กำเนิดอิสลาม จากหนังสือแผ่นดินอาหรับ ภาพของคาบสมุทรอาระเบียก่อนการกำเนิดของอิสลามคือในช่วงก่อนศตวรรษที่ ๗ หากจะว่าไปแล้ว ก็อาจจะกล่าวได้ว่า เป็นดินแดนแห่งความพิศวงที่คนภายนอกได้รู้จักน้อยเต็มที
ในภูมิภาคตะวันออกกลางในช่างเวลาดังกล่าว ผู้ที่มีอิทธิพลแท้จริงที่ครอบงำอำนาจท้องถิ่นอยู่มี ๒ อาณาจักรสำคัญ นั่นคือ
๑. อาณาจักรไปแซนไทน์ หรือ โรมันตะวันออก ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล ประชากรส่วนใหญ่ของไบแซนไทน์นับถือคริสต์ศาสนานิกายกรีกออร์ทอดอกซ์ มีอำนาจควบคุมดินแดนภาคตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
และ ๒. คืออาณาจักรซาสซานิดของชาวเปอร์เซีย ตั้งศุนย์กลางอยู่ที่เมืองเซซิฟอนในอิหร่านปัจจุบันนี้ ประชากรส่วนใหญ่ของอาณาจักรนี้นับถือศาสนาโซโรแอสเตอร์ วัฒนธรรมหลักของอาณาจักรเป็นเปอร์เซียผสานกับเมโสโปเตเมืย และมีอำนาจปกครองเหนือที่ราบลุ่มแม่น้ำไทกริส ยูเฟรตีส และที่ราบสูงอิหร่าน
ส่วนแถบคาบสมุทรอาระเบียนั้น แสงแห่งอำนาจของ ๒ อาณาจักรได้แค่เป็นไปดดยการสอดส่องอยู่ห่างๆ ที่สำคัญดังที่กล่าวมาแล้วว่าด้วยภูมิศาสตร์ของแผ่นดินส่วนนี้ที่ผสานกับการดำรงอยู่ของกลุ่มชนที่แยกหมู่แยกเหล่าเป็นเผ่า ส่งผลให้อำนาจจากภายนอกจะสามารถเข้าไปปกครองได้อย่างยากลำบากอยู่พอสมควร ดังนั้นวิถีและวัฒนธรรมของชาวอาหรับแห่งคาบสมุทรอาระเบียจึงดูเหมือนจะมีความเป็นเอกเทศจากภูมิภาคต่างๆ รอบข้างอยู่พอสมควร
ในช่วงเวลานั้น เมกกะ ถือเป็นศูนย์กลางที่แท้จริงของคาบสมุทรอาระเบีย ทั้งนี้เพราะนอกเหนือจากเป็นสถานที่ตั้งของกะอ์บะฮ์ ที่ชาวอาหรับส่วนใหญ่ต้องเดินทางมาแสวงบุญทุกปีแล้ว ชัยภูมิของเมกกะก็ยังเป็นตัวเอื้อให้เมืองนี้มีความสำคัยด้วย กล่าวคือ ด้วยความที่เมกกะเป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าที่สำคัญ เชื่อมตัวกับแหล่งสำคัญในภูมิภาค นั่นคือไปทางเหนือก็เข้าซีเรีย และหากลงใต้ก็จะถึงเยเมนได้อย่างสะดวก เมื่อออกไปทางตะวันออกก็สามารถถึงอ่าวเปอร์เซีย และด้านตะวันตกก็ถึงทะเลแดง
นักประวัติศาสตร์ชี้ว่าเพราะหินดำและกะอ์บะฮ์ที่ชาวอาหรับทั้งมวลต้องเดินทางมาสักการะทุกปีนั่นเองที่ส่งผลให้สถานที่นั้นกลายเป็นเทวสถานที่สำคัญขึ้นมาเรื่อยๆ กระทั่งจำเป็นจะต้องมีผู้ดูแล เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ย่อมส่งผลให้กลุ่มผู้ดูแลสามารถเก็บผลประโยชน์จากชนหมู่มากที่ต้องเดินทางมายังสถานที่นั้นจนสามารถสร้างอิทธิพลให้แก่กลุ่มของตนเองได้อย่างดียิ่ง.
ซึ่งในช่วงนั้น ตระกูลกุเรซ เป็นผู้ดูแลและเก็บค่าบำรุงเทวสถานแห่งนั้นจนร่ำรวย และที่เมืองเมกะแห่งนี้เอง ก็เป็นที่กำเนิดของศาสดามุฮัมมัด ผู้ประกาศธรรมแห่งศาสนาอิสลามขึ้นมา
จากจุดเริ่มต้นทีเมืองเมกกะ ในคาบสมุทรอาระเบีย กล่าวกันว่า เพียงช่วงเวลาที่ศาสดามุฮัมมัดมีชีวิตอยู่ก็ใามารถเผยแผ่ศาสนาอิสลามไปทั่วคาบสมุทรอาหรับ และหลังจากนะบีมุฮัมมัดสิ้นชีพแล้ว กาหลิบ หรือคอลิฟะฮ์คนต่อๆมาๆได้ดำเนินนโยบายตามนะบีมุฮัมมัด สามารถยึดกรุงกามัสกัสได้ในปี ๖๓๕ ยึดเปอร์เซียได้ในปี ๖๓๖ ยึดเยรูซาเล็มได้ในปี ๖๓๘ ยึดอียิปต์ได้ในปี ๖๔๐ และเข้ายึดทวีปแอฟริกาตอนเหนือได้ทั้งหมดภายในศตวรรษที่ ๗ ที่สำคัญสามารถเข้ายึดสเปนได้ในปี ๗๑๑ เหล่านี้ เป็นต้น ทำให้ศาสนาอิสลามยิ่งแผ่กว้างไกลออกไปอย่างมาก กระทั่งจากที่อิสลามเป็นเพียงศาสนาของกลุ่มชนกลายมาเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศซาอุดีอาระเบีย และจากศาสนาประจำซาอุดิอาระเบีย กลายมาเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศต่างๆทั่วอาหรับเพียงชั่วเวลาภายใน ๑๐๐ ปีเท่านั้น จากนั้นก็ขยายไปสู่ประเทศต่างๆในทวีปแอฟริกา แล้วเลยมายังประเทศปากีสถาน บังคลาเทศ อินเดีย จีน มาเลเซีย และอินโดนิเซีย ในทวีปเอเซีย กำเนิดศาสดา พระนะบีมุฮัมมัด ประสูติที่เมืองเมกกะ เมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ปี ๕๗๐ บิดาชื่อ อับดุลเลาะห์ แห่งตระกูลฮาซิม ซึ่งเป็นตระกูลหนึ่งที่สืบเชื้อสายมาจากเผ๋ากุเรซ เผ่านี้เป็นเผ่าที่มีชื่อเสียงและมั่งคั่งของอาระเบีย มารดาชื่อ อามีนะฮ์ บิดาถึงแก่กรรมขณะที่มารดาตั้งครรภ์พระองค์ได้ ๒ เดือน ภายหลังพระองค์ประสูติได้ ๖ ปี มารดาของพระองค์ก็ถึงแก่กรรม พระองค์ต้องอาศัยอยู่กับปู่ซึ่งชราอายุร่วม ๑๐๐ ปี ไม่นานปู่ก็ถึงแก่กรรม พระองค์ต้องไปอาศัยอยู่กับลุงซึ่งเป็นพ่อค้าที่รำ่รวย ลุงฝึกสอนให้พระมุฮัมมัดทำการค้าขาย ขณะที่อายุได้ ๑๒ ปีมีโอกาสได้ติดตามผู้เป็นลุงไปค้าขายยังประเทศซีเรีย และต่อไปกระทั่งถึงบัซรา นะบีมุฮัมมัด มีนิสัยช่างนึกตรึกตรองมาตั้งแต่เด็ก บางครั้งจึงเป็นเหมือนคนใจลอย สนใจไปทางอื่น ไม่ใช่เรื่องการขาย ตลอดชีวิตไม่ได้เรียนหนังสือ อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ แต่การท่องเที่ยวค้าขายก็ทำให้ได้ความรู้มากเพราะได้เดินทางไปจนถึงประเทศอียิปต์และซีเรีย ได้พบคนหลายชาติ หลายภาษา
นะบีมุฮัมมัด เป็นผู้มีความอ่อนโยนเต็มไปด้วยคุณธรรม และสัจธรรมซึ่งปรากฎแก่สายตาคนทั่วไป กระนั้นชีวิตในวัยเด็กก็ไม่ค่อยมีอิสระนัก ทั้งนี้เพราะต้องช่วยเหลือลุงในการค้าขายและเลี้ยงปศุสัตว์ในท้องทุ่ง เรียกว่าอ้างว้างพอสมควร อีกทั้งด้วยสถาพสังคมที่น่าเป็นห่วงของอาระเบียในยามนั้น ไม่ว่า การะละเมิดกฎหมายในนครเมกกะ การทะเลาะวิวาทกันเองในระหว่างอาหรับเผ่าต่างๆตลอดจนความเสื่อมศีลธรรมของชาวกุเรซ ทำให้พระองค์ได้รับแต่ความเศร้าใจ
นะบีมุฮัมมัด ได้ดำเนินชีวิตเช่นนี้จะกระทั่งอายุ ๒๕ ปี ได้รับคำแนะนำจากลุงว่าให้ไปสมัครทำงานกับหญิงคนหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องเป็นญาติกัน หญิงนั้นชื่อ คอดียะฮ์ เป็นหญิงหม้าย อายุแก่กว่าพระองค์ ๑๘ ปี แต่เป็นหญิงมั่งคั่งและใจดี นะบีมุฮัมมัด ได้ปฎิบัติตามคำแนะนำของลุง คอดียะฮ์ ก็รับไว้ให้นำขบวนสินค้าเดินทางที่เรียกกันว่า คาราวาน โดยได้เดินทางค้าขายที่ซีเรียอีกครั้งหนึ่งการทำงานประสบผลดี ทั้งพระองค์ยังแสดงให้เห็นในความสามารถและความซื่อสัตย์ในการรักษาผลประโยชน์ จนพระนางคอดียะฮ์เกิดความเลื่อมใสจึงตกลงแต่งงานด้วย ขณะที่พระองค์มีพระชมม์ได้ ๓๐ ปี
เมื่อแต่งงานแล้ว นะบีมุฮัมมัดก็กลายเป็นคนมั่งคั่ง มีความสำคัญขึ้นในชีวิตและสังคมของเมกกะ และโดยที่เป็นเชื้อสายกุเรซด้วย
ความวุ่นวายและปัญหาในเมกกะขณะนั้นยังคงมีมากอยู่เช่นเดิม นะบีมุฮัมมัด ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมในสภาขุนนางเพื่อแก้ปัญหาความวุ่นวายนี้ซึ่งพระองค์ได้เสนอให้มีหารนำระเก่าเก่าที่เรียกว่า “สหพันธ์แห่งฟุดูล” มาใช้เพื่อขจัดกระกระทำนอกกฎหมาย รวมถึงการพิทักษ์ผู้อ่อนแอ
พระองค์ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในสหพันธ์ฟุดูล อันเป็นองค์การพิทักษ์สาธารณภัยประชาชน เพื่อขจัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน กิจการประจำวันของท่านก็คือ ประกอบแต่กุศลกรรม ปลดทุกข์ขจัดความเดือดร้อน ช่วยเหลือ ผู้ตกยาก บำรุงสาธารณกุศล
เมื่ออายุ ๓๕ ปี ได้เกิมีกรณีขัดแย้งในการบูรณะกะอ์บะฮ์ ในเรื่องที่ว่า ผู้ใดกันที่จะเป็นผู้นำเอา “หินดำ” ไปประดิษฐานไว้ในสถานที่เดิมคือที่มุมของกะอ์บะฮ์ อันเป็นเหตุให้คนทั้งเมืองเกือบจะรบราฆ่าฟันกันเองเพราะแย่งหน้าที่อันมีเกียรติ หลังจากการถกเถียงในที่ประชุมเป็นเวลานาน บรรดาหัวหนัาตระกูลต่างๆก็มีมติว่า ผู้ใดก็ตามที่เป็นคนแรกที่เข้ามาใน อัลมัสยิด อัลฮะรอม ทางประตูบะนีชัยบะหฺในวันนั้นจะให้ผู้นั้นเป็นผู้ชึ้ขาดว่าจะทำอย่างไร ปรากฎว่า นะบีมุฮัมมัด เป็นคนเดิมเข้าไปเป็นคนแรก ท่านจึงมีอำนาจในการชึ้ขาด โดยท่านเอาผ้าผืนหนึ่งปูลง แล้วท่านก็วางหินดำบนผืนผ้านั้น จากนั้นก็ให้หัวหน้าตระกูลต่างๆ จับชายผ้ากันทุกคน แล้วยกขึ้นพร้อมๆกัน เอาไปใกล้ๆสถานที่ตั้งของหินดำนั้น แล้วท่านก็เป็นผู้นำเอาหินดำไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม
การเดินทางท่องเที่ยวค้าขายก็ดี และปัญหาที่พบเห็น ทำให้นะบีมุฮัมมัดสนใจใฝ่คิดและตั้งปัญหาต่างๆ เกี่ยวกับชีวิต บางครั้งก็ขึ้นไปบนยอดเขาหาที่สงบสงัดเพื่อตรึกตรอง ซึ่งสถานที่ที่พระองค์ชอบไปคือถ้ำภายในภูเขาฮีรอซึ่งอยู่ห่างจากเมกกะประมาณ ๓ ไมล์ ครั้งหนึ่งในคืนที่เงียบสงบ นะบึมุฮัมมัด ขึ้นไปบนยอดเขาฮิรอ พระองค์ก็มั่นพระทัยว่าพระองค์ได้พบเรือนกายอันเป็นอมตะร่างหนึ่งมาสู่พระองค์ พร้อมด้วยประกาศิตมาแจ้งให้พระองค์ทราบว่าแท้นั้นพระองค์ คือ ราซูล หรืออัครฑูตของพระเป็นเจ้า ซึ่งถูกส่างมาเพื่อนำมนุษย์ชาติให้พ้นจากหายนะ และเพื่อช่วยมนุษย์ให้เข้าใจในกิจการของอัลเลาะห์ผู้เป็นพระเจ้าแห่งจักรวาล
แล้ว”การแจ้งให้รู้ความจริง” หรือภาษาอาหรับเรียกว่า “วาฮี” โดยฑูตสวรรค์นามยิบรอเอลก็เกิดขึ้นและติดตามมาอย่างต่อเนื่อง พระองค์ได้รับพระโองการติดต่อกันเป็นเวลา ๒๓ ปี พระโองการเหล่านี้รวบรวมขึ้นเป็นเล่ม เรียกว่า คัมภีร์อัลกุรอาน
การที่นะบึมุฮัมมัดจะเผยผผ่ศาสนาเรื่องพระเจ้าองค์เดียวขึ้นในเมกกะนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะคนเขาเคารพพระเจ้า ๓๖๐ องค์ที่อยู่ในวิหารกะอ์บะฮ์ การที่จะทำให้คนเหล่านั้นทิ้งพระเจ้า ๓๖๐ องค์ แล้วมานับถืออัลเลาะห์องค์เดียวแทบจะเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นนะบึมุฮัมมัดจึงใช้วิธีเผยแผ่อย่างค่อยๆทำ เริ่มจากคนใกล้ชิด คนแรกที่เข้ารับนับถืออิสลามคือ คอดียะฮ์ ภรรยาของพระองค์ คนที่สองคือ อาลี สหาย และบุตรเขยของพระองค์ในเวลาต่อมา คนที่สามชื่อ อบุบักร์ ลุงของพระองค์ซี่งเป็นพ่อค้าอยู่ที่เมกกะ คนที่สี่ชื่อโอมา หรือ อุมัร เป็นนักรบอย่างฉกาจฉกรรต์ สาวกทั้ง ๔ คนนี้จึงเป็นปฐมสาวก
การประกาศศาสนาเป็นคนๆ เช่นนี้ ทำให้ได้ผลช้ามาก เวลา ๓ ปี ได้สาวกเพียง ๑๓ คน แต่ความพยายามอย่างไม่ลดละก็ประสบความสำเร็จ
นะบึมุฮัมมัด ได้ให้คำขวัญแก่สาวกไว้ทักทายกันว่า “ขอให้ศานติจงมีแก่ท่าน” แสดงว่าเดิมพระมุฮัมมัดประสงค์ให้ศาสนานี้เป็นศาสนาศานติอย่างแท้จริง แต่เหตุการณ์ได้บีบบังคับให้เปลี่ยนแปลงเป้าหมายไป เนื่องจากพระองค์และสาวกถูกรังแกข่มเหงอย่างร้ายแรง ผู้ที่รังแกข่มเหงคือพวกที่นับถือพระเจ้า๓๖๐ องค์ โดยเรืยกนะบีมุฮัมมัดและสาวกว่า “โมสเลม (Moslem)” ภาษาอาหรับแปลว่า ทรยศ ต่อมาภายหลังนะบีมุฮัมมัดก็รับเอาคำนี้และกลายเป็นคำที่มีความหมายดีของมุสลิม
หลังจาก ๓ ปีที่พระองค์เริ่มเผยแพร่ศาสนากับคนใกล้ชิดก็ถึงเวลาที่พระองค์จะเริ่มเผยแพร่ความรู้แก่คนในวงกว่างต่อไป และในการเผยแพร่ศาสนาในวงกว้างนั้นเองที่ทำให้พระองค์ต้องรับผลกระทบจากความไม่พอใจของพวกกุเรซที่รู้สึกเสียผลประโยชน์ กล่าวคือพวกกุเรซเคยได้รับผลประโยชน์จากรูปเคารพในวิหารกะอ์บะฮ์ในฐานะอภิสิทธิ์ชนผูกขาดทั้งในด้านผลประโยชน์ กฎเกณฑ์ และการควบคุมดูแลกะอ์บะฮ์ อันเป็นสถานที่ซึ่งชาวอาหรับจากทั่วสารทิศในเวลานั้นจะต้องเดินทางมานมัสการ
กระนั้นพระองค์ก็ไม่ทรงย่อท้อ แม้ชาวกุเรซจะใช้วิธิการในการกีดกันต่างๆนาๆ รวมทั้งการทำความรุนแรงต่อบรรกาสาวกของพระองค์ ในเวลาต่อมาพระองค์ได้ยินกิตติศัพท์ของกษัตริย์คริสเตียนพระองค์หนึ่งที่ปกครองประเทศอบิสซิเนีย (เอธิโอเปีย ในปัจจุบัน) ว่าเป็นผู้รักความยุติธรรม พระองค์จึงแนะนำให้สาวกบางคนโดยเฉพาะผู้ที่เคยเป็นทาสและมักเป็นเป้าในการกลั่นแกล้งให้หลบหนึไปยังที่แห่งนั้นก่อน ทำให้สาวกจำนวน ๑๕ คนลอบหลบหนีไป การเดินทางครั้งนี้เรียกว่าการลี้ภัยครั้งที่ ๑ ซึ่งได้เกิดขึ้นในปีที่ ๕ ของการประกาศศาสนา
แม้ชาวกุเรซจะโกรธแค้นนะบีมุฮัมมัดมากมายเพียงไร กระนั้นพระองค์ก็ยังคงดำเนินการกิจการของพระองค์ต่อไป กระทั่งทำให้ศาสนาอิสลามเริ่มปูพื้นฐานอันมั่นคงขึ้นในดินแดนของศัตรูในที่สุด
แม้ว่าการเผยแผ่ศาสนาจะถูกกัดกันขัดขวางและต่อต้านในเมืองเมกกะแต่ในตำบลใหญ่ตำบลหนึ่งชื่อ ตำบลยาตะเร็ม หรือมะดีนะฮ์ (เมดินา ) เป็นที่ที่ชาวยิวและชาวอาหรับอาศัยอยู่รวมกัน จึงมีการแก่งแย่งการทำมาหากิน เป็น ศัตรูกันตลอดเวลา สำหรับชาวยิวนับถือศาสนายิวใฝ่ฝันว่าจะมีเมสสิอาห์มาโปรดสำหรับชาวอาหรับนับถือพระเจ้า ๓๖๐ องค์ มีชาวอาหรับพวกหนึ่งเดินทางเข้าไปในเมกกะมาพบนะบีมุฮัมมัดเข้าได้ฟังคำสอนและมองเห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ จึงเกิดความคิดขึ้นว่าจะต้องรับเอาตัวผู้นี้ไป ถ้าช้าพวกยิวต้องมาเอาไปเป็นเมสสิอาห์แน่ จึงรับเชิญให้นะบีมุฮัมมัดไปอยู่ที่ตำบลยาตะเร็มขอเวลาไปเตรียมคน ๑ ปี จะมารับตัว เมื่อครบเวลา ๑ ปี ชาวอาหรับจำนวน ๗๓ คน ลอบเข้าเมืองเมกกะเวลากลางคือ เข้าพบนะบึมุฮัมมัด และพา นะบีมุฮัมมัดและสาวกเดินทางออกจากเมกกะ โดยให้สาวกเดินทางล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตัวเองกับสาวกคู่ใจคืออบูบักร์เดินทางระวังหลัง เมื่อนะบึมุฮัมมัดและสาวกเดินทางถึงยะตะเร็มแล้ว ได้รับการต้อนรับทั้งจากชาวอาหรับและชาวยิว พระองค์นั่งอยู่หลังอูฐ ปล่อยบังเหียนอูฐ แล้วบอกว่าอูฐพาไปที่ไหนจะพักที่นั่น อูฐก็เดินไป คนจำนวนมากก็เดินตามเรื่อยไป พอไปถึงต้นอินทผลัม อูฐก็หยุด นะบีมุฮัมมัดจึงประกาศว่าจะพักที่นั่นขอให้ประชาชนสร้างโบสถ์ให้
โบสถ์หลังแรกของศาสนาอิสลามจึงได้เกิดขึ้น ณ ที่นี้ ศาสนาอิสลามได้ประดิษฐานขึ้น ณที่นี้ในปี ๖๒๒ เป็นการเริ่มนับศักราชอิสลาม เวลานี้นะบึมุฮัมมัดมีอายูได้ ๕๒ ปี ตำบลยาตะเร็มได้กลายเป็นเมืองใหญ่ขึ้นเรียกว่า มะดีนะฮ์ แปลว่า มุนี การที่นะบีมุฮัมมัดเดินทางออกจากเมกกะไปมะดีนะฮ์นี้เรียกว่า “เฮยิรา” หรือ ฮิจเราะห์
นะบึมุฮัมมัดนอกจากเป็นศาสดาแล้ว ยังเป็นเจ้าครองเมืองหรือกษัตริย์ด้วย พระองค์ทรงมีฐานะอย่างกษัตริย์ที่แท้จริง และด้วยเหตุผลนี้เองคัมภีร์ในศาสนาอิสลามคือ “อัลกุรอาน” จึงมีลักษณะเป็นกฎหมายอยู่ในตัว คัมภีร์โกหร่านไม่ได้เป็นเฉพาะบัญญัติทางศาสนา แต่เป็นประมวลกฎหมายแพ่งวางข้อบัญญัติเกี่ยวกับสังคม เช่น เรื่องครอบครัวและมรดก เป็นต้น
การประดิษฐานศาสนาลงในตำบลยะตาเร็มซี่งกลายเป็นเมืองใหญ่ชื่อเมืองมะดีนะฮ์นั้นเป็นไปได้โดยมีรากฐานมั่นคง แต่นะบีมุฮัมมัดก็มิได้ประมาทเพราะที่เมืองเมกกะยังมีศัตรูอยู่ทั้งเมือง พระองค์นอกจากจะเป็นประมุขของศาสนาแล้วยังมีฐานะอย่างกษัตริย์ปกครองบ้านเมืองด้วย จำเป็นต้องป้องกันเมืองเอาไว้ จึงได้สั่งเตรียมการป้องกันเท่าที่จะเตรียมได้และในไม่ช้าเหตุการณ์อันร้ายแรงก็เกิดขึ้นจริงๆทางเมกกะได้ยกทัพมาโจมตี นะบึมุฮัมมัดเป็นแม่ทัพออกสู้รล แพ้บ้าง ชนะบ้าง แต่ครั้งสุดท้ายแพ้อย่างราบคาบ
ในเวลาต่อมา กองทัพของพระองค์ก็กลับมาเข้มแข็งได้อีกครั้งหนึ่ง ครานี้นะบึมุฮัมมัดเริ่มลงมือทำงานแล้วก็ยกทัพเข้าล้อมเมกกะ ชาวเมกกะยอมอ่อนน้อมโดยไม่มีการต่อสู้ นะบึมุฮัมมัดเข้าเมืองเมกกะได้อีกครั้ง ทรงอูฐขาวเป็นพาหนะนำคนไปที่สถานกะอ์บะฮ์ ทุบทำลายเทวรูป ๓๖๐ องค์จนหมดสิ้นเสร็จแล้วจัดให้มีการประชุมสวดมนต์ตามแบบลักธิศาสนาใหม่ และให้นิโกรคนหนึ่งนาม บิลาส ซึ่งเป็นทาส เป็นหัวหน้านำสวดมนต์ แสดงว่าศาสนาอิสลามให้ความเสมอภาคโดยไม่ถือผิวพรรณวรรณะ
นะบึมุฮัมมัดได้ยึดเมืองเมกกะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเมื่อปี ๖๓๐ ขณะพระองค์มีอายุได้ ๖๐ ปีพอดี เนื่องจากพิธีกรรมที่พระองค์นำปฏิบัติครั้งหลังสุดนี้เมืองเมกกะจึงกลายเป็นที่ศักกิ์สิทธิ์ของอิสลาม และเป็นยอดปรารถนาของอิสลามิกชนทุกคน คือขอให้ได้ไปนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เมืองเมกกะสักครั้งหนึ่งในชีวิต
นะบึมุฮัมมัดไปสิ้นพระชนม์ที่เมืองมะดีนะฮ์ ในปี ๖๓๒ เมื่ออายุได้ ๖๑ ปี
คุณมีสินค้า 0 ชิ้นในตะกร้า สั่งซื้อทันที
ขออภัย ขณะนี้ยังไม่มีสินค้าในตะกร้า
ราคาสินค้าทั้งหมด
฿ {{price_format(total_price)}}
- ฿ {{price_format(discount.price)}}
ราคาสินค้าทั้งหมด
{{total_quantity}} ชิ้น
฿ {{price_format(after_product_price)}}
ราคาไม่รวมค่าจัดส่ง