นว่า แสงสว่างอันนั้นเองเป็นผู้บังความจริง ทั้งในด้านจิตและด้านวัตถุ.
ในด้านวัตถุเราอาจจะเห็นได้ง่ายๆ โดยพิจารณาดูในเรื่องอันเกี่ยวกับแสงสว่างนั่นเอง. วัตถุหรือสสารใดๆ ก็ตาม ที่มีอยู่ในโลกนี้ที่เราอาศัยแสงสว่างแล้วเห็นว่ามีรูปร่างสีสรรอย่างนั้นอย่างนี้และถือว่าเป็นความจริงนั้น ที่จริงมันอาจมีรูปร่างและสีสันอย่างอื่นก็ได้ แต่เราเห็นเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะมีแสงสว่างอันอื่นนอกจากแสงอาทิตย์ซึ่งมีสเป็คตรัมที่เราเห็นได้ถึง ๑๐๐ สีเล่า เราจะมิพบความจริงของวัตถุที่เกี่ยวกับสี กลายเป็นอย่างอื่นไปหรือ มนุษย์เราถูกจำกัดเขตให้อยู่ในวงจำกัด ได้รับแสงสว่างสำหรับจะเห็นอะไร ก็จากแสงอาทิตย์หรือเนื่องด้วยดวงอาทิตย์อย่างเดียวแสงสว่างที่เรามีใช้จึงถูกจำกัด สมรรถภาพเพียงเท่านี้ และการเห็นสีต่างๆ เพียวเท่านี้. ถ้าเกิดได้ดวงอาทิตย์ดวงอื่นมา เราก็จะเห็นสีต่างๆ เป็นอย่างอื่น. นี่เราก็ต้องถือว่าสีอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ในวัตถุนั้นๆ นอกไปจาก ๗ สีที่เราเห็นไม่ได้นั้น ก็ เพราะแสงสว่างของดวงอาทิตย์ดวงนี้มันหลอกเราให้เราถือเอาเป็นจริงว่าสีมีอยู่เพียงเท่านี้. เรียกว่าว่าแสงสว่างของดวงอาทิตย์ดวงนี้ เป็นตัวที่บังความจริงอันเกี่ยวกับสีต่อเรา โดยทำให้เราเข้าใจกันอย่างนี้เสียแล้ว. เมื่อใดเราได้แสงสว่างซึ่งทำให้เห็นสเป็คตรัมมากสีออกไปเราก็จะพบความจริงเรื่องเกี่ยวกับสีอย่างอื่นต่อไปอีก แต่มันต้องเป็นโลกอื่น หรือในที่อื่น ซึ่งไม่ต้องพึ่งอาศัยแสงสว่างจากดวงอาทิตย์ซึ่งมีแสงสเป็คตรัมให้เราเห็นเพียง ๗ สีอย่างดวงนี้. สำหรับในบัดนี้นั้นความจริงนั้นอยู่ที่ตรงไหนกัน มิใช่อยู่ที่ว่าสีมีเพียง ๗ สีดอกหรือ. แต่ความจริงที่แท้จริงนั้นเล่า มีเท่าไร ยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์คนใดในโลกนี้รู้ เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่มีดวงอาทิตย์แต่ดวงนี้ดวงเดียวเท่านั้นเอง. แต่ถึงแม้ในโลกแห่งดวงอาทิตย์ดวงนี้ดวงเดียวก็ตามเรายังอาจจะพบว่าแสงสว่างเป็นเครื่องบังความจริงได้เหมือนกัน เช่นเรามีวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของไม่รู้ว่าเป็นสีอะไรมาก่อนในเวลากลางคืนเราเอามาดูด้วยแสงตะเกียง ซึ่งไม่มีสีของสเป็คตรัมมาเต็มที่เหมือนแสงอาทิตย์ เราก็ไม่แน่ใจในเวลากลางคืนนั้นว่ามันเป็นสีอะไรแน่ต้องเก็บไว้ดูตอนกลางวันจึงจะแน่. นี่ก็เพราะแสงตะเกียงมันมีสมรรถภาพเพียงเท่านั้นและมันบังความจริง ให้เราเข้าใจเป็นอย่างอื่นไป. หรือว่าความจริงส่วนที่เรายังไม่เห็นนั้น ก็เพราะขาดแสงสว่างสำหรับเป็นคู่ส่องให้เห็นสิ่งนั้น. ฉะนั้นแสงสว่างชนิดหนึ่งๆ ย่อมให้ความจริงแก่เราในการเห็นเป็นอย่างหนึ่งๆนอกนั้นก็คือเป็นส่วนที่แสงสว่างอันนั้นบังเอาไว้ ด้วยการทำให้เราเข้าใจเป็นอย่างอื่นไป. นี่คือแสงสว่างได้บังความจริง.
ในทางธรรมหรือทางจิตใจก็อย่างเดียวกัน ถ้าความรู้หรือปัญญาเดิมๆมีอยู่อย่างไร นั่นก็คือแสงสว่างของคนๆนั้นที่จะใช้ส่องลงไปยังโลกหรือชึวิต หรือความเกิดแก่เจ็บตาย แล้วเขาก็ยึดหลักความจริงของเขาไว้อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยอนุโลมกันได้กับแสงสว่างของเขา. ส่วนความจริงที่จริงไปกว่านั้น หรือนอกเหนือไปจากนั้นซึ่งเขายังเห็นนั้น ก็คือส่วนที่ปัญญาเพียงขนาดนั้นของเขาบังเอาไว้ที่เรียกว่า “บัง” ในที่นี้ก็เพราะว่าเขารู้สึกว่า เขาได้มองดูอย่างทั่วถึงหมดความสามารถของเขาแล้ว ไม่มีอะไรเหลือซ่อนเร้นอยู่ เขารู้สึกอย่างนี้จริงๆ เขาจึงยึดถือเอาสิ่งที่เขาเห็นว่าเป็นความจริงอันเด็ดขาด. ความสำคัญผิดด้วยอำนาจความยึดถือในตัวเองเช่นนี้ เราเรียกว่าเป็นภูเขาแห่งวิถีพุทธธรรมของเขา. และเป็นไปอย่างผิดกับขั้นที่แล้วๆมา คือเป็นไปอย่างน่าจะเป็นไปได้เพราะเป็นการ “บัง” ของแสงสว่างเสียเอง. ถึงแม้ในวงของพวกพุทธบริษัทที่เป็นนักศึกษาและเรื่องปัญญา ก็ยังตกอยู่ในวิสัยที่อาจจะถูกครอบงำด้วยเครื่องบังทำนองนี้ของตนเอง นักศึกษาคนหนึ่งๆ ย่อมมีการสดับตรับฟัง การศึกษา ความรู้และปัญญาขนาดหนึ่งๆ เป็นของตนเอง เมื่อต้องมาตีความของพระพุทธวจนะประโยคหนึ่งประโยคเดียวกัน ก็มักจะตีความได้แตกต่างกันตามความเหลื่อมล้ำแห่งแสงสว่าง หรือปัญญาของตน หรื่อเมื่อจะต้องขบคิดข้อความที่ยากๆ เช่นเรื่องอนัตตาเป็นต้น ย่อมขบคิดไปได้แตกต่างกันไม่มากก็น้อยในขณะทียังไม่ถึงที่สุด ตนก็ย่อมจะยึดถือเอาส่วนที่ตนคิดได้แจ่มแจ้งด้วยตนเองว่าเป็นความจร้งอันเด็ดขาดของตน ด้วยอำนาจความยึดมั่นในความคิดและความเห็นแจ้งของตนเอง. ความยึดมั่นอันนี้ คือภูเขาที่ขวางอยู่ในวิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรมของนักศึกษาคนนั้นซึ่งเป็นหน้าที่ที่เขาจะต้องพยายามพังทลายต่อไปอย่างไม่มีทางจะหลีกเลี่ยงเป็นอย่างอื่น. ตลอดเวลาที่เขายังไม่รู้สึกหรือพังทลายมันไม่ได้ เขาก็เป็น”หลักตอในวัฏฏะ” ปักตรึงแน่นอยู่ต่ราบนั้น
ทั้งหมดนี้เราจะเห็นได้ว่า ภายในนามแห่ง พระธรรมก็อาจมีภูเขางอกมาจากความยึดถือในตัวพระธรรมเอง เช่นยึดถือเป็นดวงเป็นแสง เป็นบ้านเป็นเมือง หรือยึดถือทางวัตถุอย่างความคิดเด็กๆ ถือเอามัดพระคัมภีร์เป็นพระธรรมเป็นต้น , หรืองอกออมาจากความยึดถือในวิธีปฏิบัติอันจะให้เข้าถึงตัวพระธรรมหรือพุทธธรรม อันได้แก่ความยึดถือในศีล สมาธิ ปัญญา แต่ละอย่างจนเกิดเป็นการลงหลักปักแน่นอยู่ ณ ที่นั้น แทนที่จะถือว่าธรรมปฏิบัติเหล่านั้น เป็นเพียงเสมือนเรือ แพหรือยานพาหนะที่จะได้อาศัยข้ามไปสู่ความพ้นทุกข์สิ้นเชิง ก็กลับมาถูกยึดให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือตัวตนบุคคลอย่างนั้นอย่างนี้ไปเสีย ทั้งที่ตนได้ใช้ความพยายามและเสียสละอย่างเต็มที่ ก็ยังทำให้เกิดการเนิ่นช้า เนื่องด้วยเครื่องกีดขวางอันแน่นหนามหึมาเหล่านี้เอง.
ทีนี้ก็มาถึงพระสงฆ์ ซึ่งถ้าเราพิจารณาดูให้ถี่ถ้วน ก็พอจะมองเห็นได้บ้างเหมือนกันว่า ถ้าเกิดมีความยึดมั้นสำคัญผิดแล้ว “พระสงฆ์ของบุคคลผู้นั้น” ก็จะเกิดเป็นภูเขาขวางทางของเขาได้ อย่างไม่น้อยกว่า พระพุทธหรือพระธรรมเหมือนกัน. จิตของบุคคลบางคนที่นับถือพระสงฆ์ ไปยึดที่ผ้าเหลือก็มี ที่แบบวิธีของการบวชนั้นก็มี มีการเลือกพระสงฆ์ที่ตัวจะทำบุญด้วย ด้วยวิธีอันแปลกๆ คนไหนรู้จักเพียงแค่ไหน ในลักษณะไหน ก็ยึดถือพระสงฆ์ในลักษณะนั้นเพียงนั้น แล้วยังเคยดูหมิ่นผู้อื่นว่าไม่รู้จักพระสงฆ์ไปก็มี ในที่บางแห่งนับถือพระสงฆ์อย่างผู้วิเศษ สำหรับขับผึไล่เสนียดจัญไร หรือเป็นอาจารย์ผู้นำในเรื่องของขลัง อีกทางหนึ่งนับถือในฐานะเป็นสื่อหรือตัวแทนของสวรรค์หรือโลหหน้า หรือซึ่งกับถือว่าถ้าไม่ได้บวชสักนิดหนึ่ง ก็ไม่ใช่ญาติของพระศาสนาดังนี้เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่ทำให้หยุดชะงักอยู่ที่ระดับนั้น ไม่มีความเห็นอย่างแจ่มแจ้งรู้จักพระสงฆ์ตามที่เป็นจริง กล่าวคืดเห็ฯแจ้งพุทธธรรม อันเป็นตัวธรรมะที่ทำให้คนเป็นพระสงฆ์หรือเป็นหัวใจของพระสงฆ์. ความที่ตนมายึดมั่นตัวรู้จักพระสงฆ์ แล้วยึดถือพระสงฆ์ในรูปนั้นในลักษณะอย่างนั้น ย่อมเป็นเครื่องปิดกั้นทางดำเนินไปสู่ภูมิธรรมขั้นสูงสุดของตนได้ขนาดภูเขาขวางหน้าที่เดียว. และตามที่มันเป็นอยู่จริงๆ ในวงพวกพุทธบริษัทเรา ใครก็ต้องยอมร้บว่าลักษณะดังที่กล่าวมาทีังหมดนี้ ล้วนแต่มีอยู่จริงๆ อย่างครบถ้วนในวงพุทธบริษัทแม้เพียงในประเทศไทยเราไม่ต้องกล่าวถึงพุทธบริษัทในต่างประเทศ. และมีได้ตั้งแต่ชั้นที่มีการศึกษาน้อยขึ้นไปจนชั้นที่มีการศึกษามาก หรือเลยขึ้นไปถึงชั้นพระอริยเจ้าขั้นต้นๆ ที่ยังมีอุปทานบางอย่างที่ยังตัดไม่ได้ในขณะนั้นและข้อนี้เมื่อสรุปความแล้วก็คือว่า อัตตวาทุปาทานหรือความยึดมั่นด้วยวาทะว่าตัวตนนั่นแหละเป็นมูลฐานของสิ่งที่ปิดกั้น ปานประหนึ่งว่าภูเขาทั้งหลายเหล่านั้น.
ความยึดมั่นว่ามีตัวตน ว่าตัวตนนั้นเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นเครื่องบังอันแน่นหนายิ่งกว่าเครื่องบังทั้งหลาย. ถ้าจะเปรียบด้วยวัตถุก็อย่างกับภูเขาหิมาลัยที่เดียว ซึ่งเป็นกำแพงใหญ่สามารถที่บังคนในประเทศอินเดีย ให้ไม่รู้ได้ว่าทางประเทศไซบีเรียก็มีคนอยู่ หรือถึงกับเข้าใจว่าแผ่นดินผืนนี้ของตนไปสิ้นสุดเพียงที่ภูเขาอันสูงนั้น และสูงเลยขึ้นไปในเมืองฟ้าเมืองสวรรค์. ความยึดถือว่ามีตัว เป็นตน เป็นตน แล้วอย่างนั้นอย่างนี้นั้น ย่อมแตกแขนงออกไปได้เป็นหลายสาย ล้วนแต่มีสิ่งแวดล้อมเข้าประคับประคองเป็นเหตุผลในทำนองที่จะให้มีตัวมีตนเสียรำ่ไป. ความว่างจากตัวตนจึงเป็นสิ่งที่ถูกปิดบังหรือกลบฝังเสียอย่างมิดชิด. เมื่อเขาถือเสียว่าความว่างจากตัวตนนั้นไม่มี ก็ย่อมจะถือต่อไปว่าบุคคลที่จะเข้าถึงความว่างจากตัวตนย่อมมีขึ้นไม่ได้ คำว่า พระพุทธเจ้า หรือพระอรหันต์ ซึ่งความจริงเล็งถึงบุคคลผู้เข้าถึงความว่างจากตัวตนแล้ว ก็ย่อมถูกเพ่งเล็งไปในแง่อื่นประการอื่น. แม้ว่าเขาจะรักหรือนับถือในพระพุทธเจ้าสักเพียงไร ก็ไม่ใช่เป็นเพราะเห็นว่าท่านได้เข้าถึงความว่างจากตัวตน. เพราะเหตุนี้เอง พระพุทธเจ้าก็ตามพระสงฆ์ก็ตาม ตามทัศนะของบุคคลประเภทนี้ จึงมีอยู่โดยประการอื่น ซึ่งต่างไปจากทัศนะของบุคคลผู้เข้าถึงความว่างจากตัวตน. และพระธรรมขั้นสูงสุดที่ทำคนให้เป็นพระพุทธเจ้าหรือพระสงฆ์นั้นเล่า ก็หาใช่ภาวะแห่งความว่างจากตัวตนไม่. ทั้งนี้ก็เพราะมีความยึดถือในตัวตนจนแน่นแฟ้นเป็นต้นเหตุ.
เมื่อได้พิจารณากันถึงความยึดถือโดยประการต่างๆ ในฐานะเป็นเครื่องกั้นขนาดภูเขามาพอเป็นที่เข้าใจกันได้แล้ว ก็จะได้พิจารณากันถึงคนเรา หรือตัวผู้ถูกปิดกั้นต่อไป.
พวกเราในปัจจุบันนี้ แม้ที่นั่งกันอยู่ที่นี่ เราก็นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ กันทั้งนั้น, เรามีตัวเราเป็นผู้นับถือ, และที่นับถือก็เพื่อประโยชน์แก่ตัวเรานั่นเอง. เราต้องการจะให้ตัวเรานี้ อาศัยพระพุทธ พระะรรม พระสงฆ์ เพื่อการลุถึงนิพพาน. เมื่อเป็นดังนี้แล้วเรื่องมันจะไปอย่างไรกัน ในเมื่อ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์และตัวเราตามทัศนะของเรา ล้วนแต่เป็นกำแพงบังพระนิพพานเสียเองดัวนี้?
ถ้าหากจะถือว่าถ้อยคำที่กล่าวขึ้นเช่นนี้ เป็นการกล่าวอย่างกันเอง อย่างมิตรสหายในฐานะที่เราเป็นลูกของพระพุทธเจ้าร่วมกันแล้ว ก็ควรจะเกิดความเห็นอกเห็นใจกันและยึดถือว่าเป็นถ้อยคำปรับทุกข์กัน แทนที่จะเห็นไปว่าเป็นถ้อยคำด่าทอเสียดสี. ข้อที่เราจะต้องปรับทุกข์ต่อกันนั้นมีอยู่ว่า เราประกาศตัวเองในฐานะเป็นผู้แผ้วถางทางไปนิพพานแล้วมาตกอยู่ในระหว่างเครื่องกีดกั้นหุ้มห่อแน่นหนาชนิดที่น่าเวทนาสงสาร ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าเช่นนี้ เราควรจะพร้อมใจกันทำความเข้าใจให้ชัดเจนเด็ดขาด. เมื่อเห็นว่าเวลามีเหลืออยู่น้อยโดยที่ความตายใกล้เข้ามาแล้ว ก็ควรจะหาวิธิด่วนๆ ที่จะช่วยหันขจัดปัดเป่าอันตรายอันร้ายกาจนี้ ให้หมดสิ้นไปโดยเร็วให้ทันแก่เวลา. เพราะว่าถ้าเรายังคงสมาทานแต่เพียงวาจาว่า พุทฺธํ สรณํ คฺจฉามิ, ธมฺมํสรณํ คจฺฉามิ, สงฺฆ คจฺฉามิ ที่ไม่มีความหมายอันลึกซึ้งอะไรเลยอยู่เช่นนี้แล้ว มันก็มีแต่จะเป็นการเสริมกำแพงเครื่องกั้นให้หนามากขึ้นทุกที มากกว่าที่จะค่อยบางเข้า. ยิ่งทำไปจนตลอดชีวิต ก็ยิ่งหนาขึ้นตามอายุที่ค่อยมากขึ้นเท่าไร,ยิ่งทำไปหลายชีวิตหลายชาติ ก็ยังยิ่งหนามากขึ้นอยู่นั้นเอง หว่าจะบางได้เมื่อไรนั้น ในบัดนี้ยังไม่มองเห็นวี่แวว. ด้วยเหตุฉะนี้เอง ถ้หากจะมีการกระตุกกระชากกลับ ที่รุนแรงไปสักหน่อย ก็ควรจะถือว่าเป็นความจำเป็นของความต้องการในคำสอนหรือลัทธ ที่เป็นการรีบด่วนให้ทันแก่เวลา ซึ่งเป็นความฉลาดของพุทธบริษัทเอง. ถ้าหากว่าจะรอเพื่อศึกษาปริยัติให้จบพระไตรปิฎกหรือจะสมาทานศึล บำเพ็ญสมาธิ เจริญปัญญา ให้ครบทุกชนิดที่มีการสอนกันไว้อย่างนี้ก็เป็นการเหลือวิสัยที่ทุกคนจะทำได้ในชาติหนึ่ง หรือถึงสิบชาติ. ฉะนั้นควรจะเพ่งเล็งตรงไปยังปัญหาเฉพาะหน้าเท่าที่จำเป็นเพื่อได้ออกไปให้พ้นโดยเร็ว จะเป็นการฉลาดกว่า โดยอาศัยหลักที่ว่า ถ้าออกไปจากทุกข์ได้แล้ว มันก็ถึงที่ที่เราประสงค์ ซึ่งเป็นความมุ่งหมาย ของศีล สมาธิ ปัญญา หรือความมุ่งหมายของการนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของพวกเรา หรือจะเรียกว่าเราเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เสียเองก็เรียกได้. ความสำคัญในเรื่องนี้จึงอยู่ที่การออกไปได้หรือลุถึงความพ้นทุก์เด็ดขาด ไม่ได้อยู่ที่การเรียนจบพระไตรปิฎก หรือทำอะไรได้มากๆ แปลกๆ อย่างวิตถาร พิสดาร. จุดที่มุ่งหมายของเรามีเพียงความพ้นทุกข์สิ้นเชิง จะมีมาได้โดยอาการอย่างไรก็ตาม เรียกว่ามีผลเท่ากัน. ส่วนที่มากออกไปกว่าความพ้นทุกข์หรือนิพพานนั้น เราไม่เอา คือเกินความจำเป็น ทำให้เนิ่นช้า เราเอาเพียงเท่าที่จำเป็นและตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรงประสงค์สำหรับพวกเรา. สำหรับหลักเกณฑ์ ในการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงพุทธะรรมหรือความพ้นทุกข์เด็ดขาดมีอยู่อย่างไรนั้น ของให้ย้อนรำลึกไปถึงปาฐกถา ๔-๕ ครั้ง ที่ข้าพเจ้าเคยแสดงแล้วที่พุทธสมาคมนี้แต่หนหลัง ในวันนี้เราพิจารณากันเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องกีดกั้นปิดบังเป็นส่วนใหญ่. เราจะจัดการกับเครื่องกีดขวางอันเร้นลับกล่าวคือตัวเองบังตัวเองนี้อย่างไรนั้น เราจะต้องถือเอาบุคคลตัวอย่างคือพระพุทธเจ้าให้ถูกตรงตามความหมาย.
ในกรณีที่กล่าวว่าพระพุทธเจ้า (ตามทัศนะของผู้นั้น) เป็นเครื่องบังนิพพานเสียเองนั้น ถ้าเรามานึกกันดูให้ดีว่าได้บังไว้อย่างไรแล้ว เราจะเห็นว่าเพราะเราไม่มีการรู้จักตัวเองอย่างถูกต้อง จึงเกิดความต้องการพระพุทธเจ้า และสร้างพระพุทธเจ้าขึ้นด้วยตัณหาของตนเองตามทัศนะของตนเอง หุ้มห่อตัวเอง จนเหลียวไปทางไหนก็พบแต่สิ่งนี้ จนกระทั้งเป็นสัญญาแห่งอดีต คือรู้จักความว่างจากตัวตน. เมื่อนั้นก็ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่ว่าอย่างไหนหมด ไม่มีผู้บัง ไม่มีผู้ที่ถูกบัง, ไม่มีการแสวงหา เพราะไม่มีผู้ที่มีความต้องการ. ถ้าเรามีความว่างจากตัวตนอย่างไรพระพุทธเจ้าก็ควรจะมีความว่างจากตัวตนอย่างนั้น. ถ้าเ่รายังคลำตัวเราพบในลักษณะอย่างไร เราก็คงคลำจนพบพระพุทธเจ้า(ตามทัศนะของเรา) ในลักษณะที่เข้ารูปกันได้อยู่เพียงนั้น. ถ้าเราคลำพบความว่างจากตัวตนของเราเมื่อใด เราก็ต้องคลำพบความว่างจากตัวตนของพระพุทธเจ้าด้วยเมื่อนั้น แล้วก็จะไม่มีตัวผู้ต้องการ หรื่องสิ่งที่ต้องการ ไม่มีผู็แสวงที่พึ่ง และผู้ที่จะเป็นที่พึ่ง.
แต่ว่าตลอดเวลาที่คลำตัวเองไม่พบว่าได้แก่อะไรกันแน่ ก็ต้องมีการยึดถือ เที่ยววิ่งตะครุบนั่นนี่ไปตามความยึดถือเป็นธรรมดา แล้วก็พบกันไม่ได้กับพุทธธรรม. ความเป็นอย่างนี้ ได้เคยมีมาแล้ว แม้แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าเอง ตามข้อความในพระคัมภีร์ตอนหนึ่งซึ่เขียนได้ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในขณะนั้น ซึ่งเป็นการพบความจริงแล้วหรือถ้าจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ การคลำพบตัวเองอย่างถูกต้องในที่นี้นั่นเอง ซึ่งก่อนหน้านี้พระองค์ก็ได้ทรงเที่ยวคว้าเที่ยวตะครุบให้มีไว้สำหรับยึดถืออย่างนับไม่ถ้วนมาแล้วเหมือนกัน. ครั้งเมื่อแสงสว่างอันประเสริฐเกิดขึ้น กล่าวคือพระองค์ได้ตรัสรู้ถึงพุทธธรรม ความสงบสุข และโล่งโถงก็มีมาโดยไร้เจตนา ข้อความที่เป็นภาษาบาลีนี้ ก็คือ บาลีว่า อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ, คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขาชาติ ปุนปฺปุนํ , อันเราเคยได้ยินอยู่ทั่วๆ ไป ซึ้งข้าพเจ้าเชื่อว่าหลายสิบคนที่นั่งอยุ่ที่นที่ก็ท่องได้ บาลึนึ้ถ้าถอดเอาแต่ใจความ่แท้ๆ เป็นภาษาไทยก็มีว่า “เราได้แต่มัวหลงเที่ยวแสวงหาผู้สร้างที่เราต้องการ,และเมื่อยังไม่มาปรากฏความสว่างแจ่มแจ้งว่าอะไรเป็นอะไรนั้น ต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฎฏ์ซึ่งมีการเกิดนับไม่ถ้วน. ทุกๆ เรื่องที่เข้าไปจับฉวยคือทุกๆ ชาติที่เกิดเป็นความทุกข์เสมอ” อันข้นความตอนนี้รวมความก็คือว่า ได้เคยมีการตะครุบเอาผิดเพราะยังไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร ครั้งต่อมาได้ทรงพบความจริงถึงความที่เคยผิดพลาดไป แล้วอย่างไรและปล่อยเสียได้ จึงได้ทรงออกอุทานด้วยความปีติดังถ้อยคำข้างบนนั้น ซึ่งบรรทัดต่อไปมีว่า “เดี๋ยวนี้ เราพบแกแล้ว เจ้าคนนักก่อสร้าง ที่เราเคยคิดว่า จะช่วยสร้างสิ่งที่เราต้องการให้เราไม่ได้อีกต่อไป เพราะเรารู้เสียแล้วว่าแกเป็นอะไร “ (คหการก ทิฎฺโฐสิ, ปุนเคนํ น กาหสิ.)”เครื่องประกอบที่จะมาสร้างบ้านเรื่อนนี้ เราหักมันเสียหมดแล้วกระทั่งโครงยอดหลังคาเรือน เราก็ได้ทำให้มันเป็นสิ่งที่จะนำมาใช้ไม่ได้อีกต่อไป”(สพฺเพ เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฎํ วิสงฺขตํ) อันนี้แสดงให้เห็นว่าพระองค์ได้ทรงคลำตัวตนพบอย่างถูกต้องถึงที่สุดแล้ว. และบรรทัดสุดท้ายก็คืด “จิตถึงแล้วซึ่งความเป็นสภาพที่อะไรจะหนุนไม่ขึ้นอีกต่อไป คือปรุงแต่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้อึกต่อไป. มันได้ขึ้นถึงภาวะแห่งความหมดสิ้นไปของตัณหา เพราะฉะนั้นมันจึงถูกหมุนให้เป็นอะไรไม่ได้อีกต่อไป” (วิสงฺขารคติ จิตฺตํ ตณฺกานํ ขยมชฌคา)
ข้อความนี้ทั้งหมดไม่สำคัญ แต่สำคัญอยู่ที่ว่าภายในพระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้นเป็นอย่างไร.
พระหฤทัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าในขณะนั้น ก็คือเป็นความรู้สึกของบุคคล ที่ได้ทะลุกำแพงขวางของตัณหาและอุปาทานออกไปได้สิ้นเชิงแล้ว. ตัวเองนั้นไม่ใช่ตัวเองที่เคยมีความยึดถือว่าเป็นตัวเองและต้องการอะไรต่างๆ. ในชั้นแรกเราเองต้องการอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วเที่ยววิ่งกาคนหรือสิ่งที่จะทำให้ตนได้รับความพอใจอย่างนั้นอย่างนี้อันทำให้เกิดเป็นวัฏฏสงสารขึ้นมา. ครั้นบัดนี้ได้พบว่าตัวผู้นี้ที่เที่ยววิ่งหานั้น ไม่ใช่ตัวเองอย่างนี้แล้ว จิตที่ขึ้นสูงถึงขั้นที่ไม่มีตัวเองนี้ จึงหมดความปรารถนาโดยทุกวิถีทาง. เมื่อรู้ว่าไม่มีตัวบุคคลผู้ปรารถนา , ความสิ้นไปแห่งความปราถนาก็เกิดขึ้นแก่จิตนั้น ชนิดที่บุคคลผู้ยังมีความปรารถนาย่อมไม่ต้องการจะให้เกิดขึ้น. ทั้งนี้ก็เพราะเหตุที่สามารถทะลุภูเขาแห่งความยึดถือว่าตัวตนออกไหได้นั่นเอง. จึงเห็นได้ว่าการที่มีการยึดถือเป็นตัวตนขึ้นมาเป็นตัวเราตัวเขา ของเราของเขาก็ตาม ย่อมเป็นที่จับฉวยติดแน่นของจิตอยู่ตลอดเวลา และเป็นเครื่องกั้น ซึ่งจะหนาหรือบาง หยาบหรือละเอียด ย่อมแล้วแต่ความหยาบหรือละเอียดของอาการที่ยึดถือหรือสิ่งที่ยึดถือ. การยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของตัวเองดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้น ก็มีมูลมาจากการยึดถือว่ามีตัวตนทำนองเดียวกับที่ยึดถือตัวเองว่ามีตัวตนในสมุฏฐาน. เพราะฉะนั้นจึงเห็นความว่างจากตัวตนใน พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไม่ได้ เช่นเดียวกับที่เห็นความว่าง จากตัวตนในตนเองไม่ได้นั้นเหมือนกัน. เมื่อความยึดถือว่าตัวตนเช่นนี้ยังเคลือบหุ้มอยู่เพียงใด ก็ยังไม่อาจจะคลำพบตัวเองอย่างถูกต้องได้อยู่เพียงนั้น . จึงยังมีความต้องการและมีการแล่นเป็นวงกลม คือมีวัฏฏสงสารซึ่งบรรจุเต็มไปด้วยความทุกข์ ความกนัก ความมือ ความปิดกั้น ความผูกมัด และอี่นๆ ฯลฯ พอทะลุภูเขาอันนี้ออกไปได้ ในขณะนั้น เท่านั้นวัฏฏสงสารก็ขาดสะบั้นลงในขณะนั้น ไม่ต้องรอจนกว่าจะตายก็ได้พบกันกับความสงบชนิดที่พระองค์ทรงพึมพำพระองค์เองผู้เดียวมาแล้ว. ความรู้สึก อันนี้รุนแรงมากถึงกับทำให้พระผู้มีพระภาคเจ้าหลุดพระโอษฐ์พึมพำถึงรสชาติของการรอดจากเงื้อมมือของอุปาทานหรือความยึดถืออันเกี่ยวกับตัวตนอยู่พระองค์เดียว ซึ่งตามพระคัมภีร์กล่าวว่า ได้ตรัสพระพุทธอุทานวจนะอันนี้แก่พระสาวกในภายหลังจากที่พระองค์ได้ดื่มธรรมรสอันนี้อยู่เป็นเวลาหลายวัน.
จากเหตุการณ์อันเกี่ยวกับพระผู้มีพระภาคเจ้าดังกล่าวมานี้ เราจะเห็นได้ว่าอาการที่จิตเข้าจับฉวยเอาสิ่งไดสิ่งหนึ่ง ว่าเป็นตัวตนนั้น มันกลายเป็นความถูกต้อง หรือความจริงของบุคคลนั้น ในขณะนั้นไปเสียแล้ว และเป็นเช่นนั้นตลอดเวลา มันจึงเป็นเครื่องกั้นขนาดภูเขา. ถ้าหากว่าถอนอัตตานุทิฎฐิอันนี้ออกเสียได้เมื่อใด ภูเขาก็พังครืนลงมาเองพร้อมกัน เพราะว่าเครื่องกั้นทั้งหลายเหล่านั้นทั้งที่เป็นอันเล็กอันใหญ่เนื่องกันอยู่ ย่อมตั้งอยู่บนของสิ่งนี้ คือบนอัตตานุทิฎฐิ ความเห็นว่าเป็นตัวตน. แต่ว่าความยากลำบากของเรื่องนี้มิได้อยู่ที่เทคนิคของการพังทลายภูเขา มันกลับมายากลำบากอยู่ตรงที่เรากลับมารักและนับถือภูเขาเสียเอง. ฉะนั้นเราควรหันมาปรับทุกข์กันอย่างขนานใหญ่จะดีกว่า. เรามามองดูกันและกันในทางที่เป็นพุทธบริษัทคู่ทุกข์คู่ยากด้วยกัน ด้วยความซื่อตรงต่อกัน ไม่ต้องเกรงใจกันในการที่จะช่วยกันทักท้วงหรือแก้ไข. เราเห็นกันอยู่แล้วว่า พวกเราทุกคนมีใจที่กำลังแนบสนิทกันอยู่กับสิ่งที่ตนยึดไว้ ว่าเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์. การศึกษาและปฏิบัติธรรม ก็ว่าอุทิศพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่แล้วในที่สุดก็ไม่อาจรู้หรือพบว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่แท้จริงนั้นคืออะไรอยู่ที่ไหน เนื่องจากการอุทิศนั้นมันมีความเห็นแก่ตัว หรือประโยชน์ของตัวเป็นมูลฐานสำคัญมาเสียตั้งแต่ต้น ซึ่งถ้าปราศจากสิ่งนี้เสียแล้ว ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครทำอะไรที่อุทิศ พระพุทธพระธรรม พระสงฆ์ เลย. เมื่อเราไม่สามารถเข้าถึงภาวะอย่างที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ท่านเป็นกันอย่างนี้แล้ว มันจะเป็นอย่างไรบ้าง จะเป็นการขาดทุนหรือได้กำไร หรือว่าเป็นทั้งสองอย่าง ก็น่าจะลองนึกดูอย่างละเอียด การลงทุนลงแรงของพวกพุทธบริษัทในการจัดการปริยัติวัดวาอาราม ลงทุนปีหนึ่งนับล้านสำหรับสมัยนี้ ถ้าสามารถทำคนให้เข้าถึงความจริงของพุทธธรรมได้ ก็นับว่าได้ผลคุ้มกัน เป็นอันรอดพ้นไป. แต่เมื่อมามองถึงภาวะที่ยังต้องถูกผูกพันกันอยู่กับความเท็จ ความมือมัว ไม่สามารถถอนตัวเองออกไปจากความทุกข์ที่ท่วมทับได้นี้ นับว่าเป็นการเสียสละที่น่าเวทนาสงสารน่าเสียดายมากอยู่. จิตใจขงเรารู้สึกว่าเข้าถึงและแนบแน่นกันอยู่ที่พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของตัวเอง การอุทิศก็เลยกลายเป็นอุทิศแก่พระพุทธรูปทองเหลืองทองแดง หรือรูปกายที่เดินไปมาอยู่ในประเทศอินเดียเมื่อสองพันปีมาแล้ว หรือดวงเขียวๆ แดงๆ ที่ตนสามารถอัญเชิญให้ลอยไปลอยมานั้นมากกว่าอย่างอื่น ซึ่งที่แท้นั้นก็คือภูเขาแห่งวิถืพุทธธรรมนั่นเอง. เราจะมาพูดกันถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในลักษณะเช่นนี้กันอีกส้กกี่สิบครั้งกี่ร้อยครั้ง ก็คงจะเปล่าประโยชน์ เพราะไม่สามารถจะผ่านทะลุถูเขาไปได้เลย. เรากำลังเขาถึงพุทธธรรมไม่ได้ ก็เพราะภูเขาเหล่านี้เอง. เราเปลี่ยนเรื่องขยับไปพิจารณากันถึงการเจาะทำลายภูเขาเหล่านั้นกันบ้าง จะเป็นการปลอดภัยแก่การเสียสละของเรามากกว่า.
เมื่อเป็นที่ยอมรับกันว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของบุคคลผู้มีแต่ความยึดถือ รวมมั้งตัวเอง ซึ่งกำลังเป็นที่รวมของความยึดถือ ล้วนแต่เป็นเครื่องกั้นชนิดภูเขาเหล่านี้แล้ว, ข้าพเจ้าของวิงวอนเพื่อนพุทธบริษัททั้งหบายว่าจงจัดการกับ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของบุคคล ผู้เต็มไปด้วยความยึดถือ เอาแต่ความจริงของตัวเองนั้นเสียใหม่. รวมทั้งมองในสิ่งที่เราเรียกว่า ตัวตนของเรานั้นเสียใหม่ . บางคนมีความขลาดถึงกับว่า ถ้าไม่มีตัวเราเองแล้ว บุญจะเป็นของใคร ลงทุนเป็นก่ายเป็นกอง จะเอาไปให้ใครหรือทิ้งเสียที่ไหน. เราจะต้องขาดทุน เพราะไม่มีเราที่จะรับเอาส่วนบุญ. เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่สามารถที่จะปัดตัวตนแห่งความยึดถือทิ่งออกไปได้. และผู้ที่คิดว่า นับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ทั้งที่แล้วมาปรากฎว่าคว้านำ้เหลว ความคิดของเราเป็นหมันไปอย่างนี้มิกลายเป็นเรื่องตลกไปหรือ. เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เป็นการยากที่จะเพิกถอนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ยึดถือไว้ตามทัศนะของเขา. แต่จะขืนยึดถือไว้อย่างไรก็ไม่พ้นไปจากากรที่จะต้องเสียใจ เพราะเข้าถึงพุทธธรรมไม่ได้ภายหลัง เพราะฉะนั้นเราจะต้งอมีความกล้าในการที่จะรวบรัดตัดตอน. ข้าพเจ้าใคร่จะกล่าวโดยไม่ขลาดกล้วใครจะว่าอย่างไรก็ตาม ขอให้นึกถึงการที่หลุดพ้นออกไปได้ให้มากกว่าที่จะนึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพเจ้าไม่นึกกลัวใครจะหาว่าเป็นมิจฉาทิฎฐิ สอนให้คนละทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของผู้ที่เต็มอัดไปด้วยอัตตานุทิฎฐินั้นดูมันมากเกินไปเสียแล้ว เหวี่ยงทิ้งกันเสียบ้างเถอะ.
เมื่อได้พิจารณากันถึงคนเรา ผู้ถูกปิดกั้นโดยประการต่างๆ มาพอเป็นที่เข้าไจกันแล้ว ก็จะได้พิจารณากันถึงวิธีที่จะพังทลายเครื่องปิดกั้นอย่างลัดๆสั้นๆสืบไป.
ในตอนนี้ ท่านทั้งหลายอย่าได้นึดไปถคงว่า เป็นการขอร้องให้ปฏิเสธหรือละทิ้งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ,แต่ขอให้เข้าใจว่า การยึดมั่นในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของตน ชนิดที่เลยขอบเขตจนกลายเป็นภูเขาหิมาลัยขวางหน้าไปเสียแล้วนั้น มันเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงๆ. และการที่เราจะก้าวหน้าไปจนถึงขั้นหลุดพ้นสิ้นเชิงนั้น จำเป็นที่จะต่้องละวางความยึดถือทุกสิ่งทุกอย่างไปตามลำดับ จนกระทั่งความยึดถือในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อย่างถูกต้องก็ต้องละกันในที่สุด. ถึงแม้การยึดถือที่ควรยึดถือในขั้นต้นนั้นก็ไม่ควรจะเป็นการยึดถือชนิอตัวตน, ควรเป็นเพียงการยึดถือเอาในฐานะเป็นเครื่องมือ หรือเครื่องนำทาง ก็เป็นการมากเต็มที่อยู่แล้ว . อย่ายึดถือในพระพุทธในทำนองที่จะก่อการวิวาทกันด้วยเรื่องพระพุทธ. อย่ายึดถือในพระะรรมอันเป็นนามที่สมมติขึ้นแทนชื่อของความบริสุทธิ์หลุดพ้นปล่อยวาง ขึ้นเป็นตัวตนเป็นรูปแบบต่างๆ จนแตกร้าวกัน เพราะพระธรรม. อย่าขัดกันในหลักเรื่องพระสงฆ์ ซึ่งเป็นเพียงชื่อของผู้ที่หลุดพ้นหรือกำลังพยายามเพื่อหลุดพ้น จนต้องเกิดแบ่งแยกแตกร้าวกันอย่างำม่มีหลักเกณฑ์ เพราะต่างผ่ายต่างก็ยังยึดถือตึงเครียออยู่ด้วยกันทั้งนั้น. จะเพ่งกำลังความคิดทั้งหมด. ตรงไปยังความหลุดพ้นของจิตซึ่งกำลังถูกทรมานอยู่ด้วยการหุ้มห่อ. ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องว่าจะไม่มีตัวเรา คือนึกว่ายอมขาดทุน ยอมเสียสละ ไม่ต้องมีตัวเราสำหรับจะเอานั่นเอานี่ได้รับสิ่งนั้นสิ่งนี้ โดยตัดใจเสียว่าตัวตนเท่าที่มีอยู่จริงๆ ในเวลานี้ก็ทนไม่ไหวแล้ว. เพียงเท่านี้ก็เหลือที่จะแบกจะทนทานได้แล้ว. จงค้นจนกว่าจะพบความจริงที่่า เมื่อดูกันเจ้าจริงๆ ก็เห็นมีแต่จิตนั่นเองกำลังถูกอะไรห่อหุ้มทำให้เกิดทุกข์ทรมานขึ้น. ถ้าเอาสิ่งที่ครองงำจิตออกไปเสียได้ มันก็จะเป็นอิสระเอง ภาวะของความทุกข์ก้ไม่มีที่จิตอีกต่อไป. ไม่ต้องมีตัวเราอะไรที่ไหนเลย ความพ้นทุกข์อย่างเด็ดขาดก็มีได้โดยสมบูรณ์. พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มีอยู่อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ดุจเดียวกัน. ปัญหาที่จเต้องพิจารณาก็ยังมีอยู่แต่ว่าเราจะทำจิตของเราให้ว่าง ให้โปร่งจากสิ่งที่มาเคลือบหุ้มได้อย่างไรเท่านั้น ไม่ต้องคำนึงว่าจะไม่มีตัวเรา หรือไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ของเราซึ่งเป็นการนอกรึตนอกรอยไม่เข้าเรื่อง. การทำอย่างนึ้จะเป็นการเร็วมาก เป็นการเคลื่อนไปโดยเร็วอาจจะทันกับเวลา ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ที่พวกเราในที่นี้จะต้องตายก็ได้.
วิธีลัดๆ สั้นๆ ก็คือ การทำในใจถึงภาวะแห่งความบริสุทธิ์ของจิตซึ่งปราศจากการยึดถือโดยประการทั้งปวง แทนการทำในใจถึงสิ่งต่างๆอันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือมากขึ้นๆ ดังเช่นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของตนเป็นตัวอย่าง การทำอย่างนี้เป็นการชำระจิตให้หมดจดจากสิ่งห่อหุ้มได้จริงๆ และ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตัวจริงก็มีความหมายถึงภาวะแห่งความบริสุทธิ์แห่งจิตอันนี้นั่นเอง. ความปราถนาแต่ในการพรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มผูกพันทุกๆ ประการ จึงเป็นความปราถนาที่มีรากฐานแน่นแฟ้น และเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ยิ่งเสียกว่าความปรารถนาที่จะติดแน่นกันอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ว่าโดยทัศนะไหนหมด. ในขั้นที่มีศีลธรรมนั้น ไม่มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และในขั้นที่หลุดพ้นจากเครื่องพัวพันทั้งปวงนั้น กลับไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อีก, แต่เป็นการไม่มีคนละอย่งละอันจากขั้นที่ไร้ศึลธรรม. ความมุ่งหมายของพุทธศาสนาสอนให้มนุษย์มีใจสูงถึงขั้นเหนือโลกหรือหลุดพ้นจากเครื่องพัวพันทั้งปวง ซึ่งเป็นเหตุให้พุทธศาสนามีระดับสูงกว่าศาสนาอี่นอันมีความสูงเพียงขั้นศึลธรรม ฉะนั้น ความปรารถนาในการพรากจิตออกมาเสียจากเครื่องห่อหุ้มทั้งปวง จึงเป็นความปราถนาที่บริสุทธิ์ตามหลักแห่งพุทธศาสนา. คนทั่วไปอาจขลาดกล้วในการที่จะละความสนใจจากพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และบุญกุศลและสิ่งสวยงานอื่นๆ มาสนใจแน่วแน่แต่ในเรื่องภาวะความหมดจดจากความยึดถือโดยประการทั้งปวงของจิต. แต่ถ้าเขาจะได้พิจารณาดูให้ถูกตรงจุดที่สำคัญ คือที่ตัวจิตเองอย่างถูกต้องถ่องแท้ จนกระทั่งพบว่า ความทุกข์ทรมานกดทับทั้งหลาย ที่กำลังหุ้มรุมอยู่ที่จิตทุกเวลานั้นมันเนื่องมาจากความยึดถือนั่นเองแล้ว ก็จะเกิดความแน่ใจหรือความกล้าหาญ ในการที่จะเพ่งหาแต่ความออกไปได้ของจิตอย่างเดียวคือเพ่งหาช่องที่จะเล็ดลอดออกไปเสียจาหความกลุ้มรุมของสิ่งห่อหุ้มอย่างเดียว. ทั้งนี้โดยความเชื่อความเห็นของตัวเอง ไม่ต้องเชื่อตามพระคัมภีร์ที่สอนว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ จึงจะเกิดความกล้าที่ถูกต้องแท้จริงและเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์จริงๆ. เมื่อสิ่งต่างๆลงรูปกันกับความจริงเช่นนี้ ความปล่อยวางก็มีหรือค่อยๆ มีขึ้นเองอย่างไม่ชักช้าเฉี่อยชา.
สำหรับจิตซึ่งเป็นต้วประธานยืนโรงสำหรับถูกพัวพันหรือหลุดพ้นออกไปได้นั้นเล่า เราไม่ขอเอามาเป็นตัวเรา เพราะความรู้สึกแจ่มแจ้งยิ่งขึ้นของเราเอง. อย่างมากที่จะเป็นได้ก็เป็นเพียงให้เป็นสิ่งที่รู้สึกทุกข์เพราะถูกผูกพัน, หรือรู้สึกสุขเพราะได้รับความปล่อยวางเท่านั้นเอง ไม่ใช่ตัวตนของเรา. ทั้งนี้เพราะว่าในกลุ่มที่กำลังชุลมุนอยู่นั้นมีแต่จิตกับความทุกข์อย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นปรากฎการณ์อันชัดเจน คือ อาการที่จิตกำลังถูกเผาลนทนทรมานเพราะความยึดถือของตัวเองอันมีอยู่ในสิ่งที่ตนรักอยากจะได้หรือในภาวะที่ตนอยากจะมีจะเป็นหรือในภาวะที่ตนไม่อยากจะมีจะเป็น อยากจะหนึไปเสียให้พ้น. สำหรับตัวจิตนั้นเล่า ก็ไม่อาจจะเป็นตัวตนของจิตเองเพราะไม่มีอิสระอะไรในตัวเองที่จะเป็นตัวเองได้ เป็นเพียงวิบากหรือผลของอะไรอย่างหนึ่ง ซึ่งสะท้อนออกมาจากสิ่งอื่นๆ ที่ทยอยกันมาตามลำดับ ในฐานะที่มันเป็นสังขารธรรม คือสิ่งที่ผลักดันส่งต่อโดยเป็นเหตุเป็นผลของกันเรื่อยไปไม่มีหยุด ปราศจากความเป็นตัวตนของตนเอง. ฉะนั้นจะถือว่าจิตเป็นตัวตนของเราก็ไม่ได้ เพราะมีแต่จิตซึ่งกำลังถูกหุ้มห่ออยู่ด้วยความยึดถืออย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีบุรุษที่สองที่ไหนอีก. และจะถือว่าจิตนั้นแหละเป็นตัวตนของมันเองก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นเพียงสังขารธรรมดังที่กล่าวแล้ว เมื่อเห็นว่าความจริงมันมีอยู่แต่เพียงเท่านี้ ก็พอที่จะทำการหยั้งลงสู่การพิจารณาต่อไปอีกว่า ถ้าเอาความยึดถือออกเสีย เหลือแต่จิตล้วนๆ ไม่มีความยึดถือรวมอยู่ด้วย, ซึ่งจะขอสมมติเรียกกันไปทีก่อนว่า”จิตเดิมแท้” หรือ “จิตที่บริสุทธิ์อยู่” แล้วมันก็จะเกิดมีภาวะตรงกันข้าม คือความสงบหรือพ้นจากทุกข์ทรมาน เพราะว่าจิตชนิตนี้ไม่เที่ยวออกรับเอาอะไรว่าเป็นของตน เพราะมันไม่มีตัวมันเองที่จะเป็นเจ้าของแห่งสิ่งใดได้. มันไม่ต้องการพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ถูกต้องตรงตามความหมายอันแท้จริง. การถอนเอาความยึดถือ หรือภูเขามหึมาเหล่านั้น ออกไปเสียจากจิตอย่างเดียวเท่านั้น ทำให้พบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่ถูกต้องขึ้นมาเอง. และจะถือว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งที่แท้เป็นของอันเดียวกันนั้นได้มีอยู่ในเราทุกคนมาแต่เดิมแล้วก็ได้. เมื่อจิตหลงไปว่าเป็นตัวเราขึ้นมาด้วยอำนาจความยึดถือ ความยึดถือนั้นก็เคลือบหุ้มภาวะเดิมแท้ ซึ่งไม่เคยปรารถนาต้องการอะไร ให้เกิดความปราถนานานาประการขึ้น มีความดิ้นรนที่จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ กระทั้งอยากมี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่สวยสดงดงามกว่าของใคร ก็ปั้นเอาขึ้นใหม่ตามทัศนะของตน ดังนี้เป็นตัวอย่าง.
การตัดลัดเพ่งตรงไปยังภาวะที่ปราศจากความยึดถือของจิตเช่นนี้ ย่อมจะพบความจริงได้ง่ายและเร็วกว่าที่จะมาตั้งพิธีใหญ่โตตั้งต้นไล่กันไหตั้งแต่ศึล สมาธิ ปัญญา ซึ่งจาระไนได้เป็นร้อยๆ พันๆ ชนิด เรียนจนตลอดชีวิตก็ไม่เคยจบ แล้วซำ้ยังติดแจอยู่กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของตัวเองอันเต็มอัดอยู่ด้วยอัตตานุทิฏฐิเช่นนั้น. เพียงแต่เราพิจารณาดูสักหน่อยก็จะเห็นได้ว่า ในปัญหาเรื่องความทุกข์เกิเขึ้นเพราะอำนาจความยึดถือของจิตอย่างเดียวเท่านั้นนี้ ก็ได้มีผู้มีปัญญาชั้นครูหรือศาสดาต่างๆ มีจำนวนตั้งกี่หมื่นกี่แสน หรือกี่ล้านคนมาแล้ว ได้สอนไว้แตกต่างกันอย่างไร มีทัศนะแตกต่างกันกี่แนวกี่สาย จนเข้ากันไม่ได้ หรือวิวาทกันด้วนเรื่องความคิดเห็นนี้ ทั้งภายในและภายนอกประวัติศาสตร์ ย่อมีมากเกินกว่าที่เราจะไปสนใจไหว. ถึงแม้ในวงพุทธศาสนาของเราก็ยังขยายตัวแพรีพันธ์ุออกเป็นพุทธศาสนาใหม่ๆ จนอะไรนิกก็ พุทฺธานุภาเวน อะไรหน่อยก็ ธมฺมานุภาเวน สงฺฆานุภาเวน จะให้สำเร็จสมตามประสงค์, ซึ่งพฤติการณ์เช่นนี้มันไม่เคยมีในสมัยสมเด็จพระสัมมาสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือในพุทธศาสนาอย่างเก่าแท้ ซึ่งมีแต่สอนให้ชำระจิตให้หมดจดจากสิ่งห่อหุ้มเป็นข้อสำคัญ และอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษเฉพาะของพระพุทธศาสนา ที่ผิดแผกไปจากศาสนาอื่นๆ ในโลก, ฉะนั้น ถ้าเราพบวิธีที่ว่าทำอย่างไรความยึดถือว่าตัวตนจะหมดไปได้แล้ว นั่นก็คือวิธีลัดสั้นที่สุด.
ออกจะเป็นการกล่างที่เอาเปรียบอยู่บ้าง ในการทีจะกล่าวว่าขอให้เพ่งถึงภาวะที่ว่างจากความยึดถือ หรือที่สิ่งต่างๆ ที่หุ้มห่อพัวพันจิต, จนเป็นอารมณ์ประจำตัวหรือเป็นสรณะประจำตัวไปก่อนจนกว่าความรู้แจ้งเห็นจริงจะเกิดขึ้นตามลำดับ. การกล่าวเช่นนี้เป็นการเอาเปรียบผู้ฟัง แต่ก็ไม่ทราบว่าจะกล่าวอย่างไรให้ดีไปกว่านี้ได้. ทางที่ดีที่สุดก็มี แต่ขอให้พยายามลองทำดูไปก็แล้วกัน คือพยายามนึกถึงภาวะที่บริสุทธิ์ ที่ไม่มีอะไรหุ้มห่อของจิตที่บริสุทธิ์ ชนิดที่เรียกว่า วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ (จิตที่ถึงสภาพอันอะไรจะปรุงให้คิดให้นึดให้ยึดถือให้ปราถนาอะไรไม่ได้อีกต่อไป) อยู่ทุกเวลา, พิจารณาหาเหตุผลในเรื่องนี้อยู่ทุกเวลา, ปลูกความพอใจหรือศรัทธาในเรื่องนี้อยู่ทุกเวลา, และถือสิ่งนี้เป็นสรณะ เป็นตัวศาสนา จนลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะของตนเอง หรือตามทีศนะไหนๆ ทั้งหมดเสียก็ได้. แล้วแสงสว่างจ้าจะลุกขึ้นมาเองในขณะหนึ่งโดยไม่มีพิธีรีตอง เนื่องจากกระแสความคิดในเรื่องอันเกี่ยวกับความเบื่อหน่ายในการยึดถือได้ลงรากมั่นคงในสันดาน ซึ่งหลังจากนั้นก็มีแต่จะเป็นไปในทางปล่อยวางเรื่อยๆ ไปจนหมดสิ้น. การถือเอาภาวะที่ว่างจากความยึดถือขึ้นเป็นสรณะเช่นนี้ มีทางที่จะปลอดภัยคือไม่ตกไปเป็นเหยื่อของการหลงยึดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตามทัศนะแห่งความยึดถือขึ้นเป็นสรณะ แล้วติดตังเหนียวหนืดอยู่ที่นั่นออกไปไม่ได้. ถึงแม้จะมีความเป็นห่วงถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่เสมอ ก็ควรจะแน่ใจเสียว่า ขอให้พบกับภาวะแห่งความว่างจากการยึดถือเสียก่อนเถิด แล้วพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็จะกลับมาเองและ เป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ที่ถูกต้องแท้จริงด้วย เพราะว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ในครั้งหลังนี้ มิใช่เป็นผลิตภัณฑ์ของความยึดถืออย่างกะในคราวก่อนๆ เนื่องจากได้ทำลายความยึดถือเสียแล้ว.เมื่อใดพบความว่างจากตัวตนเช่นนี้ เมื่อนั้นก็พบพระพุทธเจ้าที่มีประจำอยู่แล้วในตัวเรา ซึ่งเป็นเครื่องหมายอันแน่นอนของการตรัสรู้หรือการหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงของเราเอง. หรือเรียกด้วยสมมติโวหารอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า “พบตัวเองครั้งใหม่อย่างถูกต้องแล้ว” เป็นตัวเองที่ไร้ความยึดถือไม่ยึดติด. ก่อนหน้านี้พบแต่ตัวเองชนิดที่ยึดถือติด ประเดี๋ยวเป็นสัตว์ ประเดี๋ยวเป็นคน ประเดี๋ยวเป็นมนุษย์ เดี๋ยวเป็นเทวดา เดี๋นวเป็นพรหม , เดี๋ยวเป็นตัวเองชนิดที่นั่งฟังธรรมกถาอยู่ที่นี่ เดี๋ยวเป็นอย่างอื่นไปแล้วไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งทำให้เกิดความปรารถนาอันไม่มีที่สิ้นสุดอย่างเดียวกัน. เดี๋ยวอยากเป็นพระอรหันต์ ประเดี๋ยวอยากเป็นเทวดา เดี๋ยวอยากเป็นมนุษย์ เดี๋ยวก็อยากกินเหล้า อย่างนี้เป็นการวนเวียนไปมาเป็นวัฏฏสงสารของมันเอง จนกว่าจะคลำตัวเองพบอย่างถูกต้องเช่น พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า “คหการก ทิฎฺโฐสิ เจ้านักก่อสร้าง ฉันเห็นแกแล้ว” นั้นเหมือนกัน.
จิตล้วนๆ ซึ่งปราศจากความยึดถือ หรือภาวะเดิมแม้ของจิตก็ไม่เคยปรากฎในปริมณฑลของปัญญาในขณะนี้ อย่ากล่าวไปถึงความหมดเหตุหมดปัจจัยแล้วจะดับไปอย่างไฟหมดเชื้อ. ฉะนั้นการเพ่งถึงแต่เพียงภาวะที่จิตว่างจากความยึดถือ ก็คงจะไม่เป็นบทเรียนที่สูงเกินวิสัยที่เราจะทำกันได้ในที่นี้ . เราลองพยายามกันไปก่อนก็จะเกิดความแน่ใจในตอนหลังๆ. เรามาตั้งกำหนดกันว่าภาวะเดิมแท้ของจิตนั้น ว่างจากความยึดถือไม่ต้องการอะไร ไม่ดิ้นรนอย่างใด. ฉะนั้นถ้าหากเกิดความคิดนึกอย่างไดขึ้นในจิตก็ให้เข้าใจว่า ไม่ใช่ภาวะเดิมแท้. มันจะปรารถนาในทางที่ชั่วหรือทางดีก็ตาม นั่นก็มิใช่ภาวะเดิมแท้หรือภาวะอันบริสุทธิ์ของจิต. แม้ที่สุดแต่จิตต้องการจะเห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ให้เข้าใจว่าเป็นของใหม่เพิ่งเกิดขึ้นหุ้มห่อจิต เพราะมันมีตัวตนที่ต้องการพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่จะให้ไปทำอะไรให้มันสักอย่างหนึ่งตามความต้องการของมัน. ความคิดชนิดใดเกิดขึ้นในจิตให้ถูกหยิบขึ้นวินิจฉัยโดยทำนองที่ว่า นี่คือภาวะเดิมแท้หรือไม่? ทำนองนี้เรื่อยไป ไม่ว่าในอิริยาบถไหน จะเป็นยืนเดินนั่งนอนก็ตาม. เมื่อมันไม่ใช่ภาวะเดิมแท้แล้วล่ะก็เลิกสนใจเสียทีเดียว. ถ้าเป็นเรื่องจำเป็นเฉพาะหน้าที่จะต้องทำ เช่นเรื่องหิว กระหาย เป็นต้น หลังจากที่รู้ชัดว่าไม่ใช่ภาวะเดิมแท้แล้ว ก็ให้ปัญญาที่มีประจำตัวจัดการไปตามหน้าที่เท่าที่จำเป็นจะต้องทำไม่ต้องเกิดความยินดียินร้าย ไม่ต้องกำหนัดขัดเคือง หรือความรู้สึกอย่างอื่น, เพราะว่าเมื่อมิใช่ภาวะเดิมแท้แล้ว มันก็มิใช่ตัวเราหรือของเราหรือของใคร, เราคอยเพ่งหาแต่ภาวะเดิมแท้อย่างเดียว จะพบเมื่อใดก็ตามใจ ถ้ารู้สึกว่าเป็นพวกมิใช่ภาวะเดิมแท้ของจิตแล้ว เป็นปัดทิ้งเสมอ. ถ้าท่านมีสติสัมปชัญญะระวังจิตให้เป็นไปได้อย่างนี้ติดต่อกันไปได้จริงๆ ชั่วเวลาไม่นาน ท่านจะพบว่า ตัวเองเป็นคนใหม่ผิดจากคนเก่าอย่างตรงกันข้าม . ท่านพบคนใหม่อย่างไร ในที่นี้ไม่อาจนำมาให้ท่านดู เพราะเหตุว่าท่านยังไม่ได้ลองทำเมื่อท่านได้ลองทำอย่างเคร่งครัด ท่านจะรู้สึกเองว่ามันไม่มีอะไรเริ่มเปลี่ยนแปลงไปแล้วในตัวท่านทีละเล็กละน้อย และท่านรู้อะไรไม่ได้มากไปกว่าว่าอาการที่จิตบริสุทธิ์นั้น ได้แสดงตัวออกมาทีลน้อยๆ. ขอแต่ให้ท่านนั่งปัดทำนองปัดแมลงวันซึ่งไม่ต้องคิดนึกอะไรมากนักหวี่มาก็ปัดไปก็แล้วกัน ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะแมลงตัวที่เราต้องการนั้นมันเป็นอันว่าไม่มาแน่ ไม่ต้องกลัวว่าจะปัดถูกตัวที่เราต้องการและตายเสีย. ขอให้ปัดตัวที่ไม่ต้องการให้ทันท่วนทีไว้เสมอไปก็แล้วกัน.
กัมมัฏฐานภาวนา ชนิดที่มีสติสัมปชัญญะ คอยปัดอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตว่านั่นมิใช่ภาวะเดิมแท้ หรือภาวะอันบริสุทธิ์ของจิตทำนองนี้เป็นของง่ายๆ ซึ่งเด็กๆ ก็ทำได้. แล้วอาจขยายตัวขึ้นสูงไปตามลำดับทุกๆคราวที่สมาธิคล่องแคล่วมากขึ้น, ทุกคราวที่กิเลสอันเป็นเหตุให้ยินดียินร้ายถูกกระตุกกลับมาอย่างแรงๆ เช่นนั้นยิ่งขึ้นจนเป็นนิสัยให้สิ่งเหล่านี้สมบูรณ์อยู่เองตามปกติ. ความยึดถือของจิตค่อยเหี่ยวแห้งฝ่อตายไปเหมือนต้นไม้ขาดน้ำซึ่งคนที่ไม่รู้หนังสือหรือมีการศึกษาน้อยอย่างไรก็ทำได้และนักปราชญ์ก็ทำดี เพราะไม่ต้องลงทุนมาก. แต่ว่าในชั้นต้น เราจะต้องทบทวนถึงข้อเท็จจริงต่างๆ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ให้ลงร่องลงรอยกันอย่างแจ่มแจ้งเสียก่อน แม้จะช้าสักหน่อยในตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ทบทวนไปพลางปฏิบัติไปพลางก็ยังทำได้. ฟังดูหรือดูๆ มันก็คล้ายกับจะง่ายเกินไป แต่พบทำจริงมันยากตรงที่จะรู้สึกตัวได้ทันท่วงทีทุกคราวไปว่า นี่มิใช่ภาวะเดิมแท้. กว่าจะรู้สึกตัวได้เรื่องมันเลยไปเป็นการรดนำ้ให้ต้นไม่ที่ไม่ต้องการนั้นเสียจนชุ่มแล้ว. บางคราวเรื่องต่างๆ ผ่านมาในวงความคิดตั้งสิบเรื่องแล้ว จึงจะได้รู้สึกตัวว่าไม่ใช่ภาวะเดิมแท้. เกิดการยึดถือจนยินดียินร้ายชกต่อยวิวาทกันแล้วจึงรู้ว่านี่มิใช่ภาวะเดิมแท้ ดังนี้เป็นต้น.
การบำเพ็ญสติสัมปชัญญะแบบนี้ จะขยายตัวขึ้นไปตามลำดับจนถึงขั้นปัญญาคือเมื่อเกิดการต่อต้านของกิเลส ในทางที่จะแย้งว่าเป็นภาวะเดิมแท้หรือดื้อดึงในทางที่จะตามใจตัวเองอย่างใดอย่างหนึ่งในขั้นนี้จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาต่อสู้อยู่มากเหมือนกัน แต่ก็ไม่ทิ้งหลักภาวะเดิมแท้. เช่นขณะหนึ่งเกิดความขลาดกลัวอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมาในจิตสติสัมปชัญญะปัดออกไปว่าความรู้สึกอย่างนี้ มิใช่ว่าภาวะเดิมแท้ของจิต เป็นแต่สังขารที่เพิ่งจู่เข้ามาความเห็นแก่ตัวก็เกิดทำให้กลัวอย่างนี้, บางทีความกลัวก็ยังดื้อดึงครอบงำจิตอยู่นั่นเองต้องใช้ปัญญาขับเคื่อยวกันไปจนกว่าจะถึงที่สุด จนให้เห็นชัดเจนว่าเป็นการเล่นตลกของสังขารชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง จนความรู้สึกกลัวนั้นถูกขุดรากซวนล้มไป. กรื่อเมื่อกำลังลูบคลำ หรือจะหยิบฉวยวัตถุของรักของพอใจอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีความดึงดูดรุนแรง ก็ย่อมมีการต่อสู้อย่างรุนแรงทัดเทียมกัน จึงจะปัดออกไปได้อย่างเด็ดขาดว่ามันมิใช่ภาวะเดิมแท้ แต่แล้วจะยิ่งมองเห็นลึกซึ้งลงไปในภาวะเดิมแท้ยิ่งขึ้นทุกๆ คราวที่มีการต่อสู้เช่นนี้. รวมความอย่างสั้น ๆ ก็คือ มีสติสัมปชัญญะสำหรับรู้สึกตัวทันท่วงทีของเหตุการณ์ทุกชนิดที่เกิดขึ้นในจิตว่ามิใช่ภาวะเดิมแท้. และมีปัญญาสำหรับต่อสู้เมื่อเกิดปัญหาต่างๆ ขึ้นโดยยึดหลัดภาวะเดิมแท้เป็นของสำคัญ. และคอยควบคุมให้มีการปฏิบัติเช่นนี้จนคล่องแคล่วชำนิชำนาญเป็นปรกตินิสัย. เหลือจกนั้นก็เป็นหน้าที่ของธรรมชาติในการที่จะทำให้เกิดการเห็นแจ้งโดยเด็ดขาด เป็นความสว่างไสวไม่กลับคืน ขึ้นในขณะใดขณะหนึ่งในเวลาอันสมควร , คืดในเมื่อสันดานได้ถูกบ่มด้วยการไม่จับฉวยเอาอะไรเป็นของตนเป็นเวลานานพอเพียง. บทบริกรรมก็มีง่ายๆ เพียงว่า”นี่ไม่ใช่นั่นหรอก” นี่ หมายถึงอารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิต นั่น หมายถึงภาวะเดิมแท้. ทั้งหมดนี้นับว่าเป็นวิธีหนึ่งสำหรับหลึกเลี่ยงภูเขาที่ขวางหน้า หรือจะเป็นการเจาะพังทลายภูเขานั้นเสียทีเดียว ย่อมแล้วแต่สมรรถภาพของผู้ทำ.
ในการที่จะพิจารณาเมื่อเกิดมีการดื้อดึงต่อสู้กันขึ้น ว่านี่มิใช่ภาวะเดิมแท้ แต่เป็เพียงสังขารใหม่ๆ อย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมดาของสังขารที่มีการไหลเวียนอยู่เสมอนั้น จะต้องไม่หลงผิดจนลังเลในความซับซ้อนของสังขารเหล่านั้น. คำว่า “สังขาร” นั้น มีความหมายได้เป็น ๒ อย่าง ทั้งที่มันแปลได้อย่างเดียว. สังขาร แปลว่าสิ่งที่ปรุงแต่ง แต่โดยพฤตินัยหรือที่เป็นไปจริงๆ นั้น มันมั้งปรุงแต่งเขาและถูกเขาปรุงแต่งพร้อมกันไปในตัว คราวเดียวกันทั้งสองทาง. ในเรื่องนี้จะเข้าใจได้ง่าย ก็โดยดูอิฐที่ซ้อนก้นอยู่มากๆ ขั้น ในการก่อผนังอิฐก้อนหนึ่งๆ ย่อมทำหนัาที่ถึง ๒ อย่าง คือ ทั้งซ้อนเขา และถูกเขาซ้อน ก็เรียกว่ามันถูกซ้อนโดยก้อนนั้น อิฐก้อนหนึ่งๆ ย่อมเป็นทั้งผู้ซ้อนและผู้ถูกซ้อน โดยทำนองนี้ทุกก้อนเรี่อยขึ้นไป, สิ่งที่เรียกว่าสังขารก็ทำนองนี้. เพราะขึ้นชื่อว่าสังขารแล้วก็ต้องปรุง , สิ่งที่มันปรุงขึ้นมานั้นก็คือสังขารนั่นอีก มันก็ปรุงอีกต่อๆ กันไปในฐานะที่เป็นผลแล้วกลับเป็นเหตุ เหตุเป็นเกิดผล แล้วผลนั้นก็กลับเป็นเหตุ ฯลฯ ทำนองนี้เรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด .สังขารในฝ่ายนามธรรมหรือจิตก็เป็นเช่นว่านี้ คือคือความคิดอันหนึ่ง เป็นเหตุให้เกิดความคิดอีกอย่างหนึ่ง อล้วความคิดอันใหม่ ก็กลับเป็นเหตุให้เกิดความคิดอันอื่นต่อไป โดยไม่มีที่สุด จนกระทั่งเป็นการกระทำออกมา แล้วก็ปรุงให้เกิดความคิดอันเกี่ยวกับผลที่เกิดขึ้นจากการกระทำ ต่อๆ เรื่อยกันไปไม่มีที่สุด จนกว่าสิ่งที่เรียกว่าสังขารนั้น จะเข้าไปถึงแดนอันเป็นที่ดับแห่งสังขารทั้งหลายกล่าวคือพระนิพพานจึงจะสิ้นเรื่องกัน.
ฉะนั้น สังขารอย่างใดชั้นไหนก็ตาม ไม่ควรถูกหลงจับฉวยเอามาเป็นภาวะเดิมแท้. จะต้องใช้ปัญญาพิจารณาแยกแยะสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น จนให้เห็นลักษณะที่มันเป็นเพียงสังขาร แล้วปัดทิ้งเสียหรือจัดการอย่างหนึ่งอย่างใดที่สมควรกัน แต่ต้องไม่ไช่ความยึดถือเป็นตัวเป็นตน อันจะนำมาซึ่งความยินดียินร้ายและก่อให้เกิดกิเลสก่องใหม่ไม่รู้สิ้นสุด.
เมื่อได้อบรมจิตให้ประกอบด้วยปัญญา คอยรู้เล่ห์กระเท่ห์ของสังขารอยู่ดังนี้ จิตย่อมปล่อยวางความยึดถือในสิ่งต่างๆ ได้ประณีตและสูงสิ่งขึ้นทุกที กระทั่งบุญกุศล ซึ่งที่แท้ก็เป้นของใหม่ๆ และมีไว้พอเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทรงชีพอยู่เพื่อการศึกษา เพื่อให้เข้าถึงความหลุดพ้นจากสิ่งทั้งปวงเท่านั้น. เมื่อมองเห็นว่าความรอดพ้นจากสิ่งพัวพันเป็นของมีราคาเกินกว่าที่จะตีราคาได้ ส่วนบุญหรือกุศลนั้นยังอยู่ในขนาดที่พอจะตีราคาได้ ก็อาจที่จะเอาบุญกุศลทั้งหลายกองรวมไว้เสียที่ริมทะเล เพ่งจิตไปบกที่แห้งสนิท กล่าวคือภาวะที่จิตพ้นจากอำนาจสิ่งปรุงแต่งนั้นเอง. กุศลซึ่งที่แท้ก็เป็นเพียงสังขารอย่างหนึ่งจมีความหมายก็แต่ในวงที่ยังเกี่ยวกับความยึดถือ หรือในขั้นที่มีความต้องการนั่นนี่อย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้น. ครั้นมาถึงที่จะปล่อยวางหรือรอดพ้น กุศลเหล่านั้นก็ไม่มีความหมายอะไรเลย กลายเป็นสังขารธรรมดาๆ ที่มีความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เหป้ฯอนัตตาเสมอกับสังขารทั้งหลายเหล่าอื่น ฉะนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงยศศักดิ์ชื่อเสียงหรืออะไรทำนองนี้ซึ่งคลอนแคลนยิ่งไปกว่ากุศลเสียอีก, แม้ศึล สมาธิ ปัญญา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยึดถืออีกต่อไป. เมื่อเป็นเช่นนี้ความสูงของจิตก็ถึงขั้นที่จะปล่อยวางสังขารทั้งปวง ลุถึงสภาพที่เรียกว่าวิสังขาร, อันได้ในบทที่พระองค์ทรงพึมพำกับพระองค์เองว่า “วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา จิตเข้าถึงสภาพที่อะไรจะปรุงให้เป็นอย่างไรไม่ได้ มันหมดความปราถนาแล้ว ดังนี้ สังขารทั้งหลายไม่สามารถปรุงแต่งจิตชนิดนี้อีกต่อไป. จิตไม่มีความรู้สึกแม้แต่ตัวเองว่าเป็นตัวเป็นตน เพราะเหตุที่ไม่มีสังขารอันจะปรุงแต่งให้จิตเกิดความรู้สึกเช่นนั้นอีกต่อไป. ฉะนั้นจิตที่ประกอบด้วยวิสังขาร ซึ่งเป็นเสมือนหนึ่งที่ดับของสังขารทั้งปวงไปด้วยเหตุนี้ จึงมีความดับเย็น ความสงบ ความบริสุทธิ์และความสว่างไสว อันถาวร เป็นอนันตกาลไม่เกี่ยวกับเวลา. นับว่าเป็นวิธีลัดวิธีหนึ่งในวิธีทั้งหลายที่จะทำลายภูเขาอันขวางวิถีแห่งธรรม อันเป็นปัญหาสำคัญอันหนึ่งของพวกเราผู้ทำตัวเข้าเกี่ยวข้องกับพุทธธรรม,ในฐานะผู้ต้องการความรอดของมนุษย์อย่างแท้จริง.
เราไม่ควรคิดว่าเรายึดถือพระพุทะ พระธรรม พระสงฆ์ หรือศึล สมาธิ ปัญญา บุญกุศล กันแต่เพียงในชาตินี้ ในประเทศไทยนี้ หรือเฉพาะพวกเราที่นั่งฟังกันอยู่ที่นี่. เราควรมองให้กล้างออกไปถึงว่า แม้ในหลายกัลป์หรือหลายพุทธันดรมาแล้ว เราก็ได้ยึดถือแน่นแฟ้นกันอยู่ในสิ่งนี้และซำ้ซาก. แม้เราไม่อาจจะชี้ว่าคนไหนเป็นคนไหน ในสังขารวัฏฏ์อันยึดยาวนั้น แต่เราก็กล่าวได้โดยไม่ผิดว่าพวกเรา หรื่อมนุษย์นี่แหละ เมื่อศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสนาสำหรับช่วยมนุษย์ให้รอด มนุษย์ก็ควรจะได้รอดกันบ้างสักจำนวนหนึ่ง เพื่อความมุ่งหมายของพุทธศาสนาจะได้ไม่เป็นหมันและเราจะรอดได้. เพราะฉะนั้นจึงเห็นได้ว่ามันไม่เป็นการน่าหวาดเสียวหรือเสี่ยงอันตรายอย่างใดเลย ในการที่จะละวางอะไรๆ ที่เคยยึดถือกันมาแล้วตั้งหลายกัลป์หลายพุทธ้นดรเหล่านั้นกันเสียที โดยเพ่งแต่ความรอดออกไปได้ของจิต ตามทำนองที่กล่าวมาแล้วแต่อย่างเดียวบุญกุศลชั่วเวลา ๒๐-๓๐ ปีที่สร้างสมกันมานี้ จะมากมายอะไรนักหนาถ้าไปเที่ยบกับที่เคยยึดถือกันมาแล้วตั้งหลายกัปหลายกัลป์ และไม่ให้ผลที่ดีไปกว่าที่จะเป็นกรงขังเราไว้ในความยึดถือนี้.
พระพุทธองค์ทรงประสงค์จะให้เราออกไปจากกรงขังมากกว่าที่จะให้เพลินใจอยู่ในกรงจึงได้ตรัสไว้อย่างเด็ดขาดว่าต้องไม่ยึดถือสิ่งใดหมด รวมทั้งความยึดถือในพระองค์เองด้วย พระองค์ทรงประกาศพระองค์เองเป็นเพียงผู็คอยชึ้ทางให้คนเดินไป ถ้เราจะมาติดแจอยู่กับพระองค์แล้ว มันก็ไม่มีการเดินกันเท่านั้นเอง. ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตาและไม่ควรยึดมั่น นี้เป็นหลักที่ตายตัวในพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา หรื่อที่เรียกว่าไตรสิกขานี้ เป็นเพียงยานพาหนะมีไว้อาศัยเดินทางไม่ใช่สำหรับยึดถือหรือหาบหามเอาไว้ด้วยความหวงแหน. พระรัตนตรัยเป็นเพียงเครื่องหมายของคาามที่รอดพ้นออกไปได้สำหรับให้เกิดความมั่นใจแก่ผู้จะเดินไปเท่านั้น. ไม่มีตัวตนสำหรับให้ยึดถือขึนยึดถือ ก็เกิดเป็นปฏิรุปหรือของปลอมขึ้นมา. ถ้าไม่รู้จักปล่อยวางกันบ้าง ก็จะกลายเป็นภุเขาขวางทางขึ้นมาเท่านั้น. จงทำจิตใจให้ว่างจากความยึดถืออย่างเดียวเถิด หน้าที่ทั้งปวงก็จะหมดลงทันที. ไม่ต้องมีใครเป็นผู้ลุถึงนิพพาน นอกไปจากจิตซึ่งหมดความยึดถือว่าตัวมันเองเป็นตัวตนอย่างเด็ดขาดแล้ว.
เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวเป็นหลักได้ว่าการลุถึงนิพพานมีได้โดยไม่ต้องมีตัวใครผู้บรรลุ. การเดินทางไปจนถึงที่สุดทุกข์ก็มีได้แล้วโดยไม่ต้องมีตัวใครผู้บรรลุ. การเดินทางไปจนถึงที่สุดทุกข์ก็มีได้แล้วดดยไม่ต่องมีตัวผู้เดินซึ่งเป็นคำที่ฟังยากๆ อยุ่สักหน่อย. แต่ถ้าพิจารณาดูให้ดีๆ ก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า มีแต่จิตซึ่งบัดนี้หมดความสำคัญผิดยึดถือตัวเองว่าเป็นตัวตนนั่นเอง. ที่เคยเป็นตัวประธานยึนโรงอยู่ตลอดเวลา. เราจงมีความกล้าพอที่จะปราถนาความมรจิตชนิดนี้ ด้วยการถอนตัวเราออกเสีย ให้ยังคงเหลือแต่จิตทำนองนั้นล้วนๆ เถิด แล้วมันก็จะรู้ของมันเองว่า ภูเขาได้พังทลายลงไปด้วยอาการอย่างไร.
ในขณะนี้ เราเพียงแต่ประคับประคองให้ภาวะที่ปราศจากอาการของความยึดถือหรือที่เรียกว่าภาวะเดิมแท้นั้นโชติช่วงอยู่ในปริมณฑลของจิตเรื่อยไปตามที่ได้บรรยายมาแล้วเถิด ภูเขาอันกั้นขวางนั้นก็จะถูกนำ้เซาะให้ค่อยๆ ทรุดลงไป จนพังครืนในที่สุดในเวลาอันสมควรคือในขณะที่เราถอนความยึดถือตัวตนออกได้สิ้นเชิง จนไม่มีตัวตนอะไรเหลืออยู่สำหรับเรียกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งหรือเรียกหาศึล สมาธิ ปัญญามาเป็นเรื่อเป็นแพ. ความเป็นอย่างนึ้อย่างเดียวเท่านั้น ที่เป็นพระพุทธประสงค์อันแท้จริงของพระผู้มีพระภาค หาใช่ทรงพระประสงค์ให้ใครๆ ติดแจอยู่ในชื่อเสียงของพระองค์แต่อย่างใด มากไปกว่าสำหรับสะกิดใจให้ระลึกถึงความรอดพ้นอันนี้ไม่. พระองค์ทรงเสียสละในการเทศนาสอนสัตว์ก็เพื่อให้รอดหรือหลุดออกไป ทำนองคนปล่อยนกปล่อยกาซึ่งปล่อยเรื่อย. นกตัวไหนซึงแสงสว่างไม่บังลูกตาก็ลอดออกประตูบินไป. แต่ตัวที่แสงสว่างบังลูกตาก็ยังคงไม่เห็นประตูอันเปิดกว้างอยู่อยู่นั้นเอง จึงยังคงติดอยู่ในกรงเรื่อยมาตลอดกัปป์ตลอดกัลป์.ฉะนั้นถ้าใครหยั่งทราบถึงพระพุทธประสงค์อันนี้ได้อย่างถูกต้องชัดเจน ก็สามารถพังทลายภูเขาหิมาลัยอันยาวถึงพันห้าร้อยไมล์ได้ภายใน ๒-๓นาที, หรือชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น. แล้ววิถีแห่งพุทธธรรมของเขาก็โล่งโถงไม่มีอะไรติดขัดทุกประการ.
ธรรมกถาในวันนี้ สิ้นสุดลงด้วยการสมควรแก่เวลา. ขอแสดงความหวังให้เพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายทุกคน ทั้งในที่นี้ และที่อื่น ได้มีโชคดีด้วยการใช้เวลาอันเหลืออยู่ไม่กี่ปีข้างหน้านี้ จัดการกับปัญหาอันนี้ให้สิ้นสุดไปเสีย, อย่าต้องเที่ยวฝากไว้กับชาติหน้า หรือชาติต่อไปเลย. เชื่อว่าเราเคยฝากด้วยความผัดเพี้ยนเช่นนี้กันมาหลายกัปหลายกัลป์แล้ว ของความสมประสงค์จงมีแก่เราทุกคน โดยเหตุที่เรามีความจงรักภัคดีต่อความรอดพ้นออกไปได้ อันเป็นวัตถุที่ประสงค์มุ่งหมายของการถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์, แล้วมีความตั้งหน้าพยายาม ในอันที่จะให้เกิดผลสำเร็จ ชนิดที่ตรงตามพระพุทธประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้อาบรดเราด้วยความกรุณาของพระงองค์ซึ่งมากหาประมาณมิได้. ขออย่าพยามยามทำลายความประสงค์ของพระองค์เสียด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเราเลย
ขอจงประสพแต่ความสุขสวัสดี
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง