งานความคิด ของอิศรา อมันตกุล
คำบรรยายที่สยามสมาคม เมื่อวันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๑๒ โดยคุณ คำสิงห์ ศรีนอก (ลาว คำหอม) อันที่จริง งานวรรณกรรมในลักษณะที่เป็นการทำงานความคิดนั้นไม่ใช่ของใหม่ หากแต่บรรพชนของเราน่าจะคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เริ่มแรกที่เรามีตัวหนังสือ หรืออย่างช้าก็คงจะตั้งแต่ครั้งสมัยสุโขทัยโน่นกระมัง เพราะเมื่อได้พิจารณาเนื้อหา รูปแบบ และจุดมุ่งในการเขียนหนังสือจำพวกชาดกต่างๆไม่ว่าจะเป็นนิบาตชาดก ทศชาติ ปัญญาสชาดก หรือแม้กระทั้งเวสสันดร ผมคิดว่าหาใช่อื่นใดไม่ หากเป็นนิยายวรรณกรรมอันมีลักษณะเป็นการทำงานความคิดโดยแท้ หลายท่านคงไม่เห็นด้วยกับการสรุปแบบตีขลุมของผม หากเป็นดังนั้น ผมใคร่ขอให้ระลึกถึงหนังสือสามสี่เล่มที่เพิ่งเขียนในชั่วสิบปีที่ผ่านมา คือ กองทัพธรรม ลุ่มนำ้นัมทา ซึ่งเขียนโดยท่านสุชีโวภิกขุ และคุณสุชีพ ปุญญานุภาพ กับอีกสองเล่มที่ผมอยากจะออกชื่อคือ อานนท์ พุทธอนุชา และ จอมจักรพรรดิอโศกโดยคุณวศิน อินทรสระ เนื้อหาของหนังสือทั้งสี่เล่มนี้ เทียบได้เป็นเนื้อเดึยวกันกับชาดกที่เขียนมาแล้วนับร้อยนับพันปี ตัวละครล้วนเคยปรากฎมาแล้วในอดีตชาดก ความคิด การกระทำ และอุปนิสัยของตัวละครเป็นอย่างเดียวกัน ก็เมื่อเรารับกันว่าหนังสือสามสี่เล่มที่ผมเอ่ยชื่อนี้เป็นนวนิยายแล้ว เราจะปฏิเสธชาดกว่าไม่ใช่นวนิยายได้อย่างไร
กระนั้นก็ตามเมื่อพูดถึงนวนิยายที่มีฉากและตัวละครร่วมสมัยดังที่เราเขียนเราอ่านกันอยู่ในปัจจุบัน ท่านผู้รู้ทางวรรณคดีบอกว่าเราจำแบบอย่างมาจากยุโรบซึ่งอยู่ไกลเลยชมพูทวีปแหล่งต้นธารวรรณคดีของเราออกไปอีก โดยท่านให้หลักฐานว่าพวกปัญญาชนนักเรียนนอกรุ่นแรกๆจดและจำแบบอย่างเข้ามาในช่วงต้นๆ รัชกาลที่ 5 ตกประมาณร้อยปีเศษมานี้เอง
หลายปีมาแล้ว ผมเคยอ่านหนังสือครูแหม่มท่านหนึ่งที่เข้ามาสอนหนังสือในราชสำนักรัชกาลที่ 5 เขาเล่าว่า มีเจ้าจอมองค์หนึ่งผู้ได้รำ่เรียนภาษาอังกฤษจนแตกฉาน แล้วแปลนวนิยายที่ชื่อว่า กระท่อมน้อยของลุงทอม แจกกันอ่านอย่างแพร่หลายในราชสำนัก แต่ไม่มีหลักฐานอะไรมากไปกว่านั้น แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครเห็นเป็นเรื่องจริงจังนัก นอกจากมองกันว่าครูแหม่มเธอพูดกรุยทาง เพื่อที่จะได้อ้างว่าในหลวรัชกาลที่ 5 ทรงประกาศเลิกทาสจากอิทธิพลของหนังสือนวนิยายเล่มนั้น
ผมเองเชื่อตามครูวรรณคดีที่บอกว่า นวนิยายที่เรารู้เห็นกันในปัจจุบันนี้ พวกนักเรียนนอกรุ่นแรกนำเข้า ผมเคยอ่านอ่านงานที่เรียกว่าเรื่องอ่านเล่นหลายเรื่องในนิตยสารที่ชื่อ ลักวิทยา ซึ่งผู้เขียนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนอก และได้บอกไว้อย่างชัดเจนว่า เป็นเรื่องที่เขียนเล่นๆเพื่อให้อ่านเล่น ผมคิดว่าด้วยคำว่าอ่านเล่นนี้เองที่ได้เปลี่ยนแนวคิดในการอ่านอย่างมาก ซึ่งผมใคร่จะตั้งเป็นข้อสังเกตุไว้ เพราะก่อนหน้านั้น ถึงเราจะมีงานวรรณกรรมอย่างที่ผมพูดถึงคือจำพวกชาดกต่างๆ แต่ดูเหมือนว่าคงไม่มีใครในสมัยโน้น จะคิดว่าเรื่องแต่งเหล่านั้นเป็นเรื่องอ่านเล่นหรืออ่านกันเล่นๆ บรรพชนของเราท่านอ่านหนังสือแบบเอาจริง การรู้หนังสือเป็นเกียรติภูมิสูงส่ง และเมื่อพูดถึงปัญญาชนหรือผู้รู้ในครั้งกระนั้น ก็คงหมายเอาถึงผู้รู้หนังสือนั้นเอง หนังสือจึงถูกปลุกเสกให้ศักดิ์สิทธิ์ ผมยังจำได้ เมื่อเริ่มเรียนหนังสือกับพระที่วัดบ้านนอก ท่านสั่งให้กราบหนังสือก่อนอ่านและเมื่ออ่านเสร็จ และแถมต้องเก็บไว้บนหิ้งหรือไม่ก็บนหัวนอน ผมนึกไม่ได้ว่าเคยเห็นใครในครั้งกระโน้นที่มองว่าหนังสือมีไว้เพื่ออ่านเล่น
กระทั้งนวนิยายยุคใหม่ปรากฎตัวขึ้น และก็ไม่น่าจะผิดถ้าจะกล่าวว่า นวนิยายในรูปใหม่นี่เองที่เป็นจุดเปลี่ยนความคิดในการอ่านและเป็นตัวการส่งเสริมการอ่านให้ขยายขอบเขตออกไปอย่างกว้างขวางอย่างไรก็ตาม เมื่อเรารับงานเขียนนวนิยายแนวใหม่เข้ามานั้น จากการติดตามอ่านในระยะต้นๆ พบว่ารูปแบบงานนวนิยายของเราได้เดินตามต้นแบบอย่างใกล้ชิด โดยแปลมาโดยตรงบ้าง ดัดแปลงมาบ้าง และปลอมเอาบ้างตามระดับมโนสำนึกของแต่ละคน ที่น่าคิดอีกประการหนึ่งก็คือ ระยะที่นวนิยายยุคใหม่เข้ามาสู่ประเทศไทยอันเป็นช่วงกลางๆของรัชสมัยรัชกาลที่ ๕ นั้น ทวีปยุโรปไห้ผ่านเข้าสู่ยุคการปฏิวัติใหญ่ทางอุตสาหกรรมแล้ว วงการวรรณกรรมและศิลปะได้แตกวงออกเป็นหลายรูปแบบ นอกเหนือจากพวกพาสุขชวนฝันที่ชาวไทยเรียกตามเขาว่าแนวโรแมนติกแล้ว ยังมีอีกกลุ่มที่เกาะติดอยู่กับความเป็นจริงเล่นกับความคิด ถอยห่างออกมาจากโลกของความฝัน กลุ่มหลังนี้เริ่มใช้งานของตนเป็นสื่อแสดงออกถึงปฏิกิริยาของตนที่มีต่อโลก ต่อชีวิต และต่อสังคม รวมไปถึงคติความเชื่อและความคิดทางการเมือง
นี่ก็อีก นวนิยายแนวใหม่ที่ เข้ามาสู่ประเทศไทยช่วงต้นๆ นั้นเป็นงานในกลุ่มโรแมนติกเป็นส่วนใหญ่ ที่เป็นเช่นนั้น น่าจะสืบเนื่องมาแต่รากฐานทางสังคมของเราเองที่เป็นสังคมโรแมนติก และครูบาอาจารย์ทางวรรณคดีของเรา ท่านมักจะเน้นว่าลักษณะของงานที่เป็นวรรณคดีหรือหนังสือดีนั้น ต้องให้ภาพพจน์ ความสะเทือนใจ และความไพเราะแก่ผู้อ่าน ส่วนสาระทางความคิดนั้นให้ความสำคัญไม่มาก เราจึงตั้งต้นเรื่องประเภทอ่านเล่นของเราในลักษณะหรรษาพาฝันเป็นด้านหลัก เนื้อหาจึงวนเวียนอยู่กับภาพฝันถึงความรักในบรรยากาศสวย เก็บหาความสะเทือนใจจากน้ำตาลูกสะใภ้ที่จำเป็นต้องมีแม่ผัวใจร้ายเราเพลินเขียนแนวใหม่เบียดแซมขึ้นมาบ้าง เป็นพวกที่คำนึงถึงความทีแก่นสารในงานนวนิยาย ถึงกับเกิดมีปัญหาให้ถกกันอยู่ระยะหนึ่งว่าคุณค่าของงานนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่ อยู่ที่การจรรโลงฝันหรือจรรโลงชีวิต หรืออีกนัยหนึ่ง เพื่อศิลป์หรือเพื่อชีวิต
คุณอิศรา อมันตกุลนั้นนับเป็นหนึ่งในกลุ่มใหม่ งานของเขาแพร่หลาย มีลักษณะจัดจ้านและเจิดจ้า แม้ว่าอิศรา อมันตกุลเองจะเริ่มต้นงานนิยายคล้ายคลึงกับนักเขียนร่วมยุคคนอื่น ๆ ถ้า นักบุญ คนบาป เป็นงานชิ้นแรกของคุณอิศรา เราจะเห็นว่างานของเขาก็ไม่ถึงแตกต่างไปจากนักเขียนร่วมสมัยเท่าใดนัก เมื่อพินิจอย่างละเอียดผมคิดว่าคุณอิศราก็ยังคงเดินตามแนวของคนอื่น การที่เขาเลือกใช้ฉาก นักบุญ คนบาป ที่ประเทศฟิลิปปินส์ก็น่าจะรับความบันดาลใจจาก ละครแห่งชีวิต ของ ม.จ. อากาศดำเกิง รพีพัฒน์ ข้างหลังภาพ ของศรีบูรพา ปักกิ่งนครแห่งความหลัง ของสด กูรมะโรหิต เนื้อเรื่องของ นักบุญ คนบาป ยังคงอัดแน่นด้วยธรรมชาติแห่งรักของหนุ่มสาว เล่มถัดมา นาถยา ก็ยังคงเป็นเรื่องของความรักค่อนข้างธรรมดา มาระยะหลังตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ งานของอิศรา อมันตกุล เริ่มแสดงออกถึงความเป็นตัวเอง ทรรศนะ และความคิดชัดเจน แม้รูปแบบจะยังคงมีท่วงทำนองผสมประสานระหว่างโรแมนติกกับเรียลลิสติก ทว่าตัวละครเริ่มเป็นบุคคลที่หาได้ยาก มีแนวคิด อุดมการณ์ และวิพากษ์วิจารณ์สังคม รวมไปจนถึงสภาพการเมืองและเศรษฐกิจ
หากเราจะลองสันนิษฐานดูว่า อะไรเป็นสาเหตุให้งานวรรณกรรมของอิศรา อมันตกุลขยายฐานจากโรแมนติกสู่เรียลลิสติกและไอเดียลลิสติกชัดเจนยิ่งขึ้น ก็น่าจะตอบได้ว่า หนึ่ง เขาเป็นคนจริงจังและจริงใจ สอง อิศรา อมันตกุลเป็นนักหนังสือพิมพ์ งานหนังสือพิมพ์ทำให้เขาได้ประจักษ์ในชะตากรรมของผู้คนในวงกว้าง ได้เห็นความยุติธรรมและความอาสัตย์อาธรรมที่ดำรงอยู่ในสังคม ถ้าเราอ่านงานของเขาอย่างถี่ถ้วน จะเห็นได้ไม่ยากถึงวิญญาณของความรักความศรัทธาที่เขามีต่ออาชีพนักหนังสือพิมพ์ของเขา ด้วยเหตุนั้น ตัวละครมากกว่าครึ่งในงานวรรณกรรมของอิศรา อมันตกุลจึงเป็นนักหนังสือพิมพ์ นักหนังสือพิมพ์ที่มีอุดมการ“ พวกหนังสือพิมพ์ ต้องต่อสู้เพื่อสิ่งที่ถูกและความยุติธรรม” (จากเรื่อง “ปาฏิหาริย์ของแสงจันทร์”) ยิ่งนับวันตัวละครของเขาดูจะยิ่งแกร่งกร้าวห้าวหาญและจัดจ้านมากขึ้นเป็นลำดับ “การปฏิวัตินั้นไม่ใช่การได้รับเชิญไปในงานเลี้ยง ซึ่งหูทั้งสองข้างจะได้ยินได้ฟังแต่คำสรรเสริญเยินยอจากแขกเหรื่อรอบๆไม่ใช่การวาดรูปสวยๆ ขึ้นบนกระดาษตามอำเภอใจ และตามมือเขียนลวดลายไป แต่ผู้ทำการปฏิวัติจะต้องกล้าหาญพอทีจะเงี่ยหูฟังคำวิพากษ์วิจารณ์จากราษฎร ด้วยการวางใจให้เที่ยงธรรมที่สุด ราษฏรทุกคนเป็นเจ้าของประเทศเท่าๆกัน นายกรัฐมนตรีก็ดี ท่านข้าหลวงก็ดี ผู้หมวดก็ดี จะผูกขาดเอาความรักความห่วงใยในชาติไปเป็นของตัวฝ่ายเดียวหาได้ไม่ ชาวนา กรรมกร คนยากจนพวกผมก็มีส่วนที่จะร่วมรักร่วมห่วงใยในชาติเหมือนกันและทัดเทียมกัน ผมต้องการพบนายก ก็ด้วยเหตุอันนี้แหละครับ ผมจะบอกนายก ว่า ถ้าความห่วงใยในชาติบ้านเมืองของผม ทางการจะถือเอาความผิดต่อกฎหมายแล้ว รัฐบาลก็ควรลากคอคนทั้งประเทศเข้าคุกเสียให้หมด”(จาก”เขาตะโกนหานายกรัฐมนตรี”) และ”ถ้าเราไม่เล่นการเมืองการเมืองมักจะเล่นเรา วิธีที่ถูกก็คือ เราต้องโดดเข้าเถือกับมันก่อนเหนือที่สุดฉันต้องการจะปฏิรูปประเทศไทย เมื่อ ๑๖ ปีที่แล้วมาเรามีการปฏิวัติระบอบการปกครอง(พ.ศ.๒๔๗๕ ผู้พิมพ์)โดยไม่นองเลือดสักหยด นั่นเป็นการปฏิวัติที่เริ่มต้นอย่างวิตถารเสียแล้ว ปฏิวัติกับเลือดต้องมาพร้อมกัน เมื่อเราจะกวาดล้างชำระท่อโสโครกให้สะอาดเราต้องใช้นำ้ฉันใด เมื่อเราจะกวาดล้างชำระบ้านเมืองให้ผ่องผาดเราก็ต้องใช้เลือดฉันนั้นความเจริญของชาติอยู่ที่ the next generation ต่างหาก ไม่ใช่อยู่ที่ผู้ก่อการปฏิวัติหรืออยู่ที่พวกเราคนรุ่นนี้ เราอาจเป็นมันสมองที่ดี แต่เราต้องการมันสมองที่ดีกว่าของลูกเรา...ของคนไทย พ.ศ.๒๕๕๐ ถ้าเรามีสมองที่ corrupt...ที่เต็มไปด้วยหนองแห่งอวิชชาและอคติ อย่างทุกวันนี้ เราจะหวังให้สายโลหิตของเราเป็นอัจฉริยะได้ไฉน..”(จาก “DUM SPIRO SPEROW”)
ถ้าพิจารณาอย่างจริงจัง ตัวละครที่ฉลาดและอาจหาญเหล่านี้เกิดขึ้นได้ยาก เป็นคนในอุดมคติ แล้วอิศรา อมันตกุลสร้างขึ้นมาเพื่อความประสงค์ใด ถ้าอนุญาตให้ผมตอบ ผมขอตอบอย่างไม่อ้อมค้อมว่า เพราะตัวละครนั้นๆ เป็นคนชนิดที่อิศรา อมันตกุลอยากให้เกิด และอยากให้มีในสังคมไทย นั้นคือการทำงานความคิด
ความยุ่งยากของผู้สร้างวรรณกรรมในกลุ่ม ทำงานความคิด นั้นอยู่ตรงที่ บางคราวต้องเลือกเอาระหว่าง วรรณศิลป์ กับ ความชัดเจนของความคิด หากยึดติดกับความบริบูรณ์ทางวรรณศิลป์ งานประเภทนี้ทำให้ดีจริงๆโดยไม่ขัดเขินได้ยาก ความสำเร็จของอิศรา อมันตกุล จึงอยู่ที่ความฉลาดในการเลือกตัวละครให้เหมาะเจาะกับเนื้อหา การที่เขาเลือกเอานักหนังสือพิมพ์และนักการเมืองรุ่นหนุ่มมาแสดงบทบาทที่ออกจะโลดโผน ดุดัน และห้าวหาญนั้น ช่วยให้ดูมีความสมจริงพอรับได้ในแง่ศิลปะ ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าจะสอบผ่านหมดทุกเรื่อง พันตรีเทิมและรุ้งรุจีใน”เขาตะโกนหานายารัฐมนตรี” ไม่ใช่คนที่เราหวังจะพบได้ง่ายๆในชีวิตจริง อย่างไรก็ดี อันลักษณะของตัวละครที่แกร่งกร้าวห้าวหาญ มีคุณธรรมและอุดมการณ์ย่อมจับใจคนหนุ่มสาว และนักเขียนรุ่นเยาว์ร่วมสมัยที่เริ่มงานของตนในระยะระหว่าง พ.ศ. ๒๔๙๐ ถึงก่อนการปฏิวัตืของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผมเองสนใจและติดตามงานวรรณกรรมของกลุ่มที่ ทำงานความคิด อย่างค่อนข้างเกาะติด และต้องบอกว่า งานที่งดงามทั้งรูปแบบและเนื้อหาจริงๆ มีไม่มาก นวนิยายและเรื่องสั้นจำนวนไม่น้อยมีสถานะเพียงการบันทึกเหตุการณ์ของสังคมในยุคสมัย
ภายหลังเมื่ออิศรา อมันตกุลถึงแก่กรรมไปแล้ว ชื่อเสียงเกียรติคุณยังคงก้องกำจาย หนังสือพิมพ์และนิตยสารแทบจะทุกฉบับลงข่าวการจากไปของเขาพร้อมกับคำสดุดี สะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ในอีกมิติหนึ่งนอกเหนือจากงานด้านวรรณกรรม นั้นก็คือความโดดเด่นในฐานะของนักหนังสือพิมพ์ ผู้มีคุณธรรม องอาจ สง่างาม และมั่นคงอย่างยิ่งในอุดมการณ์ สุภาพอ่อนโยน ใจกว้าง เอื้ออาทร และห่วงใยคนอื่น เฉพาะอย่างยิ่งต่อมวลหมู่เยาวมิตรของเขา ดังที่เสนีย์ เสาวพงศ์ได้กล่าวยกย่องไว้อย่างกะทัดรัดและชัดเจนว่า เขาเป็นดังต้นไม้ใหญ่ทีให้ร่มเงาแก่ต้นไม้เล็ก เพื่อความเติบใหญ่ไพศาลขึ้นมาตามกาลเวลา คำสิงห์ ศรีนอก
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง